ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี ? 10 อันดับครีมกันแดดยอดนิยมสำหรับคนไทย 2565

ผลิตภัณฑ์กันแดดช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีที่เป็นอันตรายของดวงอาทิตย์ สิ่งสำคัญคือต้องเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวและการใช้งานของคุณ ครีมกันแดดทำงานโดยการดูดซับรังสียูวีแล้วแตกตัวเป็นโมเลกุลที่ไม่สามารถทะลุผ่านผิวหนังได้และจะช่วยกระจายรังสียูวีไม่ให้ผิวคล้ำเสีย และคำถามที่ทุกคนสงสัย ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี ? วันนี้เราจึงคัด 10 อันดับครีมกันแดดยอดนิยมมาบอกกัน


ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี ? 10 อันดับครีมกันแดดยอดนิยมสำหรับคนไทย 2565

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี 10 อันดับยอดนิยมสำหรับคนไทย 2565 เรามาเริ่มกันด้วยแสงแดดเมืองไทยที่แทบจะกลืนกินผิวเราให้มอดไหม้ได้ในพริบตา ทำให้หลายๆ แบรนด์ได้ตอบสนองความต้องการของสาวๆ ที่ต้องไปเจอกับแดดเมืองไทยทุกเวลา และครีมกันแดดก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยทำให้สาวๆ ขาวขึ้นได้แน่นอน แต่ครีมกันแดดแต่ละตัวก็ให้ผลลัพธ์ และการตอบสนองกับผิวต่างกันอีก

วันนี้เราก็จะมานำเสนอ ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี และเป็นครีมกันแดดยอดนิยมที่ใครได้ทาแล้วก็ปังทุกคนแน่นอน หรือใครที่อยากรู้ว่าตัวไหนใช้แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ก็สามารถหาอ่านรีวิวกันแดดทาหน้าเพิ่มเติมได้เลย

10. DERMA ACTION PLUS SUN FACE FLUID SPF50

ครีมกันแดด DERMA ACTION PLUS SUN FACE FLUID SPF50

โดยครีมตัวนี้เป็นครีมกันแดดที่ใช้ทาใบหน้า ซึ่งมีค่า SPF 50 และครีมกันแดดมีส่วนผสมที่เป็นโลชั่นน้ำนม แถมเนื้อครีมยังมีส่วนผสมที่เบาบางมากถึงมากที่สุด ทำให้ครีมกันแดดตัวนี้สามารถซึมซับไปในผิวได้เร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะใบหน้า และที่สำคัญคือเหมาะกับสาวๆ ในแดนสยามที่สุด

9. SUNPLAY SUPER BLOCK SPF50+ 

ครีมกันแดด SUNPLAY SUPER BLOCK SPF50+ 

ครีมกันแดดทาหน้าอีกตัว นั่นก็คือ Sunplay Super Block มีค่า SPF มากกว่า 50 ซึ่งเป็นโลชั่นกันแดดสูตรน้ำ โดยครีมตัวนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปกป้องผิวจากแสงแดดของสาวๆ ได้ด้วยสูตร Solarex-3 ที่เป็นนวัตกรรมมาใหม่จากแดนอาทิตย์อุทัย ซึ่งก็สามารถปกป้องผิวหนังจากแสงแดดได้เป็นอย่างดี แถมยังลดเลือนริ้วรอย พร้อมทั้งยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังบริเวณใบหน้าได้ดีอีกด้วย

8. EUCERIN SUN DRY TOUCH ACNE OIL CONTROL

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี EUCERIN SUN DRY TOUCH ACNE OIL CONTROL

ครีมกันแดดตัวนี้เป็นครีมกันแดดเนื้อเจลที่สามารถซึมเข้าผิวหนังได้ง่าย ไม่หนักใบหน้า และยังไม่ทำให้เกิดการอุดตัน ไม่เกิดสิวซึ่งเหมาะมากๆ สำหรับสาวผิวมันหรือสาวที่เป็นสิว และตัวนี้ยังมีสารช่วยควบคุมความมันที่ชื่อว่าคาร์นิทีน ซึ่งก็ทำให้ครีมตัวนี้เป็นครีมกันแดดที่ไม่ทำให้หน้ามันง่าย หรือพูดง่ายๆ ว่าช่วยลดความมันนั่นแหละ

7. MizuMi UV Water Serum SPF 50+

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี MizuMi UV Water Serum SPF 50+

ครีมกันแดดทาหน้าจากแบรนด์ MizuMi ตัวดัง สูตรเซรั่มที่เนื้อสีขาวบางเบา เกลี่ยง่าย ไม่ทำให้ผิวหน้าอุดตัน ทาได้บ่อย ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี มีสารสกัดจากดอกยูคิโนะชิตะ วิตามิน C-IP วิตามินอี ครีมกันแดดปราศจากสารก่อภูมิแพ้ ธรรมชาติ ปราศจากน้ำมัน ไม่ใส่สารพาราเบน เรียกได้ว่าเป็นครีมกันแดดทาหน้าที่เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ตลอดจนผิวแพ้ง่ายเลยทีเดียว

6. NIVEA SUN SPRAY PROTECT & REFRESH SPF 50 

ครีมกันแดด NIVEA SUN SPRAY PROTECT & REFRESH SPF 50 

มากับครีมกันแดดที่เป็นในรูปของสเปรย์กันบ้าง โดยจุดเด่นของสเปรย์กันแดดตัวนี้คือ สามารถฉีดสเปรย์แล้วเดินไปออกแดดได้ง่ายๆ เลย ไม่ต้องรอให้ครีมซึมเข้าผิวหนังเหมือนแบบอื่น ซึ่งสเปรย์กันแดดตัวนี้สามารถใช้ได้ทั้งใบหน้าและผิวกาย ซึ่งสเปรย์ตัวนี้ก็กันน้ำได้ ทำให้ไม่ทิ้งคราบรอยบนเสื้อผ้าเลย ใช้สะดวก และด้วยความที่เนื้อสเปรย์เป็นน้ำ ซึ่งทำให้ซึมสู่ผิวหนังได้ไว ทำให้เวลาใช้แล้วจะสบายตัวมาก

5. PROVAMED SUN FACE SPF 50 

ครีมกันแดด PROVAMED SUN FACE SPF 50 

ครีมกันแดดทาหน้าตัวนี้จะเหมาะมากๆ กับคนที่แพ้ผิวง่าย และคนที่ผิวบอบบางแพ้สารเคมี เพราะจากที่ผู้ผลิตได้กล่าวมาว่า ครีมตัวนี้เป็นครีมกันแดดชนิดที่ปราศจากสารเคมีเจือปน มีเนื้อครีมที่ละเอียด นุ่ม บางเบา และสามารถซึมเข้าสู่ผิวหน้าได้เร็ว แถมเนื้อครีมเป็นสีเนื้อ ซึ่งจะทำให้ครีมสามารถกลมกลืนกับสีผิวของหลายๆ คนได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็สามารถทาเพื่อกลบริ้วรอยได้อีกด้วย 

4. Biore UV Aqua Rich Whitening Essence SPF 50+

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดีBIORE UV AQUA RICH WHITENING ESSENCE SPF 50+

ครีมกันแดดสูตร Micro Defense นวัตกรรมขั้นสุดจากญี่ปุ่น ปกป้องผิวแม้ร่องผิวลึกถึงชั้นคอลลาเจน  ไม่ให้ผิวแก่ก่อนวัย กันน้ำกันเหงื่อ และเป็นกันแดดหน้าที่ทาแล้วบางเบา เป็นสูตรน้ำเนื้อเอสเซนส์ ซึ่งจะไม่ทำให้หน้าแก่ก่อนวัยจากแสงแดดตัวร้าย และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหน้า แต่ยังสามารถกันแดดได้ และยังเป็นประโยชน์ต่อผิวหน้า ซึ่งมีค่า SPF สูง

3. SPECTRABAN SUN BLOCK CREAM SPF 60

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี SPECTRABAN SUN BLOCK CREAM SPF 60

มากับครีมกันแดดที่เหมาะกับคนเป็นสิวมากๆ ซึ่งในครีมกันแดดตัวนี้ มีส่วนผสมของสารที่ช่วยในการป้องกันรังสียูวีได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับคนหน้ามัน อาจไม่ชอบใจเพราะตัวนี้เป็นเนื้อครีม ซึ่งกว่าจะซึมเข้าสู่ผิวหน้าช้ากว่าแบบอื่นไปหน่อย แต่ตัวนี้ใช้แล้วไม่อุดตันแน่นอน

2. ZA TRUE WHITE POWER BLOCK UV SPF50 PA++

ครีมกันแดด ZA TRUE WHITE POWER BLOCK UV SPF50 PA++

เป็นครีมกันแดดที่เต็มไปด้วยความสามารถในการกันแดดที่ยอดเยี่ยม แถมยังมีความสามารถในการที่จะคุมความมันบนใบหน้าได้ดี โดยเนื้อครีมกันแดดตัวนี้จะมีความละเอียด นุ่ม เกลี่ยบนใบหน้าได้ง่าย เมื่อทาแล้วจะเรียบเนียนไปกับผิวหน้าได้ดี แต่ถ้าใครใช้ตัวนี้ก็ควรที่จะล้างหน้าให้สะอาดทั้งก่อนใช้และหลังใช้ครีม เพราะอาจจะเกิดสิวอุดตันได้

1. BANANA BOAT ULTRA PROTECT SUN SPF50 

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี BANANA BOAT ULTRA PROTECT SUN SPF50 

เป็นโลชั่นครีมกันแดดขั้นเทพที่สามารถกันแดดแรงๆ ได้ดีมาก (โดยเฉพาะเมืองไทย) โดยโลชั่นกันแดดตัวนี้สามารถกันเหงื่อที่มาจากการเล่นกีฬา หรือออกแดดแรงๆ ได้เป็นอย่างดี เนื้อโลชั่นมีความบางเบา ซึมซับเข้าสู่ผิวหนังเร็ว ไม่เหนียว และที่สำคัญโลชั่นตัวนี้จะไม่ไปอุดตันที่รูขุมขน แถมยังมีส่วนผสมของว่านหางจระเข้และวิตามินอี ซึ่งจะช่วยให้ผิวหน้าและผิวกายเรียบเนียนขึ้น

เป็นอย่างไรบ้างกับ ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี และเป็นครีมกันแดดยอดนิยม 10 ยี่ห้อ ที่จะทำให้คุณท้าแดดได้อย่างมั่นใจ แดดแรงแค่ไหนก็ไม่หวั่น ใครชอบแบรนด์ไหนก็ไปหาซื้อแล้วลองใช้กันดูได้ เพราะแสงแดดนี่เป็นตัวทำร้ายผิวของเราอย่างมากทีเดียว ทั้งทำให้ผิวคล้ำและทำให้ผิวเหี่ยวย่น รวมถึงโรคผิวหนัง ดังนั้น ก่อนออกจากบ้านหรืออยู่ในบ้านก็ควรทากันแดดกันอย่างสม่ำเสมอ


3 ประเภทค ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี ที่คุณควรรู้ก่อนเลือกซื้อ

3 ประเภทค ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี ที่คุณควรรู้ก่อนเลือกซื้อ

นอกจากการเลือกซื้อ ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี อีกหนึ่งข้อควรรู้ก็คือ ประเภทของครีมกันแดด เพราะครีมกันแดดแต่ละประเภทก็จะให้ประสิทธิภาพที่ต่างกัน โดยประเภทของครีมกันแดด แบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้

1. ครีมกันแดดดูดซับรังสี

โดยครีมกันแดดประเภทนี้ จะประกอบด้วยสารเคมีเป็นส่วนมาก และจะมีคุณสมบัติในการดูดซับรังสีได้เป็นอย่างดี ทำให้รังสีบางส่วนที่มาจากแดดไม่สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง แต่ก็จะปล่อยรังสีอื่นออกมาแทน ซึ่งก็ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง โดยครีมกันแดดประเภทนี้มีข้อดีอยู่มาก

  • ไม่มีสีให้เห็น หรือไม่ก็เป็นสีอ่อนที่เข้ากันผิวหน้าได้ดี
  • มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี
  • มีราคาที่ถูกกว่าแบบอื่น

ส่วนข้อเสียก็มีเช่นกัน

  • บางคนอาจเกิดอาการแพ้สารเคมีได้ ไม่เหมาะกับคนผิวบาง
  • ต้องทาครีมทุกๆ 1-2 ชั่วโมง ถ้าต้องออกแดดเป็นเวลานาน เพราะสารที่ผสมจะดูดซับรังสีไว้ในปริมาณที่จำกัด ถ้าดูดซับจนเกินกำลังแล้วก็จะปล่อยให้เข้าไปที่ผิวโดยตรงเลย

2. ครีมกันแดดสะท้อนรังสี

โดยครีมกันแดดประเภทนี้ จะมีส่วนผสมหลักของสารประกอบที่เป็นออกซิเจน โดยส่วนมากจะเป็นสีขาวและจะมีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันรังสี UV ได้ดีมากๆ การทำหน้าที่ของครีมประเภทนี้ คือ จะสะท้อนและกระจายรังสี UVA กับ UVB ออกไปจากผิวหนังเกือบทั้งหมด และภายหลังจากการทา เนื้อครีมบางส่วนจะถูกดูดซึมเข้าไปในผิวหนังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้ครีมกันแดดประเภทนี้จึงไม่ค่อยทำให้เกิดอาการแพ้

ข้อดีของครีมกันแดดประเภทนี้ คือ

  • สลายตัวยาก ทำให้ไม่ต้องทาบ่อยๆ
  • ไม่ระคายเคืองต่อผิว เหมาะสำหรับคนผิวบาง

3. ครีมกันแดดแบบผสม

ครีมกันแดดแบบผสมจะมีส่วนผสมของสารที่เต็มไปด้วยการดูดซับ และการสะท้อนรังสีเข้าได้ในตัว อีกทั้งยังช่วยลดผลกระทบจากสารเคมีที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ โดยเนื้อครีมจะมีส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นสีขาว ทำให้น่าใช้งานมากขึ้น ดังนั้น ครีมประเภทนี้จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่เก็บเอาข้อดี และตัดข้อด้อยของครีมกันแดดเข้าด้วยกัน และปัจจุบันครีมกันแดดส่วนใหญ่จะเป็นครีมกันแดดแบบผสม รวมถึงในปัจจุบันนี้ยังมีการนำมาผสมเป็นกันแดดรองพื้นเพื่อสามารถช่วยในการปกปิดได้อีกด้วย


ประเภทครีมกันแดด จำแนกตามผิว

ประเภทครีมกันแดด จำแนกตามผิว

  1. Sun Tan คือ ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่หลังจากการทาแล้ว เนื้อครีมจะซึมเข้าไปสู่เซลล์ผิว และจะเปลี่ยนสีผิวให้เข้มขึ้น แต่ประเภทนี้จะไม่เกิดอันตรายต่อเซลล์ผิว 
  2. Sunscreen คือ ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่ทำหน้าที่ในการกรองแสง กรองรังสี ช่วยกระจายและสะท้อนรังสีให้เข้าสู่เซลล์ผิวหนังแบบน้อยที่สุด แถมยังช่วยในการปรับสมดุลสีของผิวอาจจะที่หมองคล้ำลง หลังจากการตากแดดได้อีกด้วย

ประเภทครีมกันแดด จำแนกตามตำแหน่งการทา

ประเภทครีมกันแดด จำแนกตามตำแหน่งการทา

1. ครีมกันแดดทาหน้า

ครีมกันแดดที่ทาใบหน้า ส่วนมากจะมีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์หรือไททาเนียมไดออกไซด์เกือบทั้งหมด เพราะมีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UV ให้ออกไปได้ เหมาะสำหรับการทาผิวในบริเวณที่มีชั้นหนังบาง เช่น ใบหน้า ลำคอ

2. ครีมกันแดดทาลำตัว

ครีมกันแดดที่ทาลำตัว ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมที่เป็นสารเคมีหลายชนิด และจะเกิดการผสมกันระหว่างสารเคมีจึงทำให้เกิดการดูดซับ และสะท้อนรังสี UV โดยประสิทธิภาพการทำงานจะระบุเป็นค่า SPF เสมอ


วิธีเลือกซื้อครีมกันแดด เพื่อการดูแลผิวที่ชัดเจนและตรงจุด

วิธีเลือกซื้อครีมกันแดด เพื่อการดูแลผิวที่ชัดเจนและตรงจุด

ในแสงแดดมีรังสีปะปนอยู่หลากหลายชนิด แต่เราที่รู้จักกันดี และได้ยินกันบ่อยก็คือ อัลตราไวโอเลต (UV)  ซึ่งรังสีตัวนี้จะถูกดูดซับตั้งแต่ชั้นโอโซน ทำให้มีแค่ UVA และ UVB ที่เล็กรอดลงมาที่พื้นโลก 

โดยรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีผลต่อผิวหนังอย่างมาก โดยเฉพาะ UVA ที่มีสามารถทำให้เกิด ริ้วรอย กระ ฝ้า ความแก่ก่อนวัยบนใบหน้าได้ ส่วน UVB จะทำให้เกิดอาการแสบ แดง ไหม้ ของผิวหนังได้ แถมรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้ยังทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ที่จะไปทำลายเซลล์โปรตีนพันธุกรรม ซึ่งจะไปทำให้เกิดเนื้องอกที่ผิวหนังได้

และวิธีที่ดีที่สุดในการพิจารณาว่าครีมกันแดดตัวใดดีที่สุดสำหรับคุณคือการทดสอบก่อนตัดสินใจซื้อ ทาครีมกันแดดที่แขนและขาของคุณ และตรวจดูปฏิกิริยาการถูกแดดเผาในเวลาเพียง 10 นาที หากคุณไม่พบการถูกแดดเผา ครีมกันแดดก็อาจจะใช้ได้


ซื้อ ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี และใช้ครีมกันแดดต้องดูที่อะไรบ้าง?

ซื้อ ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี และใช้ครีมกันแดดต้องดูที่อะไรบ้าง?

  1. ดูที่ SPF ที่จะเป็นตัวบอกกับเราว่า สามารถป้องกัน UVB ได้กี่เท่า ส่วนเจ้า UVA ยังไม่มีค่าที่วัดได้ตามมาตรฐาน โดยปัจจุบันจะนิยมใช้อักษร PA กับเครื่องหมาย + แต่โดยปกติคนไทยจะมีผิวคล้ำ ซึ่งจะมีเม็ดสีที่สามารถป้องกัน UVB ได้ส่วนหนึ่ง ดังนั้นเลือกแบบ SPF ที่มีค่ามากกว่า 15 และเลือก PA++ ขึ้นไปก็พอสำหรับแดดเมืองไทยแล้ว
  2. ดูกิจกรรมที่เราทำทุกวัน ถ้าปกติออกกำลังกลางแจ้งหรือเป็นนักกีฬา มีเหงื่อออกตลอด หรือว่ายน้ำ แม้กระทั่งทำงานในที่กลางแดด ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF ที่สูง และควรเลือกประเภทที่กันน้ำได้จะดีกว่า
  3. ดูที่ปริมาณ ควรเลือกใช้ปริมานที่เหมาะกับเรา ไม่ควรเลือกแบบที่น้อยเกินไป เพราะอาจทำให้ใช้น้อยเกิน และทำให้สารเคมีทำปฏิกิริยากันน้อย ซึ่งจะทำให้ลดคุณภาพผลลัพธ์ลงไป
  4. ดูที่จำนวนครั้งที่ทาต่อวันของเรา ถ้าทำงานอยู่ในออฟฟิศ ในห้องแอร์ ทาวันละครั้งก็เพียงพอ เพราะอาจจะออกแดดบ้าง แต่ถ้าทำงานกลางแดดกลางแจ้ง โดนลมโกรก ควรจะต้องทาเติมบ่อยหน่อย
  5. เมื่อทาแล้วก็ควรอยู่เลี่ยงแดดด้วย อาจจะใส่อุปกรณ์ป้องกันอะไรต่างๆ เนื่องจากครีมกันแดดไม่ได้กันแดดได้ทั้งหมด การป้องกันเสริมก็เป็นเรื่องที่ดี 
  6. ดูครีมที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่ต้องคำนึงถึงยี่ห้อ
  7. ทานอาหารที่สามารถช่วยในการสร้างเซลล์ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระได้ จำพวกวิตามิน เกลือแร่ ซึ่งมีอยู่ในผัก และผลไม้

วิธีเลือกใช้ครีมกันแดดสำหรับผู้ที่ออกแดดประจำ

วิธีเลือกใช้ครีมกันแดดสำหรับผู้ที่ออกแดดประจำ

ในคนเอเชียจะไม่นิยมผิวคล้ำ และไม่นิยมการอาบแดด ดังนั้น การป้องกันอันตรายจากแสงแดดที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงที่ที่มีแสงแดดจัด โดยเฉพาะในช่วงเวลา 13.00-15.00 น.โดยการสวมเสื้อผ้าปกคลุม ใส่แว่นกันแดด สวมหมวกปีกกว้าง หรือกางร่มเสมอ แต่ถ้าใครที่ต้องทำงานกลางแดด หรือเล่นกีฬากลางแจ้ง ควรเลือกวิธีใช้ครีมกันแดดดังนี้ 

  1. เลือกแบบที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป
  2. เลือกแบบที่มีสารเคมีที่สามารถกัน UVA ได้ดี
  3. เลือกสารที่สามารถกันน้ำได้

ก่อนออกแดดควรทากันแดดให้หนาเพียงพอ แต่ก็ไม่ต้องหนาเกินไปเพราะอาจจะทำให้อุดตัน ทาก่อนออกแดดสัก 15 นาที และอาจทาซ้ำทุก 1-2 ชม. ถ้าต้องออกแดดตลอด ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการกันแดดได้มากถึง 2-3 เท่า แต่คนเราส่วนใหญ่จะทาครีมกันแดดในปริมาณน้อยกว่าที่ควรจะเป็นจึงอาจจะทำให้การทากันแดดไม่ได้ประสิทธิภาพ


อ้างอิง

How to Select, Apply, and Use It Correctly. https://www.webmd.com/children/sunscreen-use-correctly

Sunscreen 101: คู่มือเลือกซื้อและวิธีใช้ครีมกันแดด ฉบับคุณหมอขอแนะนำ. https://thestandard.co/sunscreen101/

เลือกใช้ครีมให้เหมาะกับผิวหน้ายังไงดี ให้หน้ากระจ่างใส

เมื่ออายุมากขึ้น ผิวจะยืดหยุ่นน้อยลงและกักเก็บน้ำมันและน้ำได้น้อยลง ซึ่งจะทำให้ผิวแห้งตึงและยืดหยุ่นน้อยลง เพื่อต่อสู้กับสิ่งนี้ หลายคนหันไป เลือกใช้ครีม ทาหน้าเพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและปกป้องผิว ครีมบำรุงผิวหน้ามีหลายประเภทและแต่ละประเภทก็มีข้อดีและข้อเสียต่างกันไป


หน้ามัน แห้ง ผิวผสม หรือแพ้ง่าย เลือกใช้ครีม บำรุงผิวหน้ายังไงดี

หลายคนที่กำลังมองหาครีมบำรุงผิวหน้านั้น อาจจะเกิดข้อสงสัยว่าในเมื่อผิวของเราแต่ละคนนั้นมีสภาพที่แตกต่างกัน อย่างนั้นแล้วแต่ละสภาพผิวนั้นควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวหน้าแบบใดจึงจะได้ประโยชน์ และทำให้สุภาพผิวได้อัปเกรดมากที่สุด วันนี้เราจะไปดูว่าสภาพผิวแบบต่างๆ ควร เลือกใช้ครีม บำรุงผิวหน้าแบบไหนถึงจะดีต่อผิว

หน้ามัน แห้ง ผิวผสม หรือแพ้ง่าย เลือกใช้ครีม บำรุงผิวหน้ายังไงดี

ผิวธรรมดา

คนที่มีผิวธรรมดานั้นถือว่าโชคดีมาก เพราะว่าผิวธรรมดาเป็นผิวที่ดูแลได้ง่ายมาก ไม่ต้องคอยหงุดหงิดกับความมันที่เกิดขึ้นได้ง่าย และก็ไม่ต้องคอยดูแลเรื่องผิวแห้งกร้าน เพราะว่ามีรูขุมขนที่ละเอียดมาก ขอเพียงเลือกครีมบำรุงผิวหน้าที่มีผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ในการทาผิวพรรณตอนเช้าและก่อนนอนก็เพียงพอแล้ว หรือหากว่าต้องออกกิจกรรมระหว่างวันที่ต้องพบเจอกับแสงแดด อาจจะทาครีมป้องกันรังสียูวีหรือครีมกันแดดรองพื้น เพื่อช่วยเรื่องการปกป้องผิวด้วยก็ได้ ถือว่าผิวธรรมดาดูแลกันได้ง่ายจริงๆ

ผิวมัน

ผิวมัน ถือว่าเป็นสภาพผิวที่สามารถเกิดสิวได้ง่ายมากๆ และปัญหาเรื่องสิวเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยและร่องรอยของจุดด่างดำที่น่าหงุดหงิด ทำให้สีผิวไม่เรียบเนียน ครีมสำหรับคนหน้ามันที่ควรเลือกใช้ ควรไม่มีสารประกอบของน้ำมัน และใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนประกอบของน้ำ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น และต้องเป็นชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดสิว ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอมหรือพวกสารกันเสียต่างๆ ที่จะทำให้ผิวอุดตัน แต่ว่าคนที่ผิวมันนั้นก็มีข้อดีเช่นกันเพราะว่าจะชะลอการแก่โดยอัตโนมัตินั่นเอง จะมีริ้วรอยน้อยมาก เพราะว่าผิวไม่แห้ง

ผิวแห้ง

คนที่มีผิวแห้งนั้นมักจะสภาพผิวที่ไม่เรียบเนียน เพราะผิวแห้งจะสูญเสียน้ำอยู่ตลอดเวลา ผิวจะเป็นขุยได้ง่าย ขาดความยืดหยุ่น ดังนั้นไม่ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นหรือล้างหน้าบ่อยเกินไป ควรใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่ผสมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ หรืออาจจะใช้ไนท์ครีมบำรุงผิวที่ผสมน้ำมันก็ได้เพื่อช่วยในการกักเก็บน้ำ แต่สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงอย่างมากคือ ครีมบำรุงผิวหน้าที่ผสมแอลกอฮอล์ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวหน้าแห้งและเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น

ผิวผสม

ผิวชนิดนี้จะเกิดสิว เกิดรอยได้ง่าย และดูแลได้ยากมาก ในส่วนของคนไทยจะมีผิวสภาพนี้ค่อนข้างเยอะ สิ่งที่ต้องระวังสำหรับการทาครีมบำรุงผิวหน้าคือ การทาครีมบำรุงผิวหน้าบริเวณทีโซน เพราะว่าบริเวณนี้จะเกิดสิวได้ง่ายมาก บริเวณโหนกแก้มต้องระวังเรื่องผิวแห้งอีกด้วย ส่วนครีมบำรุงผิวหน้าที่ควรเลือกนั้นมีการผลิตครีมบำรุงผิวหน้าสำหรับคนที่มีผิวผสมค่อนข้างเยอะ ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดหลากหลายยี่ห้อ

ผิวบอบบางแพ้ง่าย

อีกหนึ่งผิวที่ดูแลได้ยาก เพราะว่าใช้ครีมบำรุงผิวหน้าก็มักจะแพ้อยู่ตลอด อาจจะคัน มีสิวขึ้น มีรอยแดง หรืออาจทำให้ผิวหน้าบอบช้ำได้เลย ครีมบำรุงผิวหน้าที่เลือกใช้จึงควรเลือกครีมบำรุงผิวหน้าที่ใช้กับผิวของเด็ก และสำหรับผิวที่แพ้ง่ายเท่านั้น

ทั้งหมดนี้คือการ เลือกใช้ครีม ตามสภาพผิวต่างๆ ของคนเราที่พบได้ส่วนใหญ่ ไม่ว่าคุณจะมีผิวแบบไหนก็คงไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้วในการใช้ครีมบำรุงผิวหน้าให้ถูกต้องกับสภาพผิว นอกจากนี้ยังมีครีมหน้าใสที่น่าสนใจมากฝากทุกคนอีกด้วย จะมีแบรนด์ใดบ้างตามไปดูกัน


เลือกใช้ครีม ช่วยหน้าใสยี่ห้อไหนดี 15 ไอเทม จัดด่วน ได้ผลจริง

สำหรับสาวๆ ที่อยากจะซื้อครีมหน้าใส หน้าขาวมาทาเพื่อช่วยเสริมความสาวความสวยให้อยู่ยงคงกระพัน แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปหาซื้อยี่ห้ออะไร ที่ไหนดี เพราะมีหลายยี่ห้อที่ทำออกมาและก็มีหลายคำแนะนำที่เคยได้ยินมา ดังนั้นวันนี้เราก็เลยจะมาช่วยจัดอันดับ 15 ครีมหน้าใสที่ได้ผลจริงๆ กับสาวๆ ทั่วประเทศมาแล้ว ไปดูกันเลยว่ามีครีมหน้าใสยี่ห้อไหนติดอันดับบ้าง

เลือกใช้ครีม Olay Natural White

อันดับ 15 

Olay Natural White นี่คือแบรนด์ที่หลายคนรู้จักอย่างแน่นอน และโอเลย์ก็ครีมทาผิวที่หาได้ง่ายและราคาก็ไม่แพง สามารถซื้อขนาดเล็กและแบบซองมาลองใช้ได้ด้วย ซึ่งก็ดูเป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าทำไมต้องมาอยู่ในอันดับที่ 15 ล่ะ ก็เพราะว่าโอเลย์ชนิดนี้ช่วยให้หน้าขาวแค่อย่างเดียว แต่ไม่ช่วยในการรักษาสิวฝ้าและรอยจุดด่างดำใดๆ ทั้งสิ้น แต่ข้อควรระวังก็คือสาวผิวมันไม่ควรใช้ครีมนี้เลย

เลือกใช้ครีม Garnier

อันดับ 14 

Garnier หรือที่เรียกว่า การ์นิเย่ นั่นแหละ ซึ่งนี่ก็เป็นครีมหน้าขาวที่หลายคนชอบมากๆ ประโยชน์ของครีม คือเห็นผลเร็วเมื่อเทียบกับครีมหน้าใสชนิดอื่นๆ และยังช่วยขจัดจุดด่างดำได้เป็นอย่างดี แต่ครีมการ์นิเย่ก็มีความเข้มข้นของ AHA เยอะมาก ซึ่งอาจทำให้หลายคนรู้สึกแสบผิวได้ และไม่เหมาะกับสาวผิวบางเป็นอย่างมาก

ครีม Hadalabo เซรั่ม อาร์บูติน

อันดับ 13

Hadalabo เซรั่ม อาร์บูติน ซึ่งเป็นเซรั่มที่สาวๆ ชอบมาก เพราะครีมมีความบางและสามารถทาสนิทไปกับผิวหน้าได้เลย แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความยาวนานในการใช้ เพราะครีมฮาดะลาโบะมีขนาดความเข้มข้นของสารอาร์บูตินอยู่น้อยมาก ทำให้ต้องใช้หลายขวดหลายรอบมากๆ และข้อดีก็คือทำให้ไม่แพ้ แต่ผลเสียก็คือเห็นผลช้านั่นแหละ

ครีม Vit C บูทติ้ง เซรั่ม

อันดับ 12

Vit C บูทติ้ง เซรั่ม เป็นเซรั่มบำรุงผิวที่บำรุงด้วยวิตามินซี ซึ่งก็เป็นผลิตภัณฑ์ของ Oriental Princess ซึ่งครีมมีความเบาบางและมีกลิ่นหอมของส้มด้วย และเมื่อใช้ไปนานๆ จะช่วยให้ผิวเรียบเนียนแบบเห็นได้ชัด และยังช่วยให้ลดเลือนจุดด่างดำ สิวฝ้าได้ดีมากๆ แต่ก็ไม่เหมาะกับผิวที่แห้ง เป็นขุยง่าย เพราะเป็นครีมที่ไม่ให้ความชุ่มชื่นกับผิว และยังมีราคาที่แพง แถมยังมีส่วนผสมของน้ำหอมอยู่มากทีเดียว ซึ่งใครที่ไม่ชอบน้ำหอมก็เลี่ยงได้เลย

เลือกใช้ครีม สมูทโตะ โทเมโท คอลลาเจน ไวท์ เซรั่ม

อันดับ 11 

สมูทโตะ โทเมโท คอลลาเจน ไวท์ เซรั่ม เป็นเซรั่มที่หลายคนได้ยินมาว่าใช้ซองนี้หนึ่งซองจะได้เท่ากับกินมะเขือเทศ 10 ลูก ซึ่งก็เป็นครีมที่สาวๆ หลายคนชอบใช้ และมีขนาดเล็กเหมาะกับคนที่ชอบพกพาครีมไปที่ต่างๆ แถมยังมีราคาที่ไม่แพงและหาซื้อได้ง่ายมากๆ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยระยะเวลาที่นานมากๆ ในการที่จะเห็นผล เพราะจะเน้นไปที่เรื่องกระชับรูขุมขนและการบำรุงมากกว่า และยังเป็นครีมที่ไม่มีกลิ่นหอมเลย ทำให้บางคนอาจจะไม่ชอบ แถมยังไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบมะเขือเทศ

ครีม Scentio White Collagen

อันดับ 10

Scentio White Collagen ผลิตภัณฑ์ของดีจาก บิวตี้ บุฟเฟ่ต์ ซึ่งเหมาะกับสาวๆ ผิวแห้ง และสาวๆ ผิวที่เป็นขุยอย่างมาก เพราะเป็นครีมที่ให้ความชุ่มชื่นของผิวเป็นอย่างมาก ซึ่งการใช้ก็ควรจะแตะไปหน้าเบาๆ แต่ก็ไม่เหมาะกับสาวๆ ที่อยากขาวไวๆ เพราะตัวนี้ก็เน้นไปที่การบำรุงและการชุ่มชื่นกับผิวเช่นกัน และครีมนี้ก็ยังมีกลิ่นน้ำหอมเล็กๆ ด้วย อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมนะ

เลือกใช้ครีม POND'S White Beauty Cream

อันดับ 9

POND’S White Beauty Cream ครีมดูแลผิวหน้าให้ดูขาวเรียบเนียนกระจ่างใสอมชมพู ตรงเข้าสยบ 10 ปัญหาผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำที่จัดการยาก สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าชั้นนำทั่วไป แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกันออกไป เพราะบางคนก็บอกว่าใช้ได้ดีมาก ช่วยให้หน้าขาวใสได้ดี แต่บางคนก็มีการแพ้และแสบหน้า ดังนั้นก่อนใช้ก็ควรจะเช็กให้ดีก่อน

ครีม Za True White

อันดับ 8 

Za True White เป็นครีมที่เป็นที่ชื่นชอบมากๆ ในกลุ่มสาวๆ วัยรุ่น เพราะมีส่วนผสมที่ช่วยในการยับยั้งสารที่ทำให้ผิวเราหมองคล้ำ และนอกจากนี้ยังทำให้ผิวเรากระจ่างใส ซึ่งก็เป็นครีมที่มีราคาแพงพอสมควร เพราะขายเป็นชุด แต่ก็อยากให้ลองใช้ผสมกับครีมประจำที่ใช้อยู่ รับรองว่าปังแน่นอน

เลือกใช้ครีม Fracora Placenta Extract

อันดับ 7

Fracora Placenta Extract เป็นครีมหน้าขาวที่ใช้รองพื้นก่อนที่จะใช้ครีมตัวประจำ เพราะจะทำให้หน้าขาวได้ไวขึ้น และครีมนี้เป็นครีมที่สกัดจากรกหมู ทำให้สาวๆ มุสลิมใช้ไม่ได้ และไม่เหมาะกับคนที่ชอบกลิ่นแรงๆ ของซอสญี่ปุ่น เพราะเจ้าตัวนี้กลิ่นแรงมาก

ครีม La Roche-Posay Effaclar Duo Plus

อันดับ 6 

La Roche-Posay Effaclar Duo Plus เนื้อครีมเจลที่ทาแล้วไม่เหนอะหนะผิว ทาไปแล้วให้ความชุ่มชื้นผิว  เหมาะกับคนที่เป็นสิวง่าย ผิวอักเสบ แพ้ง่ายบ่อยๆ ไม่มีกลิ่นที่แรง ลดการอักเสบของผิวและฟื้นบำรุงผิวให้แข็งแรงสดใสขึ้น นอกจากจะช่วยบำรุงให้ผิวขาวกระจ่างใสแล้ว ตัวนี้ยังมีส่วนผสมของ LHA มาช่วยต้านแบคทีเรีย P.Acne ที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว หาซื้อได้ง่ายแต่ราคาค่อนข้างแพง

SkinFood Yaja Water C

อันดับ 5 

SkinFood Yaja Water C เป็นครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินซีเยอะมาก ซึ่งเป็นการสกัดจากส้มยูซุ แต่ก็เป็นครีมที่มีราคาแพงพอตัว ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผิวกระจ่างใสแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ได้ด้วย ซึ่งจะช่วยให้หน้าดูเต่งตึงและกระชับได้ดีมากๆ แต่ไม่เหมาะกับสาวๆ ที่ผิวแพ้ง่าย เพราะมีส่วนผสมของน้ำหอมอยู่ ดังนั้นควรทดสอบการใช้ก่อน

ครีม Guerisson 9 Complex Cream

อันดับ 4 

Guerisson 9 Complex Cream ชื่ออาจไม่คุ้น แต่หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า ครีมน้ำมันม้า แน่นอน เพราะเป็นครีมที่มาจากประเทศเกาหลี สรรพคุณคือช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส แต่ก็ต้องใช้งานไปนานพอสมควรกว่าจะเห็นผล เพราะเน้นไปที่การบำรุง และเน้นไปที่ความชุ่มชื่นมากกว่า

ครีม Loreal White Perfect Laser

อันดับ 3

Loreal White Perfect Laser ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า เป็นครีมที่ราคาแพงแต่ก็มีส่วนผสมของเซรั่มสูงมาก ซึ่งจะเห็นผลได้แค่ในช่วงเดือนแรกเท่านั้น แต่ก็ทำให้สิว ฝ้าทั้งหลายหายไปได้แน่นอน ซึ่งใครที่ชอบความขาวใสแบบทันตาก็ต้องรอนานนิดนึง

ครีม Neutrogena Hydro Boost Gel Cream

อันดับ 2

Neutrogena Hydro Boost Gel Cream เป็นครีมที่ใช้กันทั่วโลก เพราะสามารถช่วยในเรื่องความกระจ่างใส พร้อมกับความชุ่มชื่นในตัว และเหมาะมากๆ กับสาวๆ ที่ชอบความกระชับของผิว แต่ก็ทำให้ผิวแห้งได้ง่ายมาก ซึ่งก็ไม่เหมาะกับสาวผิวแห้งเลย

เลือกใช้ครีม SK-II GENOPTICS AURA ESSENCE

อันดับ 1

SK-II GENOPTICS AURA ESSENCE ผิวกระจ่างใสดูมีออร่า ด้วยส่วนประกอบจากพิเทร่าเข้มข้น และ GenOptics Aura Complex ที่จะช่วยลดเลือนการก่อตัวของจุดด่างดำทั้งที่มองเห็นและที่ซ่อนอยู่ภายใน ช่วยแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ปรับสีผิวขาวกระจ่างใสขึ้นและเปล่งประกาย ช่วยลดความหมองและจุดด่างดำ จะใช้เป็นเดย์ครีมก็ได้หรือไนต์ครีมก็ดี ไม่ทิ้งความเหนอะหรือความมันไว้บนผิวด้วย

ครีมบำรุงผิวหน้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือครีมที่ทำมาเพื่อลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างอายุ ซึ่งครีมเหล่านี้สามารถช่วยปรับปรุงลักษณะที่ปรากฏของผิวโดยการลดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น และโดยการป้องกันผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม รวมถึงครีมบำรุงผิวหน้าที่ช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นทาแล้วช่วยบำรุงผิวให้ดีขึ้นได้จริง 

นี่ก็เป็นเพียง 15 อันดับที่เราคัดมาให้ได้เลือกกัน ใครที่ผิวแบบไหนก็ลองดูส่วนประกอบในการพิจารณาเลือกซื้อมาใช้กันได้ และมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้มาตรฐานอย่างแน่นอน


10 สมุนไพรที่ดีต่อใจและดีต่อผิว หามาให้แล้วที่จะทำหน้าใสจริง

เลือกใช้ครีม

การใช้พวกสมุนไพรทาหน้าก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากหลายคนเชื่อว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีประสิทธิภาพมากกว่ามอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวหน้าทั่วไป หรือมีเหตุผลอีกหลายประการที่ผู้คนอาจเลือกใช้ครีมทาหน้าสมุนไพร รวมทั้งความเชื่อที่ว่ามีประสิทธิภาพในการปรับปรุงสุขภาพผิวมากขึ้น ลดเลือนริ้วรอย และป้องกันมะเร็งผิวหนัง เนื่องจากมาธรรมชาติ

เราจึงได้เลือก 10 สมุนไพรที่ดีต่อใจและดีต่อผิวที่จะทำหน้าใสจริง จะมีอะไรบ้างตามมาดูกันได้เลย

1. เลือกใช้ครีม สมุนไพรตะไคร้

ตะไคร้คือสมุนไพรยอดฮิตที่ใครๆ ก็นำมาผสมกับผลิตภัณฑ์ตัวเอง ซึ่งตะไคร้ก็เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ที่ช่วยต่อต้านการเกิดของเชื้อราบนผิวหนังของเราได้เป็นอย่างดี และตะไคร้ยังอุดมไปด้วยสารที่สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระ นั่นแปลว่าตะไคร้มีสามารถในการที่จะบำรุงผิวของเราได้ดี และยังช่วยให้ผิวหนังของเราเปล่งปลั่ง ดูกระจ่างใส พร้อมทั้งทำให้ผิวหนังเราดูอ่อนเยาว์ นุ่มเนียนอยู่เสมอ แถมยังช่วยลดสิว และรอยต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

2. ครีมสมุนไพรมะขามเปียก

มะขามเปียกคือสมุนไพรอย่างหนึ่ง ที่สามารถช่วยในการกำจัดสิ่งสกปรกในผิวหนังออกไปได้ เพราะมะขามเปียกมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ซึ่งจะช่วยในการกำจัดคราบสกปรกจากผิวหนังได้เป็นอย่างดี โดยบางตำราอาจจะใช้มะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่น แล้วนำมาพอกที่ผิวหนัง โดยมะขามเปียกจะเน้นขัดไปที่บริเวณรอยด้านที่ผิวหนัง จำพวกฝ่ามือ ข้อศอก ตาตุ่ม หรือบริเวณรักแร้ และขาหนีบ ซึ่งจะสามารถช่วยทำให้ผิวหนังเราที่มีรอยดำจางลงไปได้ ซึ่งก็จะทำให้ผิวขาวนุ่มนวล น่าสัมผัสขึ้น

3. เลือกใช้ครีม สมุนไพรขมิ้นชัน

ในขมิ้นจะประกอบไปด้วยสารเคอร์คูมิน น้ำมันหอมระเหยของขมิ้น โดยขมิ้นจะมีฤทธิ์ที่สามารถช่วยในการยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้หลากหลายชนิด โดยเราสามารถใช้ทาบนผิวหนังที่มีอาการเป็นผดผื่นคัน ซึ่งก็จะช่วยซ่าเชื้อได้ และการใช้ผงขมิ้นใช้ทาตัวจะทำให้ขาวขึ้น โดยสามารถใช้บำรุงผิวหรือใช้ฆ่าเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังได้ดีอีกด้วย

4. ครีมสมุนไพรว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติที่ช่วยบำรุงผิว ซึ่งก็จะทำให้ผิวพรรณของเราดูเนียนนุ่มชุ่มชื้น และว่านหางจระเข้ยังสามารถแก้ปัญหาผิวแห้งกร้านบริเวณข้อศอก หัวเข่า หรือแถวๆ ส้นเท้าได้ โดยแค่ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ นำไปแช่ในน้ำเปล่าที่สะอาด โดยในขณะอาบอยู่ให้ใช้เนื้อวุ้นว่าน ถูตัวตามส่วนต่างๆ แต่ต้องระวังให้ล้างยางสีเหลืองในว่านออกให้หมดก่อน เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผิวกับคนผิวบาง

5. เลือกใช้ครีม สมุนไพรแตงกวา

แตงกวาเป็นสมุนไพรที่มีวิตามินสูง และในแตงกวาก็ยังมีตัวเอนไซม์อีเลพซิน ซึ่งมีความสามารถในการที่จะช่วยย่อยโปรตีนในร่างกายได้เป็นอย่างดี และเอนไซม์ชนิดนี้จะสามารถไปลอกผิวหนังที่หยาบกร้านให้หลุดออกไปจากผิวหนังได้ ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ผิวของเราดูอ่อนนุ่ม น่าสัมผัสมากขึ้น โดยแตงกวาเป็นทั้งผลไม้และสมุนไพรที่มีประโยชน์ มีราคาถูก สามารถหาซื้อได้ตามตลาด หรือจะปลูกเองก็ได้ ถ้าใช้เป็นประจำรับรองว่าผิวสวย ดูสดชื่น และมีน้ำมีนวลนุ่มเนียนน่าสัมผัสแน่นอน 

6. ครีมสมุนไพรน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งอาจจะไม่ใช่สมุนไพรเสียทีเดียว แต่น้ำผึ้งก็มีคุณสมบัติที่เหมาะกับการรักษาผิวได้เป็นอย่างดี ซึ่งน้ำผึ้งจะประกอบไปด้วยน้ำตาลฟรุกโตส น้ำตาลกลูโคส ขี้ผึ้ง และส่วนประกอบอื่นๆ ประกอบอยู่ปะปนกันไป โดยจะน้ำผึ้งใช้เป็นส่วนประกอบของครีมเครื่องสำอางส่วนมาก และส่วนใหญ่จะเป็นครีมสมุนไพรที่ใช้ในการพอกหน้า ซึ่งก็สามารถทำให้ผิวหน้าดูชุ่มชื่น มีความเปล่งประกาย และยังทำให้ผิวดูมีน้ำมีนวลขึ้นอีกด้วย

7. เลือกใช้ครีม สมุนไพรมะพร้าว

ผลไม้มะพร้าวสามารถช่วยทำให้ผิวดูสดใส เปล่งปลั่ง มีประกาย ซึ่งก็จะไปทำให้ผิวเราดูขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เนื่องจากในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่ซึ่งทำให้ผิวดูขาวขึ้นได้

8. ครีมสมุนไพรน้ำมันมะกอก

มะกอกเป็นสมุนไพรที่ไม่ค่อยรู้จักกัน และสำหรับในน้ำมันมะกอกนั้นจะมีวิตามินอีปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งก็มีประโยชน์ต่อผิวเป็นอย่างมาก และยังช่วยบํารุงคอลลาเจนใต้ผิวหนังของเรา ซึ่งคอลลาเจนก็จะทำให้ผิวหนังของเรามีความเนียนนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติ น่าสัมผัสยิ่งขึ้น

9. เลือกใช้ครีม สมุนไพรแครอท

แครอทเป็นสมุนไพรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่เยอะพอสมควร โดยจะสามารถทำให้ผิวพรรณของเราดูเปล่งปลั่ง กระจ่างใส และยังช่วยในการชะลอความชราไม่ให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเร็วได้อีกด้วย ซึ่งในทางกลับกันก็จะทำให้เราดูอ่อนเยาว์ขึ้นเป็นกอง

10. ครีมสมุนไพรมะละกอ

มะละกอเป็นสมุนไพรที่ประกอบไปด้วยเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมะละกอยังช่วยลดความอ้วนได้ดีอีกด้วย แถมเมื่อสุกแล้วก็จะอร่อย หวานหอม ที่สำคัญคือรักษาสิวได้ นี่แหละที่ต้องการกับการนำมาทำครีมสมุนไพรที่ดีสุดๆ

แม้ว่าการใช้ครีมทาหน้าสมุนไพรจะมีประโยชน์มากมาย แต่สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวหน้าแบบเดิมๆ และสิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ซึ่งอาจรวมถึงการระคายเคืองผิวหนังและอาการแพ้ด้วย หากคุณกำลังจะใช้สมุนไพรเพื่อบำรุงผิวก็อย่าลืมเรื่องนี้ด้วย แม้จะเป็นของธรรมชาติแต่บางคนก็อาจจะแพ้ได้ ดังนั้น หากจะใช้อะไรก็เลือกใช้ให้เหมาะกับผิวของตัวเองจะดีที่สุด


อ้างอิง:

10 Tips On How To Choose The Right Moisturizer : https://www.alchimie-forever.com/blogs/the-alchemist-blog/10-tips-on-how-to-choose-the-right-moisturizer-for-your-skin

How to Choose the Skincare Products Best Suited for Your Skin : https://www.realsimple.com/beauty-fashion/skincare/how-to-choose-skin-care-products

ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีวิธีไหนช่วยลดเลือนได้บ้าง

ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีวิธีไหนช่วยลดเลือนได้บ้าง

ริ้วรอยรอบดวงตา นอกจากเป็นสัญลักษณ์แห่งก้าวผ่านช่วงวัยแล้ว มีหลาย ๆ คนเกิดความไม่มั่นใจเพราะว่าริ้วรอยที่ตานั้นสามารถมองได้ง่ายและชัดเจน อีกทั้งมีความบอบบางสูงดูแลรักษาค่อนข้างละเอียดอ่อน วันนี้เราจะพาทุกท่านมาหาคำตอบ ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีวิธีไหนช่วยลดเลือนได้บ้าง ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง


ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดจากอะไร

ริ้วรอยรอบดวงตา

แล้วทำไมริ้วรอยจึงเกิดขึ้นรอบดวงตา คำตอบก็คือ ผิวของเราเกิดความไม่ยืดหยุ่นดังเดิม เป็นเพราะว่าผิวสูญเสียอิลาสตินและคอลลาเจนในผิวถูกทำลายในระหว่างช่วงวัยหรือพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น

  • สภาพอากาศ ไม่ว่าจะแดดจ้าร้อนจัดและต้องอยู่ตากแดดนาน ๆ โดยไม่ได้ป้องกันผิวทำให้เกิดความเหี่ยวย่นได้ ฉะนั้นการออกแดดทุกครั้งควรทาครีมกันแดดบริเวณเปลือกตาและสวมแว่นกันแดดเป็นประจำ หรือสภาพอากาศที่หนาวเหน็ยทำให้ผิวขาดคววามชุ่มชื้น อันเป็นบ่อเกิดเหตุแห่งริ้วรอยได้
  • พฤติกรรมประจำวัน เช่นการขยี้ตา นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน
  • การแสดงออกทางสีหน้า เช่น การยิ้ม หัวเราะ ทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าขยับและยืดหหดบ่อยครั้ง
  • ผิวขาดความชุ่มชื้น ถึงแม้ว่าบริเวณรอบดวงตาจะบอบบางแต่ใช่ว่าจะละเลยการทาครีมบำรุงไปเลย หากเมื่อใดที่ผิวบริเวณรอบดวงตาแห้ง ไม่ชุ่มชื้น ชั้นไขมันที่กักสะสมก็จะน้อยลงไปด้วย
  • อายุที่มากขึ้น นอกจากผิวที่สูญเสียคอลาเจนและอิลาสติน กระดูกใต้ตาของบางคนก็จะยุบตัวลง ทำให้เนื้อบริเวณดวงตาน้อยลง ทำให้ดูมีรอยเหี่ยวย่น
  • การล้างหน้าที่ไม่อ่อนโยน กรณีเกิดขึ้ึนได้ทุกเพศ เพราะถ้าหากการล้างหน้าโดยถูหน้า ดวงตาที่รุนแรงทุกวันทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นได้
  • การสูบบุหรี่ นิโคตินเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวเหี่ยวย่น และการสูบบุหรี่ทำให้เส้นเลือดหดตัวและออกซิเจนไม่สามารถส่งผ่านได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผิวขาดอากาศหายใจ และไม่แม้แต่แค่บริเวณรอบดวงตาและเป็นทั้งใบหน้าเลยทีเดียว
  • พันธุกรรมและภูมิแพ้จากสุขภาพส่วนตัว ในบางคนอาจมีพันธุกรรมใต้ตามีริ้วและสีคล้ำมาตั้งแต่กำเนิด หรือสุขภาพส่วนตัวเช่นเปนภูมิแพ้ ทำให้รอบดวงตาบอบช้ำง่าย 

ประเภทของริ้วรอย

ริ้วรอยรอบดวงตา

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ถึจะเกิดริ้วรอยขึ้น แต่ว่าก็ยังแยกประเภทอีกว่าสามารถรักษาฟื้นฟูให้กลับมาเต่งตึงได้ดังเดิมหรือไม่ ซึ่งประเภทของริ้วรอยแบ่งด้ 2 อย่าง ดังนี้

  1. Dynamic Line

เป็นริ้วรอยที่เกิดจากกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังมีการหดตัวซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง การยืดหดตัวเช่นนี้มาจากการแสดงสีหน้า(Expression Wrinkle) ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวบริเวณใบหน้านั่นเอง ซึ่งการเกิดริ้วรอยประเภทนี้มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้นและบางรายแทบจะกลับมาสู่สภพเดิมได้ แม้ใช้การบำรุงรอบดวงตาด้วยวิธีธรรมชาติ ก็คือทำให้บริเวณรอบดวงตาชุ่มชื้นตลอดเวลา ทำให้คอลลาเจนบนผิวคงสมดุลและเต่งตึง

  1. Static Line

เป็นริ้วรอยคงที่ที่เกิดจากผิวหหนังเกิดความเสียหายทำให้ริ้วรอยอยู่คงที่ สาเหตุนั้นมาจากการสูญเสียคอลลาเจน ผิวที่แห้งกร้านขาดการดูแล การแสดงสีหน้าบ่อยครั้งสะสม ซึ่งรอยชนิดนี้แม้ไม่ได้ขยับก็สามารถเห็นริ้วรอยร่องลึกได้อย่างชัดเจน และยังคงอยู่บนใบหน้าตลอด การักษามีสองหนทางคือการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้น หรือฉีดไขมันเข้าไปเติมร่องลึกให้อิ่มฟูขึ้นมา


วิธีลดเลือน ริ้วรอยรอบดวงตา

ริ้วรอยรอบดวงตา

1.มาส์กธรรมชาติ

การเลือกใช้มาส์กที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ หรือมาส์กที่เราสามารถผสมได้เองนั้นก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อช่วยในการลดเลือนริ้วรอย ส่วนผสมจากธรรมชาติอย่างแรกที่มีคุณสมบัติที่ดีต่อการบำรุงผิวนั้นก็คือ น้ำผึ้ง ซึ่งมีการใช้กันมาอย่างยาวนานเป็นพัน ๆ ปี เพราะน้ำผึ้งมีฤทธิ์ในการปลอบประโลมผิว และช่วยในการสมานผิวที่อ่อนแอให้กลับมาแข็งแรงยิ่งขึ้น อีกหนึ่งส่วนผสมธรรมชาติก็คือโยเกิร์ต ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นขึ้นได้ภายในไม่กี่นาที แบะความชุ่มชื้นนี่เองที่จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยรอบดวงตาขึ้นได้ 

2. ครีมบำรุง

การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่สามารถช่วยในการบำรุงให้ริ้วรอยรอบดวงตาดูจางลง หรือปกกันไม่ให้มีริ้วรอยใหม่เกิดขึ้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะสามารถช่วยในเรื่องของริ้วริยได้ในระยะยาว โดยอายครีมที่เลือกใช้นั้นควรมีส่วนผสมที่สามารถช่วยปัญหาริ้วรอยได้โดยเฉพาะ และที่สำคัญคือจะต้องมีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้น้พียงพอ เพราะเมื่อผิวของเรามีความชุ่มชื้นเพียงพอนั้นก็จะเปิดความหยืดหยุ่นผิวหนังไม่แห้งตึงจนเกิดเป็นปัญหาริ้วรอย สำหรับส่วนผสมสำคัญที่เราควรมองหาในครีมบำรุงรอบดวงต่นั้นก็เช่น

  • Retinol ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้เกิดริ้วรอยได้ยากยิ่งขึ้น
  • Q10 ช่วยในการปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายจากแสงแดด และชะรอการเกิดริ้วรอย
  • Vitamin C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีที่จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอย
  • Hyaluronic acid เพิ่มความชุ่มชื่นให้กักผิว ช่วยให้ผิวกักเก็บความชื้นได้ดียิ่งขึ้น
  • Vitamin E ช่วยในการปลอบประโลมผิว และบำรุงอย่างล้ำลึก
  • Ceramides ช่วยให้ผิวแข็งแรง เสริมสร้างเกราะให้กับผิว

อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการเลือกครีมทารอบดวงตานั้นก็คือการเลือกใช้ครีมที่มีความอ่อนโยนเพราะผิวรอบดวงตานั้นมีความบอบบาง และอาจไวต่อสารต่าง ๆ ในครีมได้

3. เทคนิคแพทย์

  • โบท็อกซ์ เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดริ้วรอบรอบดวงตาที่เป็นที่นิยมมาก ๆ สำหรับการฉีดโบท็อกซ์นั้น จะเริ่มเห็นผลของความเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 5-7 วัน และจะเห็นผลได้อย่างชัดเจนที่สุดเมื่อครบ 2 สัปดาห์ และจะคงอยู่เช่นนั้นเป็นเวลา 3 – 6 เดือน โดยขึ้นอยู่กัยคุณภาพของโบท็อกซ์ และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต 
  • เลเซอร์ลดริ้วรอยใต้ตา 
  • รักษาด้วยคลื่นวิทยุ (Radio Frequency – RF) เป็นวิธีที่เหมาะมาก ๆ กับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากการที่ผิวขาดคอลลาเจน คลื่นวิทยุนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว และทำให้ผิวกลับมาดูเต่งตึงอีกครั้ง
  • ฉีดไขมัน เป็นวิธีที่ค่อนข้างยุ่งยากเมื่อเทียงกับการใช้ฟิลเลอร์ หรือโบท็อกซ์ เพราะจะต้องมีการเก็บไขมันจากตัวผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยจากต้นขา หรือหน้าท้อง ซึ่งก็อาจจะก่อให้เกิดแผลเป็นได้ นอกจากนี้ยังต้องทำหลายครั้งถึงจะเห็นผลเพราะไขมันนั้นร่างกายสามารถที่จะดูดซึมกลับไปใช้ได้ การลดริ้วรอยรอบดวงตาด้วยการฉีดไขมันนี้เหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยงในการแพ้สารต่าง ๆ อย่างรุนแรง เพราะเป็นการใช้ไขมันจากร่างกายตนเอง ไม่ใช่การฉีดสารอย่างอื่นเข้าไปนั่นเอง 
  • ฉีดฟิลเลอร์ การฉีดฟิลเลอร์นั้นเป็นการเข้านำเอาฟิลเลอร์เจ้าไปเติมเต็มชั้นผิวที่ยุบตัวลง ใครที่มีปัญหาริ้วริยรอบดวงตาที่มาจากเบ้าตาลึก รอยพับตา หรือมีรอยย่นใต้ตามาก การฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่แพทย์ทางด้านผิวหนังส่วนใหญ่แนะนำ

การป้องกันไม่ให้เกิด ริ้วรอยรอบดวงตา

ริ้วรอยรอบดวงตา

  1. ปกป้องผิวหน้าจากแสงแดด

แสงแดดเป็นตัวอันตรายและเป็นปัจจัยสำคัญที่เกิดริ้วรอยก่อนวัย เนื่องจากรังสี UVA และ UVB ทำลายชั้นอนุมูลอิสระบนผิวหนัง และบางครั้งดวงตาก็เป็นจุดที่หลายคนอาจเผลอละเลยทาครีมกันแดดบริเวณรอบเปลือกตา หรือการม้สวมแว่นกันแดดตอนออกแดดจ้าทำให้ริ้วรอยรอบดวงตายิ่งเกิดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

  1. ใช้อายครีมเป็นประจำ

เนื่องด้วยดวงตาของเราก็เป็นส่วนหนึ่งของผิวหนัง การรักษาความชุ่มชื้นและคงให้ผิวอิ่มน้ำ เติมเต็มคอลลาเจนก็เป็นอีกหนึ่งหนทางในการบำรุงให้การเกิดริ้วรอยใต้ดวงตาน้อยลง เพื่อทางที่ดีควรใช่ควบคู่กับครีมกันแดดสูตรที่ไม่แสบตา อนึ่งครีมที่ทารอบดวงตาก็ไม่จำเป็นต้องแพงมากนัก สามารถใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์แทนกันได้เลยหรือวาสลีนทาแทนก็ย่อมได้ อีกทั้งกักเก็บความชุ่มชื้นในนานกว่าด้วย เน้นทาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำสม่ำเสมอ

  1. ดื่มน้ำ พักผ่อนให้เพียงพอ

การดื่มน้ำ (ตามดัชนีมวลของร่างกายแต่ละคน) และการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพออย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมงขึ้นไปส่งผลต่อผิวและความชุ่มชื้นอย่างเห็นได้ชัด หากคุณมีปัญหาในการดื่มน้ำ อย่างน้อยตอนตื่นนอนพยายามดื่มให้ได้สักครึ่งแก้ว และจิบน้ำเปล่าระหว่างวันบ่อย ๆ ก็จะช่วยคุณได้มาก ส่วนในเรื่องของการนอนพักผ่อน ไม่มีสูตรใดดีที่ดีสุดเท่ากับการนอนหลับให้เต็มอิ่มเพราะระบบในร่างกายจะฟื้นฟูได้ดีที่สุดเมื่อยามเรานอนหลับนั่นเอง

  1. ไม่เครียด และ ออกกำลังกายเป็นประจำ

การเครียดทำให้เรามักต้องมีการแสดงอารมณ์และสีหน้าด้วยความตึงเครียด และมีฮอร์โมตัวหนึ่งที่ทำให้หน้าหมองคล้ำและเกิดริ้วรอยบนดวงตาได้ ควรหาทำกิจกรรมอื่นเพื่อให้จิตใจได้ผ่อนคลาย อย่างเช่นดูหนัง ฟังเพลง ออกกำลังกาย ใช่แล้วเมือเราออกกำลังอย่างสม่ำเสมอทำให้เลือดสูบฉีดดี ร่างกายได้สะบัดความเครียดออกไป สร้างฮอร์โมนความสุขออกมาเป็นผลดีทั้งจิตใจและสุขภาพผิวพรรณ

  1. การรับประทานวิตามินเสริม คอลลาเจน

การรับประทานอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ และความงามก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เรามารถทำได้เพื่อให้เกิดการบำรุงอย่างล้ำลึกจากภายในสู่ภายนอก เช่นการเลือกรับประทานวิตามินซีซึ่งมีคุณประโยชน์หลากหลาย วิตามินซีนอกจากจะช่วยให้ผิวกระจ่างใสแล้วนั้น ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยเข้าไปเสริมสร้างผิวให้แข็งแรงทำให้ริ้วรอยต่าง ๆ นั้นเกิดใหม่ได้ยากขึ้น อีกหนึ่งอาหารเสริมสามารถช่วยเรื่องของริ้วรอยได้ก็คือ คอลลาเจนบำรุงผิว โดยเฉพาะคอลลาเจนไทป์ที่ 1 มีหลากหลายรูปแบบให้สามารถเลือกรับประทานได้ตามความชอบ และความสะดวก ไม่ว่าจะทั้งแบบผงชง แบบเจลลี่พร้อมทาน คอลลาเจนที่มาในรูปแบบเครื่องดื่ม เรียกได้ว่าใครสะดวกกับแบบไหน ชอบรสชาติแบบไหนมากกว่าก็เลือกตามที่ชอบได้ คอลลาเจนนั้นมีความสารถในการเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอในร่างกาย เรียกได้ว่าเป็นสารที่เพิ่มความยืดหยุ่นซึ่งส่งผลให้ผิวของเรานั้นไม่แห้งตึงจนก่อให้เกิดริ้วรอย ดีตั้งแต่ภายในสู่ภายนอกนั่นเอง


อ้างอิงจาก

https://www.ncbi.nlm.nih.gov

https://www.mountsinai.org/health-library/symptoms/wrinkles

https://www.phyathai.com/

https://www.rama.mahidol.ac.th/

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง ให้หน้าเนียนใส เคล็ดลับความงามแม้งบน้อยก็สวยได้

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง ให้หน้าเนียนใส เคล็ดลับความงามแม้งบน้อยก็สวยได้

สุขภาพของผิวหน้าเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งของคุณผู้หญิง กับ คุณผู้ชาย ที่ต้องการจะดูแลผิวหน้าของตัวเองให้สดใส ไร้สิว ไร้ริ้วรอยอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีวิธีต่าง ๆ รักษามากมาย ทั้งการทำศัลยกรรม ฉีดฟิลเลอร์ รวมทั้งวิธีอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ทว่าการดูแลรักษาเบื้องต้น ก็ต้องให้ใบหน้าของคุณสุขภาพดี ไม่เป็นสิว ไม่เป็นฝ้า หรือ เป็นกระ โดยเริ่มจากที่คุณสามารถดูแลใบหน้าตัวเองได้ให้เนียนใสได้เช่นกัน แน่นอนว่าวันนี้พวกเราจะมาแนะนำ วิธี รักษาฝ้าด้วยตัวเอง ให้หน้าเนียนใส งบน้อยก็สวยได้ ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่การทำความรู้จักเรื่อง ฝ้า,กระ ทั้งสาเหตุในการเป็น รวมทั้งวิธีดูแลตัวเองไม่ให้เกิดฝ้าด้วย แม้แต่ว่างบน้อย ก็สามารถดูแลรักษาใบหน้าของตัวเองได้ ส่วนจะมีวิธีไหน หรือ ข้อมูลแบบใดที่คุณควรรู้บ้าง วันนี้พวกเราได้รวบรวมมาให้อ่านกันแล้วในบทความนี้


ฝ้า กระ เกิดจากอะไร 

สุขภาพผิวหน้า ถือว่าเป็นความสำคัญสำหรับคนรักความสวยงาม เพราะเป็นเหมือนสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง ดังนั้นแล้ววันนี้พวกเราจะขอแนะนำเรื่องกวนใจสำหรับคนอยากมีผิวหน้าใส นั่นก็คือ ฝ้า และ กระ ซึ่งสาเหตุจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมีดังต่อไปนี้


สาเหตุในการเกิด “กระ”

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

“กระ” จะมีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ มีสีน้ำตาลอ่อน จะกระจายตัวอยู่ตามผิวหนังของร่างกาย มีสาเหตุที่สำคัญกับการเกิดจากที่เซลล์เม็ดสี หรือ เมลานิน ทำงานผิดปกติ จึงส่งผลให้เกิดการสร้างเม็ดสีมากขึ้น จนเกิดเป็นริ้วรอย รวมทั้งจุดด่างดำเล็ก ๆ โดยสาเหตุที่ทำให้ เมลานิน ผิดปกติ เกิดได้จาก 3 สาเหตุหลัก ๆ  ซึ่งมีดังต่อไปนี้

  • พันธุกรรม  : เริ่มต้นด้วยสาเหตุแรกที่ใครหลาย ๆ คนที่ได้รับการถ่ายทอดมาจาก DNA จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะพบกับแสงแดดน้อยก็ตาม โดยจะมีลักษณะเป็นสีแทน หรือ น้ำตาลออกแดง รูปร่างจะเป็นกลมจุดเล็ก สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่บางคนอาจจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิด แต่รักษาได้
  • สภาพแวดล้อม และ แสงแดด  คือ ต้นเหตุทำร้ายผิวกาย รวมทั้งผิวหน้าด้วยเช่นกัน ซึ่งการเกิดกระในลักษณะนี้ จะเกิดขึ้นบนผิวชั้นบน หรือ หนังกำพร้า จะเรียกว่า กระธรรมดา หรือ กระแดด โดยสามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ถ้าหากว่าเจ้าของใบหน้าไม่มีการดูแลตัวเอง อีกทั้งยังต้องเผชิญกับรังสียูวี จากแสงแดดอยู่บ่อยครั้ง ที่สำคัญ แสงจากหน้าจอสมาร์ทโฟน ก็ส่งผลเช่นเดียวกันนั่นเอง
  • ปัจจัยทางด้านอายุ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดฝ้าได้เช่นกัน เมื่อายุของคุณมากขึ้น ตัว “กระ” ที่เกิดขึ้น ก็จะมีสีเข้มมากขึ้น หรือ จะเรียกได้ว่าเป็น “กระเนื้อ” หรือ “Seborrheic Keratosis” โดยเกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังที่ผิดรูปแบบไป ซึ่งมักจะพบตามใบหน้า หน้าอก ไหล่ และ ส่วนของหลัง 

และนี่คือ 3 สาเหตุใหญ่ของการเป็น “กระ” โดยมีทั้งสาเหตุที่เลี่ยงได้ รวมทั้งสาเหตุที่เลี่ยงไม่ได้อย่าง “อายุ กับ พันธุกรรม” อย่างไรก็ตาม คุณเองถ้าไม่อยากเป็นกระ ควรหลีกเลี่ยงแสงยูวี เพราะเป็นผลเสียที่ทำให้ผิวหน้า หรือ ผิวกาย สุขภาพแย่ตามไปด้วยนั่นเอง 


สาเหตุของการเกิด “ฝ้า” 

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

“ฝ้า” จะมีลักษณะ รอยคล้ำสีดำ หรือ น้ำตาลอ่อน โดยมักจะเกิดขึ้นบริเวณโหนกแก้ม คาง หน้าผาก โดยส่วนมากแล้วจะพบในผู้หญิง อายุประมาณ 25-55 ปี แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมาก โดยเฉพาะในคนเอเชีย ซึ่งเกิดได้ทั้งผู้ชาย กับ ผู้หญิงก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ท้าทายวงการแพทย์ การรักษาโรคผิวหนังทั่วโลก เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้หายขาดได้ยากมาก 

ซึ่งทำให้การรักษา “ฝ้า” ในปัจจุบันนี้ เกิดขึ้นได้หลากหลาย จนทำให้คนไข้นั้น เกิดความสับสนทั้งครีมลอกฝ้า การกรอผิว การใช้กรดผลไม้ผลัดผิว รวมทั้งการทำเลเซอร์ก็มีอยู่ด้วยกันหลายวิธีเลยทีเดียว แต่ทว่า คนไข้บางรายก็รักษามาหลายวิธีมาก แต่ทว่า ฝ้าก็ยังไม่หายไป หรือ ดีขึ้นแต่อย่างใด โดยบางรายก็กลับมาเข้มขึ้น มีอาการหน้าแดง ผิวแพ้ง่าย ระคายเคือง สู้แสงไม่ได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในระหว่างการรักษา จึงต้องใช้เทคโลโลยีที่ทันสมัย รวมทั้งแพทย์ผู้รักษาจะต้องเชี่ยวชาด้วยเช่นกัน ซึ่งสาเหตุของการเกิดฝ้าขึ้น จะมีดังต่อไปนี้

  • ฝ้าแดด  การเกิดฝ้าแดด จะเกิดจากการที่ผิวหน้า ได้รับแสง UVA และ UVB โดยตรงหรือบ่อยครั้ง โดยจะส่งผลให้เม็ดสีในผิวหนังได้รับการกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น เป็นที่มาของคำว่า “ฝ้าแดด” หากไม่อยากให้เกิดฝ้าประเภทนี้ก็ต้องอย่าลืมหมั่นทา ครีมกันแดดยี่ห้อดีๆ เป็นประจำทุกวัน
  • ฝ้าฮอร์โมน สำหรับฝ้าฮอร์โมน เกิดจาก การที่มีฮอร์โมน “เอสโตรเจน” ที่มากเกิดไป ตัวอย่างเช่น การหลังฮอร์โมนช่วงตั้งครรภ์ หรือ การหลั่งฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต ซึ่งจะทำให้การสร้างเม็ดสี ในชั้นผิวหนังผลิตเม็ดสี ออกมาสู่ผิวหนังที่ไม่สม่ำเสมอ จึงมีการกระตุ้นผลิตเม็ดสีที่ผิดปกติออกมา ทำให้ฝ้านั้น มีความเข้มมากกว่าเดิมนั่นเอง
  • ฝ้าที่เกิดจากเครื่องสำอาง เครื่องสำอางต่าง ๆ ไม่ได้มีผลดีทุกชิ้น แน่นอนว่า ครีมหน้าขาวใส หรือ ครีมที่ไม่ได้รับมาตรฐาน จะมีส่วนผสมของสารเคมี สารกันบูด รวมทั้งสารปรอท ตะกั่ว ที่ปนเปื้อนมา ทำให้เกิดการกระตุ้นเกิดฝ้าได้ง่ายกว่าธรรมชาติ ซึ่งแรก ๆ อาจจะส่งผลดี แต่เมื่อพอใช้ไปนาน ๆ จะทำให้ใบหน้าบอบบาง แพ้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหยุดใช้ หน้าก็จะยิ่งอ่อนแอลง ซึ่งนอกจากฝ้าแล้ว ก็อาจจะเป็นปัญหาเพิ่มเติมอย่างสิว หรือ ผิวแพ้ง่ายตามมานั่นเอง
  • ฝ้าเข้ม จากการเลเซอร์  การรักษาอย่างการ “เลเซอร์” ในบางชนิด อาจจะทำให้ฝ้ามีสีเข้มขึ้นได้ ถ้าหากว่าหยุดทำ ดังนั้น เมื่อคิดที่จะทำเลเซอร์ ควรปรึกษา พร้อมทั้งหาข้อมูลให้ดีก่อนที่จะไปทำเรื่องนี้ดีกว่า เพราะฝ้าชนิดนี้รักษายากกว่าฝ้าแดด รวมทั้ง ฝ้าฮอร์โมนด้วย
  • ฝ้าจากความเครียด ความเครียด คือ สิ่งที่ไม่ดีที่ส่งผลทั้งร่างกาย สุขภาพ รวมทั้ง สภาพผิวด้วย เพราะเมื่อเราทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดความเครียด ก็จะมีฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองทำให้ฝ้าดูชัดขึ้น รวมทั้งเราจะเห็นว่า ผิวหน้าดูคล้ำขึ้นอีกด้วย แน่นอนว่าความเครียด คือภัยเงียบที่จำให้สุขภาพของคุณทั้งร่างกาย และ จิตใจแย่ลงเป็นอย่างมาก

อย่างที่ได้อธิบายไปแล้วนั้นว่า ฝ้า กับกระ จะเกิดขึ้นได้ในแบบที่เลี่ยงได้ รวมทั้งแบบที่เลี่ยงไม่ได้อย่าง ฮอร์โมน,พันธุกรมม รวมทั้ง อายุของคุณที่มากขึ้น ดังนั้นแล้ววิธีที่จะช่วยทำให้ไม่เกิดได้คุณต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ที่มีรังสี UV รวมไปถึงการใส่ใจในสุขภาพผิว ทั้งผิวหน้า และ ผิวกาย จะต้อมมีความสม่ำเสมอมากขึ้น เพื่อลดการเกิดฝ้า และ กระ สำหรับเรื่องต่อไปจะพาไปทำความรู้จักเกี่ยวกับ ประเภทของฝ้า เพื่อรักษาให้ตรงจุด ซึ่งจะมีรายละเอียดอย่างไร ติดตามอ่านกันต่อได้เลย


รู้จักประเภทของฝ้า เพื่อรักษาให้ตรงจุด

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

ประเภทของฝ้านั้น จะถูกแบ่งออกเป็น 4 ชนิดหลัก ๆ ด้วยกัน โดย 2 ชนิดแรกเป็นชนิดที่ระบุได้ว่าเป็นฝ้าแบบใด นั่นก็คือ ฝ้าแบบตื้น กับ ฝ้าแบบลึก ส่วนอีก 2 ประเภทที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่าเป็นฝ้าชนิดใด อย่าง ฝ้าแดด และ ฝ้าเลือด โดยทั้ง 4 ประเภทนี้จะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 

1.ฝ้าแบบตื้น 

สำหรับฝ้าแบบตื้น จะเป็นชนิดของฝ้าที่เกิดจากการสร้างเม็ดสี เมลานิน ที่มากกว่าปกติ ในระดับผิวหนังชั้นหนังกำพร้า โดยจะเป็นสีน้ำตามเข้ม หรือ สีดำ มีขอบชัด เกิดขึ้นง่าย แต่จะรักษาได้เร็ว โดยฝ้าในลักษณะนี้ส่วนใหญ่แล้ว สามารถแก้ไข หรือ รักษาตรงจุดด้วยได้ด้วยครีมทาฝ้า แต่จะต้องทาครีมติดต่อกันทุกวันประมาณ 3 อาทิตย์ หลังจากนั้นแล้วฝ้าชนิดนี้จะจางลงอย่างชัดเจน ซึ่งฝ้าในลักษณะนี้จะรักษาให้หายขาดได้ 

2.ฝ้าแบบลึก 

สำหรับฝ้าแบบลึก จะเกิดจากการสร้างเม็ดสี เมลานิน ที่มากกว่าปกติเช่นกัน โดยจะอยู่ในระดับผิวหนังชั้นหนังแท้ โดยจะมีลักษระเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน ประเภทนี้จะรักษายากกว่าฝ้าแบบตื้น การทาครีมทาฝ้าเป็นประจำจะช่วยให้จางลงได้ แต่ทว่าจะไม่หายขาด วิธีเดียวที่จะช่วยให้หายขาดได้คือ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการรักษาตามไปด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่หายขาดอย่างแน่นอน 

4.ฝ้าแดด 

จะเป้นฝ้าที่จัดอยู่ในลักษณะของฝ้าที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่า เป็นฝ้าชนิดใด ซึ่งจะพบมากในผู้ที่สีผิวเข้ม เช่น ชาวแอฟริกัน โดยฝ้าแบบนี้จะเกิดจากการได้รับรังสียูวีจากแสงแดด แสงไฟ รวมทั้งแสงจากคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ โดยจะมีลักษณะเป็นรอบสีน้ำตาลคล้ำ ดำ กับ แดง หรือ บางรายอาจจะเป็นสีเทาอมม่วง แน่นอนว่าถ้าหากไม่ได้รับการดูแลรักษาให้จางหายไป มันก็จะมีสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าชีวิตประจำวันของเรา มักจะโดนแสงแดด พร้อมทั้งรับแสงยูวีอยู่ทุกวัน สิ่งนี้จึงสะสมขึ้น จนเข้มเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงทาครีมกันแดดเป็นประจำโดยสามารถเลือกได้ทั้ง กันแดดรองพื้น กันแดดน้ำ หรือครีมกันแดดทั่วไปก็ได้

5.ฝ้าเลือด

ชนิดนี้ก็จะจัดอยู่ในลักษณะของฝ้าที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจน เช่นเดียวกัน โดยมีลักษณะเป็นสีแดง คล้ายกับเส้นเลือก หรือ สีแดงปนน้ำตาล จะเกิดจากความผิดปกติของเลือดลม รวมทั้งการแปรเปลี่ยนของฮอร์โมนภายในร่างกาย โดยจะสังเกตได้ง่าย ๆเลยว่า คนที่เป็นฝ้าเลือด เวลาที่โดดแสงแดดจัด ผิวหน้าจะมีสีแดงง่าย นอกจากนี้ถ้าหากใครใช้ครีมทาฝ้าเพื่อรักษาฝ้า แต่ทว่าไปเจอสารเคมีอย่าง ไฮโดรควิโนน และสารปรอท ก็จะยิ่งทำให้รอยแดงของม้าชัดเจนขึ้นไปอีกด้วยนั่นเอง 

แน่นอนว่าการรักษาฝ้าให้ตรงจุดนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นแล้ว การรักษาฝ้าของคุณ จะต้องศึกษาเรื่องฝ้าที่คุณเป็นอยู่ให้ได้ก่อนว่า คุณเป็นฝ้าแบบไหน รักษาอย่างไรได้บ้าง ถ้าหากว่าคุณเองเป็นฝ้าที่จะต้องปรึกษาแพทย์ ก็ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษาเสมอ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว การทุเลาลงของฝ้า อาจจะเกิดการลุกลาม จนเป็นหนักขึ้นได้นั่นเอง 


วิธีรักษาฝ้า กระ แบบค่อยเป็นค่อยไป

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

ขอแนะนำกันสักเล็กน้อยเกี่ยวกับ วิธีในการรักษาฝ้า กระ โดยจะต้องเป็นแนวทางการรักษาในรูปแบบที่ค่อยเป็นค่อยไป ด้วยเหตุผลที่การรักษานั้นจะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถทำให้จางลงได้ ซึ่งฝ้าที่มีสาเหตุมาจากฮอร์โมน ก็เป็นอีกหนึ่งประเภทที่รักษาได้ แต่จะต้องทำแบบค่อย ๆ ทำ เพื่อไม่ให้เกิดความระคายเคือง แต่ ผิวไม่เสียอีกด้วย โดยวิธีการรักษาฝ้า กระ จะมีดังต่อไปนี้ 

1.การรักษาด้วยยา

นี่คือวิธีเบื้องต้นที่ต้องใช้ยารักษาฝ้า ซึ่งในรูปแบบของครีมที่มีส่วนผสมที่จะช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี ตัวอย่างเช่น ยากรดวิตามินเอ, ยากลุ่มทรานิซามิก,ครีมทาที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ รวมทั้ง ครีมไวท์เทนนิ่ง ซึ่งก่อนจะใช้ยาต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ 

2.การรักษาด้วยเลเซอร์ การผลัดเซลล์ผิวหนัง

เป็นวิธีการรักษาฝ้าแบบเร่งด่วน พร้อมทั้งเห็นผลได้เร็วกว่าการทาครีม ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยม แต่ทว่าประสิทธิภาพของผลการรักษาลดลง ซึ่งยังขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่จะตอบรับการรักษาในชนิดนี้ได้ดีอีกด้วย 

3.การรักษาฝ้าด้วย “สมุนไพร” 

“สมุนไพร” ถือได้ว่าเป็นวิธีธรรมชาติรักษาฝ้าที่ราคาไม่แพง แต่ก็ไม่เห็นผลได้ชัดเจน โดยการใช้สมุนไพรจะช่วยผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการผลัดเซลล์ผิวหนัง หากว่าทำเช่นนี้บ่อย ก็อาจจะทำให้ผิวบอบบาง แพ้ง่ายเช่นกัน 

4.การฉีดวิตามินผิว กับ การฉีดเมโสหน้าใส

การฉีดวิตามินผิว จะช่วยฟื้นฟู รักษาปัญหาผิว ทั้งรูปแบบผิวที่ไม่สดใส รวมทั้งผิวแห้งกร้าน อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวขาวใส ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว พร้อมทั้งเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ รวมไปถึงการฉีด “เมโสหน้าใส” ก็จะเหมาะกับ การบำรุงที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า โดยการฉีดรูปแบบนี้จะมีสูตรหน้าขาวใส จะมีส่วนผสมของวิตามินต่าง ๆ ที่จะทำให้หน้าขาวใส เช่น วิตามิน ABCE, Transamin, Glutathione ที่สามารถช่วยให้ลดเลือนรอยฝ้า และ กระได้ อีกทั้งจะช่วยแก้ปัญหารูขุมชนกว้าง เสริมสร้างคอลลาเจนในผิวได้อีกด้วย 

จะเห็นได้ว่า การรักษาฝ้า กระ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้เวลา รวมทั้งการเสียค่าใช้จ่ายในกรณีที่ต้องเลเซอร์ หรือ ทำการบำรุงระยะยาว จะมีตัวเลขที่ค่อนข้างสูง  ดังนั้นจะต้องปรึกษาแพทย์ และ คิดถึงให้ดีเกี่ยวกับการรักษา 


5 วิธี รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

การรักษาฝ้า กระ ก็สามารถทำได้ตัวเอง ด้วยวิธีแบบธรรมชาติ ไม่ต้องเสียเงินเลเซอร์ หรือ ฉีดบำรุงให้เสียเงิน แต่พวกเรามีวิธีการรักษาฝ้าด้วยตัวเอง 5 วิธีดังต่อไปนี้ 

1.ใช้น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิล

วิธีการนี้จะช่วยลดฝ้าได้ โดยเราจะใช้ น้ำสมสายชูหมักกับแอปเปิล มาเช็ดหน้าแทนโทนเนอร์ได้ โดยจะต้องผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อย เพราะมีฤทธิ์เป็นกรด จะมีโพแทสเซียมสูง โดยจะช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ รวมทั้งจะช่วยให้ผิวกระจ่างใส อีกทั้งลดจุดด่างดำ อีกทั้งช่วยลดรอยดำจากสิวด้วย

2.ใช้น้ำใบบัวบก 

การใช้ “น้ำใบบัวบก” รักษาฝ้า เป็นวิธีการธรรมชาติที่ช่วยลดฝ้าได้ โดย วิธีการใช้ก็คือ นำน้ำใบบัวบกมาเช็ดหน้าแทนโทนเนอร์ โดยใช้น้ำใบบัวบกเช็ดหน้าแล้วทิ้งเอาไว้ประมาณ 10-15 นาที  จากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

3.กินวิตามิน บำรุง

การบำรุงผิวหน้า นอกจากการใช้ครีมกันแดด หรือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดแล้ว การกินวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินเอ วิตามินซี และ อี จะช่วยลดฝ้าได้ แน่นอนว่าการบำรุงผิวจากภายใน จะช่วยให้ผิวแข็งแรงสามารถทนต่อแสงแดดได้ดีขึ้น ส่งผลให้ช่วยลดการเกิดฝ้าได้เช่นกัน  

4.การทาครีมบำรุง

ครีมบำรุงผิว เป็นวิธีแบบที่ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง นั่นก็คือ การใช้ครีมบำรุงที่มีสารไวท์เทนนิ่ง ที่ช่วยให้ผิวหน้าดูขาว กระจ่างใส พร้อมทั้งยังมี วิตามินซี,อาร์บูติน (Arbutin), AHA รวมทั้งสารสำคัญอื่น ๆ แต่ทว่าเป็นครีมที่ได้รับการพิสูจน์จากแพทย์ผิวหนังแล้วว่า จะต้องใช้เป็นประจำ ทั้งเช้า-เย็น อย่างต่อเนื่อง จึงจะเห็นผลที่สุด ใครที่ไม่เคยใช้ก็ลองหันมาใช้กันดู เพราะจะช่วยป้องกัน และ รักษาการเกิดฝ้า หรือ กระ ได้เป็นอย่างดี 


สิ่งที่สำคัญที่เราควรจะปกป้องนั่นก็คือ ผิวหน้า เพราะว่ามีความบอบบาง ระคายเคืองง่าย ยิ่งไปกว่านั้นอันตรายจากแสงแดด ที่มีรังสี UVA กับ UVB เป็นส่วนที่ทำร้ายผิวหน้า ผิวกายของเราอย่างแท้จริง ดังนั้นแล้วเมื่อเกิดกระ หรือ ฝ้าขึ้นแล้ว นี่เป็นสัญญาณว่าคุณควรจะดูแลตัวเอง พร้อมทั้งรีบรักษาก่อนที่จะบานปลายจนลงลึก และ รักษาไม่หาย หรือ มีส่วนเป็นมะเร็งผิวหนังได้เช่นกัน นี่แหละคือเรื่องที่ร้ายแรงที่สุด สำหรับความรู้ รักษาฝ้าด้วยตัวเอง ทั้งหมดที่พวกเราได้รวบรวมมาในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น สาเหตุของการเกิดฝ้า รูปแบบของฝ้า กระ รวมทั้งวิธีการรักษาอย่างตรงจุด เชื่อเลยว่าทุกท่านจะได้ความรู้ที่ใช้ได้จริง อีกทั้งยังสามารถประเมินการรักษาได้ดี ใครที่พบปัญหาผิวหน้าเป็นฝ้า หรือ เป็นกระ ต้องรีบปรึกษาแพทย์ตามอาการ และ เป็นสิ่งที่รอไม่ได้เพราะจะยิ่งส่งผลเสียมากกว่านี้ได้ในอนาคตนั่นเอง 


Credit:

ฝ้า กระ จุดด่างดำ เกิดจากอะไร ? สาเหตุ และวิธีการรักษาแบบตรงจุด (vsquareclinic.com)

5 วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ หน้าเนียนใส หายขาดได้แน่นอน (trueid.net)

ฝ้ามีกี่ประเภท รักษาอย่างไรให้ตรงจุด (conceptcream.com)

สกินแคร์รูทีน 7 ขั้นตอนสกินแคร์ทาอย่างไรให้ผิวสวยใสแบบสาวเกาหลี 

สกินแคร์รูทีน 7 ขั้นตอนสกินแคร์ทาอย่างไรให้ผิวสวยใสแบบสาวเกาหลี 

สาว ๆ หลายคนอาจจะสงสัยใช่ไหมล่ะว่าทำไมผู้หญิงเกาหลีถึงได้มีผิวหน้าที่เนียนสวยแล้วก็กระจ่างใสกันได้ขนาดนั้น ซึ่งสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญกันก็คือการลงสกินแคร์รูทีนนั่นเอง วันนี้แอดมินจึงจะมาเผยขั้นตอนการลง สกินแคร์รูทีน ที่ถูกต้องกัน เพราะการเรียงลำดับการทาที่ถูกนั่นจะช่วยให้สกินแคร์ซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังได้ดีและเห็นผลจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง แต่ก่อนที่เราจะไปดูขั้นตอนการทานั้น เรามาทำความรู้จักสกินแคร์แต่ละประเภทกันก่อนดีกว่า


สกินแคร์ มีกี่ประเภท? แต่ละประเภทช่วยเรื่องอะไรบ้าง 

สกินแคร์รูทีน

สกินแคร์แต่ละประเภทนั้นมีหลายรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป โดยแต่ละประเภทก็ได้ผลิตออกมาเพื่อตอบโจทย์ต่อการใช้งานตามปัญหาผิวและสภาพผิวที่แตกต่างกันของแต่ละคน มาดูกันว่าจะมีประเภทอะไรบ้าง


1.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า 

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าหรือ คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอางดีๆ จะมีลักษณะเป็นของเหลวและมาในรูปแบบ น้ำ เจล หรือ ออยล์ สามารถใช้โดยการนวดที่หน้าได้โดยตรงหรือจะหยดลงบนสำลีแล้วเช็ดบนผิวหน้าก็ได้ ผู้ที่แต่งหน้าหรือทาครีมกันแดดต้องใช้คลีนซิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอุดตันบนในหน้า


2.ผลิตภัณฑ์หน้าล้าง

สิ่งนี้จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าและช่วยขจัดคราบความมันบนใบหน้า รวมถึงสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในรูขุมขน ซึ่งจะมีทั้งรูปแบบ โฟมล้างหน้า เจลล้างหน้า และสบู่ก้อน


3.โทนเนอร์

Toner เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการทำความสะอาดผิวหน้าที่ช่วยให้ผิวหน้าสะอาดหมดจดยิ่งขึ้นกว่าเดิม ส่วนใหญ่มักมาในเนื้อโลชั่นบาง ๆ และมักจะมีวิตามินช่วยบำรุงผิว

4.มอยส์เจอร์ไรเซอร์

ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีส่วนผสมของโลชั่นและครีม ผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวมันก็สามารถทาได้เพราะจะช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นไว้ ทำให้ผิวไม่ขาดน้ำจึงสามารถช่วยลดความมันบนใบหน้าได้

5.ครีม

สกินแคร์ประเภทนี้มีส่วนผสมของน้ำมันเยอะมากกว่าประเภทอื่น ๆ เนื้อจึงมีความเข้มข้นที่สุดและอาจทำให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ช้า แต่มันสามารถคงความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ดีที่สุดจึงเหมาะกับคนผิวแห้งมากที่สุด โดยคุณสามารถบำรุงด้วยไนท์ครีมในตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันก็บำรุงด้วยครีมทั่วไปได้

6.โลชั่น

โลชั่นไม่ได้มีไว้สำหรับบำรุงผิวกายเท่านั้น เพราะผิวหน้าก็สามารถบำรุงด้วยได้ด้วยเช่นกัน โดยมันจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวใช้ได้ทั้งผู้ที่มีผิวธรรมดาและผิวผสม ซึ่งโลชั่นที่ทางฝั่งเอเชียนิยมใช้และไม่หนักหน้าจนเกินไปจะมาในรูปแบบที่เราเรียกกันว่า ‘น้ำตบ’ นั่นเอง

7.เอสเซนส์

อีกหนึ่งรูปแบบผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าในขั้นตอนแรก ๆ ซึ่งเอสเซนส์จะมีลักษณะเป็นน้ำเหลว ๆ บางเบา จึงซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วแม้ว่าสภาพผิวแบบไหนก็สามารถใช้ได้ โดยส่วนใหญ่มักจะมาในรูปแบบน้ำตบเช่นเดียวกัน

8.เซรั่ม 

ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีความเข้มข้นว่าเอสเซนต์และมีส่วนผสมของน้ำมันค่อนข้างมาก จึงไม่ค่อยเหมาะสำหรับคนผิวมันเท่าไหร่ แต่มันสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างล้ำลึก เช่น ลดรอยสิว ลดริ้วรอย และปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ

9.ผลิตภัณฑ์กันแดด 

ในตอนเช้าต้องทาผลิตภัณฑ์กันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV หากผู้ที่ไม่ได้ทากันแดดในตอนเช้านั้นอาจส่งผลให้รังสียูวีเข้าไปทำลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง ส่งผลให้ผิวเหี่ยวย่นและเกิดฝ้า กระ ตามมาได้ โดยผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีทั้งในรูปแบบครีม เจล โลชั่น สเปรย์ และขี้ผึ้ง 


7 ลำดับการทา สกินแคร์รูทีน ที่ถูกต้อง

หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักกับสกินแคร์แต่ละประเภทกันไปแล้ว ต่อไปเรามาดูกันว่าขั้นตอนการลงสกินแคร์รูทีนที่ถูกต้องนั้น ต้องเรียงลำดับการทาอย่างไรบ้าง


Step 1 : เช็ดผิวหน้าด้วยคลีนซิ่ง

สกินแคร์รูทีน

หลังจากที่ผิวหน้าของเราเผชิญเครื่องสำอาง ฝุ่น และมลพิษต่าง ๆ มาทั้งวันแล้วควรเช็ดผิวหน้าให้สะอาดด้วยเมคอัพรีมูฟเวอร์ก่อน เพื่อให้ผิวหน้าสะอาดและขจัดสิ่งสกปรกที่เข้าไปอุดตันในรูขุมขน 


Step 2 : ล้างหน้าให้สะอาด

สกินแคร์รูทีน

เมื่อขจัดสิ่งสกปรกออกจากผิวหน้าไปแล้ว ต่อไปคือขั้นตอนการล้างหน้าเพื่อลดความมันบนใบหน้าและทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก


Step 3 : เช็ดด้วยโทนเนอร์

สกินแคร์รูทีน

การใช้โทนเนอร์จะช่วยขจัดคราบต่าง ๆ บนใบหน้าให้ผิวสะอาดมากยิ่งขึ้นทำให้ลดการอุดตันของสิ่งสกปรกและช่วยลดการเกิดสิวได้


Step 4 : ลงเอสเซนส์

สกินแคร์รูทีน

ต่อไปก็เริ่มบำรุงผิวหน้าโดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเหลวมากที่สุดก่อน นั้นก็คือการลงเอสเซนส์หรือน้ำตบเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผิวในการลงสกินแคร์ รูทีนขั้นต่อไป


Step 5 : ลงผลิตภัณฑ์รักษาสิว

สกินแคร์รูทีน

สำหรับผู้ที่เป็นผิว สามารถลงครีมรักษาสิวเฉพาะจุดได้ก่อนเลยและควรเลือกเป็นครีมชนิดที่ซึมเข้าผิวไว เพราะต้องรอให้เนื้อครีมซึมเข้าผิวจนแห้งสนิทก่อนจึงจะสามารถลงสกินแคร์ในขั้นต่อไปได้


Step 6 : ทาเซรั่มและมอยส์เจอไรเซอร์

สกินแคร์รูทีน

สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวมันก็สามารถลงเซรั่มหรือมอยส์เจอไรเซอร์ได้เช่นกันเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและไม่ขาดน้ำ ทำให้เป็นสกินแคร์วัย 30+ที่คนอายุเริ่มเข้าเลข 3 ต้องใช้ทุกคน


Step 7 : ทาครีมกันแดด

สกินแคร์รูทีน

ขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นหนึ่งสเตปที่ขาดไม่ได้เลย สำหรับในตอนเช้าไม่ว่าคุณจะออกจากบ้านหรือไม่ก็ตามควรทาครีมกันแดดทุกวันเพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV ไม่ให้ทำลายผิวหน้า ผู้ที่ไม่ได้ทาครีมกันแดดอาจจะเกิดฝ้าและกระบนใบหน้าได้ รวมถึงทำให้หน้าเหี่ยวย่นก่อนวัยอีกด้วย


ทั้งหมดนี้ก็คือลำดับในการทาสกินแคร์รูทีนอย่างถูกวิธีนั่นเอง หากคุณบำรุงตามขั้นตอนดังต่อไปนี้มันก็จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญสาว ๆ แต่ละคนก็อย่าลืมเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองด้วยเพื่อให้สกินแคร์เหล่านั้นบำรุงได้อย่างตรงจุดมากที่สุด ผิวของเราจะได้เนียนใสปิ๊งเหมือนสาวเกาหลี


อ้างอิง:

https://www.lifestyleissue.com/beauty/skincare-types/ 

https://vogue.co.th/beauty/6-step-skin-care-for-oily-skin 

วิธีล้างหน้าด้วยน้ำเย็น และการใช้น้ำแข็ง 7 ข้อดี ให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

วิธีล้างหน้าด้วยน้ำเย็น และการใช้น้ำแข็ง 7 ข้อดี ให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น และการใช้น้ำแข็ง 7 ข้อดี ให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง อากาศมันร้อนจะนั่งจะนอนก็ไม่สบายตัว และที่สำคัญอากาศแบบนี้เป็นผลร้ายผิวหน้าอย่างมาก ผิวองเราสามารถเสื่อมสภาพได้เร็ว

เพราะฉะนั้นวิธีที่ง่าย และประหยัดงบมากที่สุดในการซ่อมผิวเสียจากความร้อน คือการล้างหน้าด้วยน้ำเย็น และการใช้น้ำแข็งประคบ คุณรู้หรือไม่ว่ามันมีข้อดีมาก ทำง่ายๆ ใครก็ทำได้ และมีผลลัพธ์น่าพอใจอย่างมาก — ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น

ข้อดีเด่น ของการล้างหน้าด้วยน้ำเย็น และการใช้น้ำแข็งประคบ

ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น

1.ลดอาการอักเสบ

เมื่อผิวของเราเกิดการอักเสบ ไม่ว่าจะเกิดจาแสงแดด มลภาวะ หรือมือที่อยู่ไม่นิ่งชอบ แกะ เกา จนทำให้เกิดการอักเสบของสิว หรือผิวหน้า เราสามารถบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ง่ายๆ นั่นคือล้างหน้าด้วยน้ำเย็น หรือการใช้น้ำแข็งประคบ เพราะจะช่วยให้ลดอาการบวม อีกทั้งอาการอักเสบ และระคายเคือง ก็จะเบาลงอย่างรวดเร็ว

การล้างหน้าด้วยน้ำเย็น

2.เลือดไหลเวียนดี

รู้หรือไม่ว่าการล้างกน้าด้วยน้ำอุ่นบ่อย เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวผด เพราะว่าความร้อนจะไปกระตุ้มต่อมไขมันให้ขับน้ำมันออกมาเยอะกว่าปกติ เพราะฉะนั้นการล้างหน้าด้วยน้ำเย็น หรือการใช้น้ำแข็งประคบจะให้ผลที่ตรงกันข้าม

นอกจากจะช่วยลดอุณหภูมิของผิวหน้าเพื่อให้ขัยน้ำมันออกมาแล้ว ยังช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น หรือถ้าจะให้ดีก็เอาอ่างสักใบใส่น้ำกับน้ำแข็งให้เต็ม แล้วเอาหน้าลงไปแช่ รับรองว่าชื่นใจแน่นอน เราจะเห็นว่าวิธีนี้ในหนังจะทำกันบ่อย ช่วยให้ผิวกระชับได้เร็วมาก เต่งตึง และสดใสตลอดวัน

ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นลดสิว

3.ลดตาบวม

การใช้น้ำแข็งประคบหน้ามีข้อดีช่วยลดอาการปวดรอบดวงตา ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุเช่น นอนดึก ร้องไห้หนัก เป็นต้น เพียงแค่เอาน้ำแข็งมาลูบบริเวณรอบตาที่บวม 10 นาที จะเห็นผลอย่างชัดเจน ตาจะค่อยยุบลงไป

น้ำเย็นล้างหน้า

4.กระชับรูขุมขน

เชื่อหรือไม่ว่าการใช้น้ำแข็งสามารถกระรูขุมขนได้ เพียงแค่นำน้ำแข็งสักก้อนมาห่อด้วยกระดาษทิชชู่ แล้วนำมาคลึงหน้าเบาๆ เพียงเท่านี้ก็คืนความสดชื่นให้ใบหน้าได้สบายๆ นอกจากจะช่วยกระชับรูขุมขน ยังช่วยให้ผิวพรรณเรียบเนียน และสามารถลดเลือนริ้วรอยต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามวัยได้อย่างลงตัว

ใช้ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น

5.ช่วยให้แต่งหน้าเนียนขึ้น

อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าน้ำแข็งสามารถช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียนได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว เพราะฉะนั้นก่อนจะแต่งหน้าคุณสามารถเอาน้ำแข็งมาลูบหน้าก่อน แล้วเช็ดให้แห้ง จากนั้นค่อยแต่งหน้า เครื่องสำอางอยู่ทนนานมากขึ้น และยังช่วยให้การแต่งหน้าง่ายขึ้นอีกด้วย

สูตรล้างหน้าน้ำเย็น

6.ผสมสูตรลับกับแตงกวา

เพียงแค่ใช้ของบ้านๆ อย่าง น้ำแตงกวา น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว ผสมกันให้เข้าที่จากนั้นนำไปหยดลงบนพิมพ์น้ำแข็ง นำไปแช่จนกลายเป็นน้ำแข็ง ทีนี้คุณก็จะมีน้ำแข็งสูตรพิเศษกว่าใคร ที่นำมาถูวนๆ รอยใบหน้าเพื่อช่วยให้เนียนใสในราคาประหยัด แต่คุณภาพคับจอ

ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นลดหน้าไหม้

7.บรรเทาผิวไหม้แดด

อีกหนึ่งวิธีการเสกน้ำแข็งสูตรพิเศษ ที่เอาไว้ช่วยให้ใบหน้าเรียบเนียนใส วิธีเดียวกันกับข้างบนนั่นแหละ แค่เอาเจลว่านหางจระเข้มาผสมน้ำสักหน่อย แล้วนำไปแช่ให้กลายเป็นน้ำแข็ง

จากนั้นก็นำมาถูๆ ได้ตามต้องการ เพราะสรรพคุณของว่านหางจระเข้ช่วยเรื่องผิวหน้าไหม้แดดได้เป็นอย่างดี และยังถนอมผิวได้ครอบจักนวาล

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  1. https://women.kapook.com/view144957.html

วิธีล้างหน้าด้วยน้ำเกลือ สิวหายจริงไหม ไขข้อข้องใจ

วิธีล้างหน้าด้วยน้ำเกลือ สิวหายจริงไหม ไขข้อข้องใจ

วิธีล้างหน้าด้วยน้ำเกลือ สิวหายจริงไหม ไขข้อข้องใจ วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันเนื่องจากมีหลายคนถามกันเข้ามาเยอะมาก เพราะว่าเห็นเพื่อนสาวหลายคนที่นิยมใช้น้ำเกลือล้างหน้า เพราะเชื่อว่าสามารถรักษาสิวได้ แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร รักษาสิวได้จริงไหม ในนี้มีคำตอบ

อย่างแรกให้มาดูที่น้ำเกลือกันนะ เพราะว่าน้ำเกลือที่เรากำลังจะพูดถึงงไม่ใช่น้ำเกลือทั่วไปที่เรารู้จัก แต่คือน้ำเกลือ นอร์มอล ซาลิน โซลูชั่น หรือที่เรียกกันว่า ไอโซโทนิค โซเดียมคลอไรด์ ซึ่งผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้ว มีความเข้มข้น 0.9% คือมีเกลือเพียง 0.9 % เท่านั้น — ล้างหน้าด้วยน้ำเกลือ

ล้างหน้าด้วยน้ำเกลือ

น้ำเกลือ นอร์มอล ซาลิน โซลูชั่น ทำอะไรได้ ?

อย่างที่หลายคนรู้น้ำเกลือประเภทนี้นิยมใช้ล้างแผล หรือเอาไว้ล้าง คอนแทคเลนส์ เพราะว่าบริสุทธิ์ ปราศจากเชื้อโรคต่างๆ และมีความหนาแน่นใกล้เคียงกับของเหลวที่อยู่ในร่างกายของเรา จึงไม่เกิดการต่อต้าน ด้วยความสะอาดกว่าน้ำทั่วไป เราสามารถนำมาล้างหน้าได้ และแน่นอนว่าจะไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองใดๆ ทั้งสิ้น

น้ำเกลือล้างหน้า

แล้วมันใช้รักษาสิวได้จริงหรือ?

น้ำเกลือ นอร์มอล ซาลิน โซลูชั่น ที่เห็นสาวๆ นิยมใช้กันนั้น มันสามารถช่วยลดอาการติดเชื้อได้ แต่ก็ไม่มีสามารถฆ่าเชื้อต่างๆ ได้ อย่างที่เรารู้สึกตอนที่ล้างแผลด้วยน้ำเกลือ เราจะไม่แสบ เพราะฉะนั้นแล้วแน่นอนว่ามันไม่สามารถรักษาสิวได้ในทางตรง

แต่ว่าในทางอ้อมนั้นสามารถนำมาทำความสะอาดใบหน้าได้ดี โดยเฉพาะคนที่แพ้น้ำประปา ทำให้ผิวหน้าลดการระคายเคือง สะอาด ลดการติดเชื้อ และสมานแผลได้เร็วกว่าปกติ ก็ถือว่ามีข้อดีสำหรับคนที่เป็นสิวถึงจะไม่ใช่ทางตรงก็เถอะ

การล้างหน้าด้วยน้ำเกลือ

ข้อแนะนำ การใช้นำเกลือน้ำเกลือล้างหน้านั้นสามารถทำเองได้ แต่ว่าเมื่อเปิดใช้งานแล้ว ควรใช้ให้หมดภายใน 1 เดือน ถ้าเกิน 1 เดือนไปแล้วให้ทิ้งได้เลย เพราะว่าในน้ำเกลือนั้นอาจมีเชื้อโรคเข้าไปอยู่

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  1. https://www.sanook.com/health/2299/

วิธีลดเหนียงใต้คาง 10 วิธี เด็ด ระเบิดพลัง เอาจริงได้แล้ว

วิธีลดเหนียงใต้คาง 10 วิธี เด็ด ระเบิดพลัง เอาจริงได้แล้ว

วิธีลดเหนียงใต้คาง 10 วิธี เด็ด ระเบิดพลัง เอาจริงได้แล้ว เราไม่ได้อ้วนเลยนะ แต่ทำไม่เราต้องมีเหนียงใต้คางด้วย T-T ถ่ายรูปทีไรอยากจะร้องไห้ มันกลมไปทั้งหน้าเลย ทำยังไงดี Help me pleasa !!!
เหนียงใต้คาง สาเหตุการเกิดจาก…

ไขมันตัวร้ายที่เริ่มสะสมกันมากขึ้นเมื่อเราอายุได้ 30 มันจะอยู่ที่บริเวณใต้คางทำให้เราคางของเรา คล้ายคางหมู ยิ่งเราปล่อยตัวเรื่องการกิน แลไม่ออกกำลังมากเท่าไหร่คางหมูจะยิ่งได้ใจ สะสมไขมันจนทำให้กลายเป็นเหนียง 3 ชั้น เราเลยต้องเรียนรู้วิธีแก้ไข — วิธีลดเหนียงใต้คาง

วิธีลดเหนียงใต้คาง 25 วิธี เด็ด ระเบิดพลัง เอาจริงได้แล้ว

ออกกำลังกายลดเหนียง

1.ออกกำลังกาย

ออกกำลังกายได้ผลดีกับร่างกายทุกสัดส่วน สลายไขมันส่วนเกิน ลดเหนียงได้คางอย่างได้ผลแบบธรรมชาติ เพิ่มความกระชับเต่งตึง ลดน้ำหนักตัว แต่ว่าใครที่ออกกำลังกายแล้วเหนียงใต้คางไม่หาย

ขอแนะนำให้ออกกำลังกายเฉพาะส่วน เช่นอยากได้ต้นขาก็ไปวิ่ง อยากได้กล้ามท้องก็ซิทอัพ และใครอยากลดเหนียงใต้คางก็ บริหารบริเวณคอ เช่น เคี้ยวหมากฝรั่ง แต่หลายคนไม่ค่อยชอบทำเพราะว่าเสียบุคลิก และทำมากกรามจะใหญ่ 555

ไข่ขาวลดเหนียง

2.ไข่ขาวช่วยได้

ไข่ขาวช่วยได้ ใช้เฉพาะไข่ขาวอย่างเดียว นำมาทาบริเวณใต้คาง นวดๆ วนไปถึงกกหู แล้วดันคางค้างไว้ประมาณ 15 นาที อาจจะเมื่อยสักหน่อย จากนั้นล้างออก ให้ทำอาทิตย์ละ 2 ครั้ง

โบทอกซ์ลดเหนียง

3.โบทอกซ์

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความนิยมของการลดเหนียงใต้คาง เพราะว่าได้ผลเร็วมาก โดยใช้วิธีเดียวกันกับฉีดโบทอกซ์ลิฟต์หน้า แต่เฉพาะสำหรับคนที่มีเหนียงไม่มากนัก การฉีดโบทอกซ์สลายไขมันใต้คาง คือการลดเซลลูไลต์ส่วนเกินเฉพาะที่ ตัวยาจะเข้าไปสลายไขมัน ต้องทำอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ทำ 2-3 ถึงจะเห็นผลอย่างชัดเจน

ร้อยไหมลดเหนียง

4.ร้อยไหมลดเหนียง

อีกวิธีหนึ่งของการศัลยกรรมที่ได้ผลไว เห็นผลชัดเจน นั่นคือการ ร้อยไหมลดเหนียงใต้คางโดยการใช้เข็มที่มีเส้นไหมร้อยเข้าไปใต้ผิวหนัง เก็บคาง กระชับร่องแก้ม ซึ่งเป็นไหมที่เส้นเล็กมาก ไม่มีผลข้างเคียง ไหมจะละลายไปเอง ช่วยดึงผิวขึ้นตามแนว

ดูดไขมันใต้คาง

5.ดูดไขมันใต้คาง

การดูดสลายไขมัน เพื่อให้ไขมันเกิดการแตกตัวจึงสามารถดูดออกมาได้โดยง่าย ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อ เห็นความแตกต่างได้ค่อนข้างชัดเจน อาจจะมีค่าใช้จ่ายสูงสักหน่อย ประมาณ 3 หมื่นบาท ต่อครั้ง

เทอร์มาจลดเหนียง

6.เทอร์มาจ

เทอร์มาจ คือหลักการสลายไขมันใต้คางโดยใช้ คลื่นวิทยุ (RF) เพื่อให้ผิวหนังหดตัว กระชับ โดยไม่ต้องมีการผ่าตัดให้ตกยางออก ไม่มีแผลเป็น และที่สำคัญทำครั้งเดียวเห็นผลได้เลย เลยเป็นที่นิยมอย่างมาก

แต่เมื่อเป็นวิธีที่ดีงามขนาดนี้ ราคามันก็เลยสูงตาม เพราะว่าค่าใช้จ่ายต่อ 1 ครั้งสูงถึง 5 หมื่นบาท เป็นอย่างน้อย อยากดูดีก็ต้องลงทุนกันหน่อย

ท่าบริหารลดเหนียง

7.ท่าบริหารลดเหนียง วิธีที่ 1

ตั้งศีรษะให้ตรง จากนั้นเงยหน้าจนสุด จะรู้สึกว่าบริเวณลำคอจะมีความตรง แล้วนับ 1 – 5 แล้วก็ก้มลงให้ต่ำสุด เกร็งคอไว้แล้วนับ 1 – 15 ทำแบบนี้ทุกวัน 15 – 20 รอบ จะช่วยลดไขมันใต้คางได้ดี

8.ท่าบริหารลดเหนียง วิธีที่ 2

ก้มจนคางชิดลำคอเกร็งไว้ แล้วหันเอาคางไปชิดทางขวา เกร็งไว้ จากนั้นก็เอาคางไปชิดด้านซ้ายเกร็งไว้ ทำแบบนี้เรียกว่า 1 รอบ ทำอย่างน้อย 20 รอบ วันละ 3 ครั้ง

9.ท่าบริหารลดเหนียง วิธีที่ 3

หมุนคอช้า เริ่มจากตั้งหน้าตรง หันขวาช้าๆ กลับมาหน้าตรงแล้วหันซ้ายช้าๆแล้วกลับมาหน้าตรง จากนั้นหมุนคอช้าๆ หมุนวนไปมา ทั้งจากทางซ้าย และขวา ทำแบบนี้วันละ 15 รอบ

10.ท่าบริหารลดเหนียง วิธีที่ 4

ยืนในท่าที่สบายที่สุด เงยหน้าขึ้นจนรู้สึกตึงที่คอ จากนั้นยกริมฝีผากล่างมางับที่ริมฝีปากบน เกร็งค้างไว้ 10 วินาที แล้วกลับสู่ท่าเริ่มต้นอีกครั้ง ทำแบบนี้วันละ 10-30 ครั้ง แบ่งเป็นเซ็ต เซ็ตละ 3 รอบต่อวัน

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  1. https://medthai.com/วิธีลดเหนียงใต้คาง/

โรงงานผลิตเครื่องสำอาง 9 แห่ง สร้างแบรนด์ของตัวเองในราคาประหยัด

โรงงานผลิตเครื่องสำอาง 9 แห่ง สร้างแบรนด์ของตัวเองในราคาประหยัด

โรงงานผลิตเครื่องสำอาง 9 แห่ง สร้างแบรนด์ของตัวเองในราคาประหยัด ธุรกิจการขายสินค้าเครื่องสำอาง และสุขภาพ กลายเป็นสิ่งที่สร้างรายได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะการขายผ่านทางโซเชียลมีเดีย

วันนี้หลายคนหันมาจับเป็นอาชีพหลัก และหลายคนกำลังมองหาช่องทาง เพื่อจะสร้างสินค้าของตัวเอง วันนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับ 9 โรงงานรับจ้างผลิตเครื่องสำอาง ใครที่อยากมีสินค้าเป็นแบรนด์ของตัวเอง อย่าพลาด !!!

โรงงานรับผลิตเครื่องสำอาง

1 . โรงงานรับผลิตเครื่องสำอาง Cuzzutic Co.,Ltd.

Cuzzutic โรงงานรับผลิตเครื่องสำอาง เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานนัก แต่ว่ามีคนให้ความสนใจเยอะมาก เนื่องจากราคาต้นทุนที่ต่ำ เราสามารถสร้างสินค้าของตัวเองได้ในราคาเบาๆ Cuzzutic รับผลิตเครื่องสำอาง และสิค้าความงามทุกประเภท ด้วยการดีไซน์ที่โดดเด่น เจาะกลุ่มตลาดเป้าหมายได้อย่างตรงจุด สามารถเข้ารับคำปรึกษาได้ที่

www.cuzzutic.com
โทร 061-636-5479
Line @cuzzutic

ผลิตเครื่องสำอาง เกาหลี

2 . ผลิตเครื่องสำอาง Revomed Co.,Ltd.

Revomed โรงงานรับผลิตเครื่องสำอางอีกนึ่งโรงงานผลิตเครื่องสำอางที่คุณไม่ต้องทุนมากนัก ผลิตได้ทุกเกรดทั้งเกรดพรีเมี่ยม และระดับที่ต่ำลงไปไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ลิปสติก แป้งพัฟ โฟมล้างหน้า ฯลฯ และเป็นอีกหนึ่งโรงงานที่มีคอนเนคชั่นที่ดีกับโรงงานที่เกาหลี ให้ทำแนะนำทุกอย่างที่เกี่ยวกับสร้างแบรนด์ของตัวเอง

www.revomed.co.th
Line : @revomed
โทร 061-662-4242, 02-101-2790

โรงงานเครื่องสำอาง

3 . โรงงานเครื่องสำอาง Bioticon Co.,Ltd.

โรงงานเครื่องสำอาง Bioticon ไม่ได้เพียงแค่เป็นผู้ให้บริการผลิตเครื่องสำอางเท่านั้น แต่ว่ารับผลิตสินค้าสุขภาพ และความงามทุกประเภท ตั้งแต่ขนาดเล็ด ไปจนถึงขนาดใหญ่ และมั่นใจได้ว่าวัตถุของคุณจะมีคุณภาพที่ดีเยี่ยม เนื่องจากมีคอนเนคชั่นกับโรงงานผลิตเครื่องสำอางที่เกาหลี พร้อมดูแลหลังการขาย ในเรื่องของช่องทางการตลาด และการประชาสัมพันธ์

http://bioticon.com
Line : @bioticon
โทร 064-951-5629 , 091-745-9021

ผลิตเครื่องสำอาง

4 .โรงงานผลิตเครื่องสำอาง Shalom Cosmetica (Thailand) Co.,Ltd.

Shalom Cosmetica มีทีมนักวิทยาศาสตร์ และนักเคมีที่เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์เป็นพิเศษ ได้รับมาตรฐาน GMP , FDA, และ HALAL รับผลิตทั้ง ครีม โลชั่น ทั้งผิวหน้า คิดค้นและพัฒนาสูตรอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นลิปสติก แป้งพัฟ อายไลเนอร์คุณภาพดี ทางบริษัทก็พร้อมพัฒนาเพื่อให้สินค้าของคุณแตกต่าง และสรรหาแต่วัตถุดิบชั้นเลิศ พร้อมจัดหาสถานที่ประชาสัมพัธ์ ออกบูท หรือรันคิวการจัดให้อย่างครบครัน

www.shalom-cosmetica.com
Line : @shalomcosmetica
โทร 090-9939011 , 02-525-9838

ผลิตเครื่องสำอางราคาถูก

5 . โรงงานผลิตเครื่องสำอาง Herbal Majestic Co.,Ltd.

Herbal Majestic ปลอดภัย ไว้วางใจได้ 100 % ด้วยมาตรฐานระดับสากล คุณสามารถเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าของตัวเองได้ในราคาต่ำ มีโปรโมชั่นผ่อน 0%ดูแลแบบครบวงจร ด้วยผู้เชี่ยวชาญทั้งจากนักเคมี นักเวชสำอาง และทีมงานการตลาดที่คัดมาพิเศษ

www.herbalmajestic.com
โทร 099-232-4295 , 02-047-9265
Line : @herbalmajestic

โรงงานผลิตเครื่องสำอางไทย

6 . โรงงานผลิตเครื่องสำอาง Kovic Kate International Thailand

Kovic เด่นเป็นพิเศษในเรื่องการผลิตเครื่องสำอางที่เกี่ยวกับการดูแลผิว และใบหน้า รับผลิตอาหาร คอลลาเจน พร้อมการประชาสัมพันธ์ได้ที่จะช่วยให้คุณเปิดได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนี้ยังให้บริการจัดทำ อย. ดีไซน์กล่อง ออกบูธอีเว้นท์ การตลาดออนไลน์ ทำให้คุณสามารถกระจายสินค้า และติดตลาดได้อย่างรวดเร็ว

www.kovic.co.th
Line : @kovic
โทร 02 521-7888-9

ทัวร์โรงงานเกาหลี

7 . โรงงานผลิตเครื่องสำอาง Pathawin

Pathawin โดเดน่นในเรื่องการผลิตเครื่องสำอางประเภทครีม Facial Care , Body Care ได้การรับรองจากมาตรฐานสากล ISO 9001 : 2008 ASEAN GMP และ ปลอดภัย มีคุณภาพสูง คัดสรรวัตถุดิบชั้นดี ทั้งหมดนี้คุณจะได้รับในราคาที่ประหยัดมาก

www.pathawin.com
โทร 02 – 593 – 1637

รับผลิตเครื่องสำอางที่ดีที่สุด

8 . โรงงานผลิตเครื่องสำอาง Skin Innovations Co.,Ltd.

Skin Innovations Co.,Ltd. รับผลิตเครื่องสำอางตั้งแต่ เท้า จรดปลายเส้นผม ครบทุกประเภท ผิวแขน ผิวขา ผิวกาย เครื่องสำอางกันน้ำ มีมาตรฐานรองรับทั้ง Good Manufacturing Practice และHalal พร้อมช่วยพัฒนาสูตรต่างๆ ของคุณอย่างมืออาชีพ ด้วยราคาต่ำ ออกแบบบรรจุภัณฑ์เกรดพรีเมี่ยม เว็บไซต์ การประชาสัมพันธ์ครบทุกช่องทาง

www.skin-innovations.co.th
โทร 094-558-9559
Line : @skininnovations

บริษัทผลิตเครื่องสำอาง

9 . บริษัทผลิตเครื่องสำอาง COSMAPROF

บริษัทผลิตเครื่องสำอาง COSMAPROF อีกหนึ่งโรงงานผิตเครื่องสำอางที่โดดเด่นในเรื่องการผลิตครีมโดยเฉพาะ แต่ว่ายังรับผลิตอาหารเสริม และสินค้าสุขภาพ ความงามในหมวดอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าคุณต้องการสินค้าแบบไหน อยากได้แบรนด์ที่มีลักษณะอย่างไร COSMAPROF สามารถจัดทำให้คุณได้ตามต้องการ รวดเร็ว และมีราคาประหยัดมาก

www.cosmaprof.co.th
โทร 02 – 735 – 3311


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  1. โรงงานผลิตครีม แนะนำ 10 โรงงานที่ดีที่สุด พร้อมสร้างแบรนด์ครีมให้ปัง. https://brannova.com/โรงงานผลิตครีม/

7 แบรนด์ แปรงแต่งหน้า ยอดนิยม แปรงแต่งหน้าถูกและดี

แบรนด์ แปรงแต่งหน้า ยอดนิยม ถูกและดีมีอยู่จริง!

แปรงแต่งหน้า 7 แบรนด์ ยอดนิยม ถูกและดี มีอยู่จริง! แปรงแต่งหน้าก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้ใบหน้าของเราดูสวยงามยิ่งขึ้น แต่ใครที่กำลังใช้แปรงเก่าๆ ขนแข็งๆ อยู่ละก็ให้รีบเปลี่ยนซะโดยเร็ว เพราะนอกจากจะข่วนหน้าแล้วยังทำให้แปรงไม่เรียบเนียนอีกด้วย วันนี้จึงมี 7 แบรนด์แปรงแต่งหน้ายอดนิยม มาให้ทุกคนได้เลือกใช้กัน จะมีอะไรบ้าง ไปดูเลย

อัพเดท 7 ยี่ห้อ แปรงแต่งหน้า ถูกและดี ราคาไม่แพง

  1. แปรงแต่งหน้า MAC

แปรงแต่งหน้า MAC

MAC นี่คือหนึ่งในสุดยอดแบรนด์ที่โดดเด่น ในเรื่องของแปรงแต่งหน้า ที่ผู้หญิงหลายคนปรารถนาอยากได้มาครอบครองสุด ๆ เพราะแปรงของ MAC เต็มไปด้วยคุณภาพ แถมยังมีหัวแปรงให้เลือกหลากหลายขนาด แถมขนแปรงก็นุ่มนวล ไม่บาดหน้า ใช้คู่กับเครื่องสำอางแบรนด์ไทยคุณภาพดีได้สบาย แต่ก็ต้องทำใจเรื่องราคานิดนึง เพราะราคาสูงมาก แต่ถ้าทุนถึงละก็ ถือว่าสอยได้สบายๆ เลย

  1. Zoeva

มากับแบรนด์ที่เป็นที่ถูกอกถูกใจใครหลายๆ คนแน่นอน เพราะเป็นแบรนด์ที่ทำแปรงออกมาได้ดี และมีราคาที่ไม่แพงมากอีกด้วย โดยแปรงแต่งหน้าของแบรนด์นี้ มีความโดดเด่นตรงที่ สร้างดีไซน์ได้เรียบหรู ดูแพงมาก ขนแปรงมีความนุ่มละมุน และยังมีให้เลือกซื้อเลือกใช้กันหลากหลายแบบ ใครเงินถึง จะจัดทั้งเซ็ทเลย ก็ถือว่าคุ้มค่ามากๆ

  1. Sigma

แปรงแต่งหน้าถูกและดี

ว่ากันว่าแปรงแบรนด์นี้ เป็นฝาแฝดเดียวกันกับแปรง MAC เพราะมีหลายๆ ตัวที่ทำออกมาคล้ายคลึงกัน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเหมือนไปซะทุกอย่าง ซึ่งแบรนด์นี้มีขนแปรงที่นุ่มนิ่ม ไม่บาดหน้า สามารถจิกสีเครื่องสำอางออกมาได้ดี และเมื่อใช้กับใบหน้าแล้ว จะทำให้สีใบหน้าดูนวลเนียนใช้ทาคู่กับรองพื้นปกปิดดีเยี่ยม ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย ซึ่งแบรนด์นี้ก็มีราคาที่ไม่ทำร้ายเงินในกระเป๋าอีกด้วย มีคนเคยพูดขำๆ ว่า ถ้าซื้อตัวนี้ครบเซ็ต ก็ซื้อของ MAC ได้แค่ 2 -3 ตัวแค่นั้น

  1. Real Technique

นี่คือแปรงแต่งหน้า ที่เป็นที่ฮอตฮิตมากแบรนด์หนึ่งของวงการเลยก็ว่าได้ เพราะมีราคาเป็นมิตรกับกระเป๋าเงินมากๆ แต่ก็ยังคงคุณภาพ ที่สามารถไปเทียบชั้นกับแปรงราคาแพงๆ ได้สบายเลย คือมีขนแปรงนุ่ม ไม่บาดหน้า แตะเครื่องสำอางแล้วสีติดมาที่แปรงดีมาก แถมยังมีให้เลือกซื้อมากมาย หลากหลายรูปแบบ

  1. Ecotools

ใครเป็นชาวอนุรักษ์บ้าง บอกเลยว่าเหมาะกับแปรงตัวนี้มาก เพราะเป็นแปรงแต่งหน้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสุดๆ และที่สามารถครองใจสาวๆ ได้ ก็เพราะยังเป็นมิตรกับเงินในกระเป๋าสตางค์อีกด้วย โดยแปรงแบรนด์นี้มีคุณภาพขนแปรงที่ดี ขนนุ่มนิ่ม ปาดผิวได้เรียบเนียนมาก และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือด้ามจะเป็นไม้สีอ่อน ทำให้ดูสะอาดตาและน่าใช้มาก

  1. l.f.

แปรงแต่งหน้า 2017

อย่างที่รู้กันว่า e.l.f. เป็นแบรนด์เครื่องสำอางทั่วไป แต่วันนี้จะมาเจาะที่แปรงของแบรนด์นี้ ซึ่งบอกได้เลยว่ามีคุณภาพแปรงที่ดีงามมาก ถึงกับต้องบอกต่อแน่นอน และที่สำคัญคือมีราคาที่ไม่แพง และถ้าซื้อครบเซ็ทก็จะให้ขนแปรงที่คุณภาพมาให้เลย ใครที่ชื่นชอบแปรงคุณภาพดี ราคาประหยัดละก็แบรนด์นี้ก็เป็นตัวเลือกหนึ่งสำหรับอุปกรณ์เครื่องสำอางที่ควรมีที่ดีงามมากเลยทีเดียว

  1. Mei Linda

มากับแปรงแบรนด์ไทยที่ใครๆ ก็ชอบ เพราะว่าให้ความสมูทที่ผิวหน้าได้ดี และที่สำคัญมากๆ เลยก็คือ มีราคาที่ไม่แพง ทำให้สาวไทยจับต้องได้มากขึ้น และนี่ก็เป็นส่วนทางหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนแบรนด์คนไทยให้ก้าวไกลไปถึงต่างแดน


ในโลกที่เต็มไปด้วยแบรนด์แปรงแต่งหน้ามากมาย การเลือกซื้อแปรงที่เหมาะสมสำหรับคุณอาจจะเป็นภารกิจที่ยากลำบาก เนื่องจากต้องคำนึงถึงคุณภาพ ราคา และความเหมาะสมกับความต้องการของคุณเอง ในบทความนี้เแอดมินก็ได้รวบรวม 7 แบรนด์แปรงแต่งหน้ายอดนิยมที่ให้คุณภาพที่ดีและมีราคาที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้คุณทำการเลือกซื้ออย่างมั่นใจและพบกับผลลัพธ์ที่น่าพอใจกับการแต่งหน้าของคุณมาแล้ว หวังว่าจะเป็นประโยช์อย่างยิ่งสำหรับสาวๆ หลายๆ คน


อ้างอิง:

7 แบรนด์แปรงแต่งหน้าใช้ดี ช่วยเนรมิตเมกอัพสวย ขนนุ่มละเอียดไม่บาดผิวหน้า. https://www.vogue.co.th/beauty/make-up-brush