หน้าแพ้สารเคมี หรือสารสเตียรอยด์ 5 อาการสำคัญที่บ่งบอกต้องระวัง!
หน้าแพ้สารเคมี เป็นอาการแพ้ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ อย่าง ปรอท หรือสารสเตียรอยด์ การแพ้เหล่านี้อาจเป็นอันตรายได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง รวมถึงการแพ้สารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อม เช่น ละอองเกสร สัตว์ และเชื้อรา สารเคมีทั่วไปอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้อย่างวัตถุเจือปนอาหาร สารกันบูด และสีย้อม เป็นต้น ซึ่งถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจก่อให้เกิดการแพ้ต่อสารนั้นอย่างแท้จริง
5 อาการสำคัญที่บ่งบอกต้องระวัง! ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังเจอกับปัญหาสิวปะทุ หน้ามัน แถมเหี่ยวย่นก่อนวัยทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีอะไร แต่จนมาได้ใช้ครีมตามอินเทอร์เน็ต แล้วบังเอิญว่าครีมนั้นดันหมดพอดี และอาการที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ดันเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ไม่แน่ว่าปัญหาผิวของคุณที่กำลังเจออยู่อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้ เพราะอาจจะเป็นสัญญาณที่บอกให้คุณรู้ว่า หน้าแพ้สารเคมี หรือแพ้สเตียรอยด์อยู่ก็เป็นได้
สเตียรอยด์ คืออะไร
ก่อนจะพูดถึงเรื่องของอาการ หน้าแพ้สารเคมี เราจะมาเท้าความกันก่อนว่า สเตียรอยด์ คืออะไร โดยปกติแล้ว สเตียรอยด์ เป็นสารเคมีที่ร่างกายสามารถที่จะผลิตขึ้นมาเองได้ ผ่านระบบต่อมหมวกไต ซึ่งฤทธิ์ของสเตียรอยด์นั้นมักจะเป็นไปในทางช่วยในการกดภูมิคุ้มกัน ไม่ให้ทำงานได้มากเกินไป จนก่อให้เกิดอาการแพ้ภูมิตัวเอง
ในทางการแพทย์มักจะมีข้อบ่งชี้ในการใช้สารประเภทนี้ โดยให้ใช้ในระยะเวลาที่เหมาะสม และปริมาณที่ไม่เข้มข้นเกินไป ซึ่งโรคที่จำเป็นต้องใช้สเตียรอยด์ในการรักษาก็จะเป็นโรคผิวหนังบางชนิด แต่การสั่งจ่ายยาจะต้องทำโดยแพทย์อย่างเคร่งครัดเท่านั้น เพราะในปัจจุบันทางองค์การอาหารและยาได้ระบุให้ สารสเตียรอยด์ เป็นสารอันตราย ห้ามนำไปผสมในเครื่องสำอาง หรือยาต่างๆ โดยเด็ดขาด
แต่อย่างไรก็ตามก็มีแม่ค้าและเจ้าของแบรนด์ที่ไร้จรรยาบรรณหลายคนได้ฝ่าฝืนข้อปฏิบัติดังกล่าว โดยการแอบผสมสเตียรอยด์ลงในเครื่องสำอาง เพื่อให้ดูเหมือนว่าใช้แล้วเห็นผลเร็วขึ้น ซึ่งในจุดนี้เองที่ทำให้เมื่อหยุดใช้แล้วเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นมา หรือที่เรียกกันว่า หน้าแพ้สารเคมี หรือแพ้สเตียรอยด์ นั่นเอง
โดยอาการของการแพ้สารเคมี มีดังนี้
1. หน้ามันกว่าปกติ
ในส่วนนี้หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไหร่ โดยเฉพาะสำหรับคนที่พื้นผิวเป็นคนผิวมันอยู่แล้ว เมื่อเกิดอาการ หน้าแพ้สารเคมี มักจะมองว่าก็ปกติผิวค่อนข้างมันอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเจอปัญหาดังกล่าว จะพบว่ามีผิวมันมากกว่าปกติ หลังจากหยุดใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
2. ผิวบาง
คำว่าผิวบางสำหรับเรา นอกจากความบอบบางที่มากขึ้น ยังหมายความถึงการที่ผิวหน้าดูบางลงอย่างเห็นได้ชัด จนสังเกตได้ว่ามองเห็นเส้นเลือดที่ผิวหน้า ซึ่งหากส่องกระจก แล้วเห็นเส้นเลือดแบบชัดๆ ทั้งที่คุณไม่ได้มีผิวขาว ขอให้แน่ใจได้ว่าคุณนั้นแพ้สเตียรอยด์อย่างแน่นอน
3. ผิวแพ้ง่าย
หลายคนเมื่อเลิกใช้ครีมหรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเคมี อาจจะพบว่าผิวหน้านั้นแพ้ง่ายมากขึ้น คือ เมื่อสัมผัสกับฝุ่นหรือความเปลี่ยนแปลงของอากาศ หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพียงเล็กน้อยก็มักจะเกิดสิว หรือผดผื่นคันได้ง่ายๆ ซึ่งนั่นถือว่าเป็นอาการสำคัญทีเดียวที่บ่งบอกว่า หน้าแพ้สารเคมี แล้วก็เป็นได้
4. มีสิวปะทุจำนวนมาก
ถ้าคุณเคยใช้เครื่องสำอางอะไร แล้วหน้าใสวิงค์ แต่เมื่อเลิกใช้กลับพบว่าผิวค่อยๆ มีสิวนานาชนิดผุดขึ้นมาตามใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นสิวผดหรือสิวอุดตันต่างๆ ในช่วงเวลาระหว่าง 2 สัปดาห์ – 1 เดือน หลังจากหยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ
ขอให้รู้ไว้เลยว่า นั่นอาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมาคุณได้ใช้สินค้าที่มีส่วนประกอบของสารสเตียรอยด์เข้าแล้ว ซึ่งเมื่อหยุดใช้อย่างกะทันหัน อาจจะทำให้ หน้าแพ้สารเคมี ขึ้นมาได้
5. ผิวหน้าดูแก่กว่าวัย
ในระหว่างการใช้เครื่องสำอางที่มีสารสเตียรอยด์ คุณอาจจะรู้สึกว่าผิวหน้าขาวใสได้ในเวลารวดเร็ว แต่เมื่อหยุดใช้กลับพบว่า ผิวหน้าของคุณ กลับเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่แย่ลง คือ มีผิวที่หมองคล้ำมากขึ้น ผิวหยาบกร้าน ผิวพรรณไม่ผ่องใส และมีการเหี่ยวย่นเร็วกว่าปกติ ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะค่อยๆ มาหลังจากหยุดใช้เครื่องสำอางได้ไม่นาน และเป็นอาการที่บอกได้เป็นอย่างดีว่า คุณนั้นแพ้สารเคมีเข้าแล้ว
จะหลีกเลี่ยงอาการแพ้สารเคมีหรือสเตียรอยด์ได้อย่างไร
สำหรับวิธีการหลีกเลี่ยงการแพ้สารเคมีหรือสเตียรอยด์ที่ดีที่สุดก็คือ การเลือกที่จะไม่ใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเคมีต่างๆ ตั้งแต่ต้นนั่นเอง หรือเลือกใช้ครีมผสมสารสกัดจากผลไม้ก็ได้ เนื่องจากเมื่อผิวเกิดปัญหาการแพ้สารเคมีขึ้นมามักจะใช้ระยะเวลาในการรักษาที่ค่อนข้างนาน รวมไปถึงยังอาจจะส่งผลต่อบุคลิกภาพของคุณอีกด้วย โดยสำหรับการเลือกซื้อเครื่องสำอาง หากไม่อยากเจอสารเคมีหรือสเตียรอยด์ปลอมปน แนะนำว่าควรเลือกดังนี้
1. เครื่องสำอางต้องมีที่มาที่ชัดเจน
ทั้งในส่วนของแหล่งผลิต และส่วนประกอบที่สำคัญต่างๆ รวมถึงหมายเลขจดแจ้งของเครื่องสำอางก็ควรจะตรวจสอบได้ ทั้งนี้นอกจากเพื่อเป็นการป้องกัน หน้าแพ้สารเคมี แล้ว การระบุประเภทของส่วนประกอบอย่างชัดเจน ยังช่วยให้คนที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายได้ตรวจสอบได้ด้วยว่าเครื่องสำอางแบรนด์นั้นควรเลือกใช้หรือไม่
2. เนื้อครีมไม่ควรเปลี่ยนแปลงง่าย
ในการทดสอบเครื่องสำอางบางอย่าง เราอาจจะเลือกซื้อมาตั้งทิ้งเอาไว้ในอุณหภูมิห้อง เพื่อดูการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการแยกชั้นของเนื้อครีมหรือการเปลี่ยนสี รวมไปถึงเรื่องของกลิ่นด้วย เนื่องจากหากเป็นเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสเตียรอยด์จริงๆ มักจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในส่วนนี้
3. ทดสอบโดยเครื่องมือของกระทรวงวิทย์
สำหรับคนที่ชอบลองครีมใหม่ๆ เราแนะนำว่าคุณควรมีชุดทดสอบสารต้องห้ามต่างๆ ของกระทรวงวิทยาศาสตร์การแพทย์ติดบ้านเอาไว้ สำหรับการทดสอบเครื่องสำอางที่รู้สึกไม่น่าไว้ใจ ซึ่งในปัจจุบันชุดทดสอบดังกล่าวมีจำหน่ายในราคาไม่แพงอีกด้วย
เพราะผิวหน้าของเรามีเพียงหน้าเดียว การจะเลือกใช้เครื่องสำอางต่างๆ นอกจากจะเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวแล้ว ควรเลือกเครื่องสำอางที่มีความปลอดภัยด้วย เพราะไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะต้องเสียทั้งเงินและเวลาในการรักษาปัญหาผิว และที่สำคัญ คือ อาจจะต้องเสียใจหากผิวพรรณกู้กลับมาได้ยาก หรือหมดทางรักษาอีกด้วย
4 วิธีทดสอบครีมปรอท ทดลองแล้วเห็นผลจริงอย่างแน่นอน
นอกจากสารสเตียรอยด์แล้ว ครีมปรอทก็เป็นสารเคมีอีกตัวที่ควรหลีกเลี่ยง ซึ่งวันนี้ก็จะมาแนะนำ 4 วิธีทดสอบครีมปรอทที่ทดลองแล้วเห็นผลจริงอย่างแน่นอน เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่า สารปรอทนั้นเป็นสารเคมีอีกตัวที่ค่อนข้างส่งผลกระทบกับร่างกายสูง เพราะสามารถทำลายระบบเม็ดเลือดของเราได้เลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามหลายครั้งเราก็ยังจำเป็นที่จะต้องนำเอาสารอันตรายอย่างปรอทมาใช้ในการทำงานบางอย่าง หรือแม้กระทั่งการรักษาโรคบางชนิดแต่ต้องทำภายใต้การควบคุมของแพทย์อย่างเคร่งครัดเท่านั้น
แต่ก็ยังมีบางแบรนด์ที่ได้นำเอาผลข้างเคียงบางอย่างของบสารปรอทมาใช้ในด้านความงาม ซึ่งผลข้างเคียงนั้น ก็คือ การช่วยฆ่าเชื้อที่ทำให้เกิดสิว และลดการทำงานของเมลานิน ซึ่งเป็นเม็ดสีผิวคล้ำให้น้อยลง ทำให้ผิวหน้าขาวใสไร้สิวในเวลาที่รวดเร็ว ก่อให้เกิดเป็นครีมปรอทที่ขายกันตามท้องตลาด ซึ่งหลายเจ้าอาจจะไม่ได้บอกตรงๆ ว่ามีสารอันตราย อันนี้เราก็ต้องตรวจสอบกันเอาเอง โดยวิธีการยอดนิยมที่ใช้ในการตรวจสอบว่าครีมที่ซื้อมาเป็นครีมปรอทหรือไม่ มีดังนี้
1. ทดสอบกับผิว
วิธีนี้สำหรับคนผิวแพ้ง่าย อยากให้เลี่ยงไปเลยจะดีกว่า แต่ถ้าคุณเชื่อว่าผิวพรรณคุณแข็งแรงก็น่าลองเหมือนกัน ซึ่งวิธีการทดสอบนั้นไม่ยากเลย เพียงแค่นำเอาครีมปรอทที่จะทดสอบมาทาที่บริเวณท้องแขนด้านในเล็กน้อย แล้วปิดด้วยพลาสเตอร์ จากนั้นก็นำเอาพลาสเตอร์อีกอันมาปิดที่บริเวณใกล้เคียง ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง แกะพลาสเตอร์ออก ถ้าตรงที่ทาครีมมีสีขาวซีดกว่า ตรงที่ไม่ทาแสดงว่า ครีมที่ซื้อมาเป็นครีมปรอท จริง
2. ใช้ผงซักฟอกทดสอบ
เป็นวิธีการยอดนิยมอีกวิธีการหนึ่งทีเดียว ในการช่วยทดสอบว่าครีมที่ซื้อมานั้นเป็นครีมปรอทหรือไม่ ซึ่งวิธีการก็ไม่ยากเลย เพียงแค่ผสมผงซักฟอกกับน้ำให้เป็นเนื้อครีมข้นๆ จากนั้นนำเอาครีมที่ต้องการทดสอบมาป้ายลงบนกระดาษทิชชู แล้วนำเอาผงซักฟอกที่ผสมไว้แล้วมาหยดใส่ ทิ้งไว้สักครู่ หากไม่มีการเปลี่ยนสี แปลว่าครีมนั้นปลอดภัยจากสารปรอท แต่หากมีการเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงิน แสดงว่านั่นเป็นครีมปรอท
3. ทดสอบโดยการนำเอาถูกับทองแท้
วิธีนี้เหมาะกับคนที่มีทอง แต่ถ้าไม่มีแนะนำให้ข้ามไปเลย ส่วนวิธีการนั้นก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแค่นำเอาครีมมาป้ายลงบนกระดาษทิชชูแล้วนำไปถูกับทองคำแท้ หากถูแล้วเป็นสีดำ แสดงว่ามีสารปรอทในครีมนั้น
4. ซื้อชุดทดสอบสารปรอทของกรมวิทยาศาสตร์
แนะนำว่าลองซื้อชุดทดสอบมาใช้จะให้ผลที่ชัดเจนกว่า แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าปรอทที่อยู่ในครีมนั้นเป็นปรอทชนิดใด และมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน แต่ก็พอที่จะทำให้เราตัดสินใจได้ว่าจะทิ้งหรือใช้ครีมกระปุกนั้นต่อไป
เมื่อทดสอบจนทราบแล้วว่ามีสารปรอทอยู่ภายในเครื่องสำอาง หลายคนอาจจะบอกว่าไม่เห็นเป็นอะไรเลย ใช้มาจนจะหมดแล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่าผลของการใช้ครีมปรอทนั้นจะเป็นอย่างไร ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
- ผลระยะสั้น สำหรับคนที่อาจจะทำบุญมาดีทำให้คุณเห็นผลของการใช้ครีมปรอทอย่างรวดเร็ว ทำให้ตัดสินใจว่าจะเลิกใช้ก่อนที่จะสะสมในร่างกายจนเป็นอันตราย แต่อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องเสียเวลาในการฟื้นฟูผิวมากพอสมควรทีเดียว เพราะหาก หน้าแพ้สารเคมี หรือผลของการแพ้ครีมปรอทแบบรุนแรงที่เห็นได้ชัด คือ จะมีอาการคัน ระคายเคือง และอาจจะเห็นสิวจำนวนมากโผล่ขึ้นมาหลังใช้ได้ไม่นาน นอกจากนี้แล้วหากยังฝืนใช้ เพราะเชื่อคำแม่ค้าว่าเป็นการผลักสิวออกมาแล้วจะหายไปเอง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ก็อาจะทำให้เกิดอาการผิวบาง แสบ แพ้แสง และที่ร้ายที่สุด คือ อาจจะเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้าถาวรอีก
- ผลระยะยาว สำหรับหลายคนที่บอกว่าใช้ครีมปรอทมาตั้งนานไม่เห็นเป็นอะไรเลย นั่นอาจจะเป็นเพราะว่ามีการสะสมของสารปรอทในกระแสเลือดและในผิวของเราไปแล้ว สำหรับผลของการที่ปรอทสะสมในผิว ในช่วงแรกอาจจะเห็นว่าหน้าขาวใสจริง แต่เมื่อเปลี่ยนครีมหรือเลิกใช้จะเกิดอาการสิวปะทุขึ้นมาเต็มใบหน้า และอาจจะมีอาการอื่นๆ ด้วย เช่น ผิวบาง แพ้ง่ายขึ้น เป็นต้น
นอกจากนี้แล้ว ในรายที่มีการตั้งครรภ์ แต่ใช้ครีมปรอทอยู่เป็นประจำ ผลของการสะสมของสารปรอท นอกจากจะเกิดกับคุณแล้ว ยังอาจจะส่งผลถึงเด็กในท้องด้วย เพราะสารปรอทจะไปทำลายระบบการไหลเวียนโลหิต และอาจจะทำให้เกิดการพิการ ทั้งทางร่างกายและสมองสำหรับเด็กที่จะเกิดมาด้วย
จะเห็นได้ว่าครีมปรอทราคาถูกที่ขายกันเกลื่อนเมืองนั้น มอบความสวยให้คุณได้ก็จริง แต่เป็นเพียงความสวยชั่วคราว ซึ่งต้องแลกมาด้วยปัญหาสุขภาพในระยะยาว นอกจากนี้แล้ว ยังไม่ได้แค่ส่งผลกับตัวคุณเท่านั้น เพราะอาจจะส่งผลถึงลูกของคุณด้วย ดังนั้น เราแนะนำว่าหากเลี่ยงได้ควรจะเลี่ยงการใช้ครีมที่ไม่ได้มาตรฐาน และไม่มีเครื่องหมายรับรองความปลอดภัย จาก อย. จะดีกว่า
เพราะครีมเหล่านี้ราคาถูกก็จริง แต่เมื่อมาคำนวณในส่วนของค่ารักษาที่เกิดจากการใช้ครีม บอกได้เลยว่าแพงกว่าเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ด้วยซ้ำ ดังนั้น บวกเงินเพิ่มเล็กน้อย เพื่อแลกกับความปลอดภัยของทั้งผิวคุณและสุขภาพจะดีกว่า เพราะใบหน้าของเรามีแค่หน้าเดียวเท่านั้น
หน้าแพ้สารเคมี มาแก้หน้าพัง ให้ปังได้อีกครั้ง
หน้าแพ้สารเคมี มาแก้หน้าพัง ให้ปังได้อีกครั้ง ถ้าพูดถึงเครื่องสำอางในปัจจุบันเราจะพบว่ามีมากมายหลายแบรนด์ทีเดียวในท้องตลาดให้เราได้เลือกซื้อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกแบรนด์จะปลอดภัยสำหรับผิวของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์ที่กล้าการันตี 3-7 วันเห็นผล และมีราคาที่ถูกเกินไป ยิ่งถือว่าอันตรายทีเดียว
เพราะอาจจะมีส่วนผสมของสารต้องห้ามมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ปรอท ไฮโดรควินิน หรือแม้กระทั่งสารสเตียรอยด์ ซึ่งสารที่กล่าวมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นสารที่มีอันตราย ทั้งต่อผิวพรรณและต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งครีมสเตียรอยด์ด้วยแล้วมักจะส่งผลแทบจะในทันทีที่หยุดใช้กันเลยทีเดียว
ดูแลผิวของเราปลอดภัยจากสารเคมี
มาดูกันดีกว่าว่าครีมเหล่านี้มีลักษณะอย่างไร รักษาสิวหายได้ใน 7 วัน ในราคาที่ถูกจนน่าตกใจ สำหรับในส่วนของครีมที่ผสมสารเคมีต่างๆ นั้นมักจะเน้นโฆษณาไปที่การรักษาสิวให้หายในเวลาที่รวดเร็ว ซึ่งเห็นผลจริงในระยะแรกอย่างสารสเตียรอยด์ที่อยู่ในครีมจะไปกดไม่ให้สิวปะทุขึ้นมา ทำให้เชื้อสิวยังคงอยู่ภายใต้ผิวหน้าของเรา เพื่อรอวันที่ผิวอ่อนแอ แล้วจึงค่อยผุดขึ้นมาพร้อมกันจำนวนมาก หรือสารปรอทที่ทำให้ผิวขาวไว
- ครีมมีกลิ่นฉุน หลายเจ้าอ้างว่าครีมของตนเองทำมาจากสมุนไพร ทำให้มีกลิ่นที่ฉุนรุนแรง แต่จริงๆ แล้วเป็นการแต่งกลิ่น เพื่อกลบกลิ่นของสารเคมี เพื่อไม่ผู้บริโภคไม่รู้สึกตัวว่ากำลังใช้ครีมอันตรายอยู่นั่นเอง
- เนื้อครีมแยกชั้น เมื่อใช้ไปสักพักหนึ่งสำหรับคนที่กำลังใช้ แนะนำว่าให้ดูว่าเนื้อครีมนั้นยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะอย่างครีมที่มีสารสเตียรอยด์นั้น มักจะเกิดการแยกชั้นของเนื้อครีมเมื่อเวลาผ่านไป
- เนื้อครีมมีการเปลี่ยนสี ทั้งนี้ไม่ใช่การเปลี่ยนสีจากสภาพอากาศ เพราะว่าสำหรับครีมนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างเร็ว และเมื่อมีการสอบถามไปยังเจ้าของผลิตภัณฑ์มักจะมีการอ้างว่าเป็นการเปลี่ยนสีของสมุนไพร เป็นต้น แต่หากพบว่าเนื้อครีมเปลี่ยนสี แนะนำว่าให้ทิ้งดีกว่า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีสารอันตรายก็ตาม เพราะนั่นอาจจะหมายความว่าครีมนั้น หมดอายุหรือเสื่อมสภาพได้เช่นเดียวกัน
และสำหรับคนที่กำลังมีปัญหาหลังจากที่ใช้ครีมที่ผสมสารเคมี เราก็มีเทคนิคในการจัดการกับปัญหาเหล่านี้ เพื่อให้หน้าของคุณกลับมาใสได้เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าวิธีการเหล่านี้อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยในการฟื้นฟูผิวหน้า แต่รับรองได้เลยว่าผิวของคุณจะกลับมาใสได้อย่างแน่นอน ด้วย 3 สเต็ปต่อไปนี้
1. หยุดพักหน้า
นอกจากจะเลิกใช้ครีมต่างๆ แล้ว คุณยังจะต้องหยุดแทบจะทุกอย่างเกี่ยวกับผิวหน้าเลยทีเดียว รวมถึงต้องใช้วิธีล้างหน้าที่ถูกต้อง เพราะหากยังมีการทาครีมอื่ยๆ อยู่อาจจะเป็นการไปทำร้ายผิวเพิ่มขึ้นดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็น
– การแต่งหน้า เพราะการแต่งหน้าจะทำให้เกิดปัญหาสิวอุดตันจากเครื่องสำอางได้ง่าย แต่อย่างไรก็ตามหากจำเป็นต้องแต่งหน้าเพื่อไปทำงาน แนะนำว่าให้แต่งอ่อนๆ และเมื่อกลับมาถึงบ้านให้รีบล้างให้สะอาด เพื่อให้ผิวได้พักผ่อน
– งดมาส์กและสครับผิว อย่างที่รู้กันการสครับผิวมักจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่ายอยู่แล้ว และยิ่งเมื่ออยู่ในภาวะที่ หน้าแพ้สารเคมี ผิวอ่อนแอกว่าปกติ แทนที่จะเป็นการฟื้นฟูผิวก็อาจะกลายเป็นการทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัวได้
– งดบีบหรือแกะสิว เพราะจะทำให้เกิดรอยสิวและริ้วรอยได้ เนื่องจากผิวของเรายังอยู่ในสภาพอ่อนแออย่างถึงที่สุด
สำหรับในส่วนของการหยุดพักหน้าจากครีมนั้น แต่ละคนอาจจะใช้เวลาไม่เท่ากัน เนื่องจากขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการใช้ครีม และสภาพความอ่อนแอของผิวหน้าด้วย หลายคนอาจจะใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือนก็กลับมาหน้าใส แต่บางคนก็ใช้เวลาเป็นปีเหมือนกัน
2. ดีท็อกซ์ผิวหน้า
การดีท็อกซ์ผิวหน้า เราแนะนำให้ใช้สูตรจากธรรมชาติ เช่น การพอกหน้าด้วยไข่ขาวเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อช่วยในการขับพิษของสารเคมีออกมา จะปลอดภัยกว่า และนอกจากการใช้ไข่ขาวแล้ว
หากต้องการที่จะเติมความชุ่มชื้นหรือต้องการให้หน้าขาวกระจ่างใส ก็อาจะใช้อย่างอื่นที่มาจากธรรมชาติและอ่อนโยน เช่น นมสด โยเกิร์ต หรือว่านหางจระเข้ มาพอกที่ผิวหน้าก็ได้เช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้ไม่ควรใช้สิ่งที่อาจจะทำให้แพ้ได้อย่างมะเขือเทศหรือมันฝรั่ง ในการพอกหน้าช่วงนี้ เพราะอาจจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่าย
3. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้ปลอดภัย
หลังจากที่พักหน้าและดีท็อกซ์ผิวจากการติดครีมสารเคมีเรียบร้อย ต่อมาก็เป็นในส่วนของการเลือกใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับสภาพผิวที่อ่อนแอ โดยมีหลักการในการเลือก ดังนี้
– ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว การทำความสะอาดเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับช่วงนี้ เนื่องจากผิวของเรามีความอ่อนแอจากการใช้ครีมมาเป็นระยะเวลานาน โอกาสในการที่จะเกิดสิวมีมากกว่าคนปกติ การเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับการล้างหน้า แนะนำให้เลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิว และควรเลือกแบบที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติที่สำคัญ คือ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าที่มีความอ่อนโยนเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคืองจากการทำความสะอาด
– บำรุงผิว ให้เน้นเลือกเครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่ให้ความชุ่มชื้นเป็นหลัก เพราะเป็นเคล็ดลับวิธีแก้ผิวแห้งเป็นสิวได้เป็นอย่างดี แต่อย่าเพิ่งมองหาครีมสำหรับช่วยให้หน้าขาวหรือลบรอยใดๆ ทั้งสิ้น เพราะหากใจร้อนรีบใช้ครีมอื่นๆ ผิวที่ยังไม่ฟื้นฟูอาจจะกลับมาพังได้อีกครั้ง และเช่นเดียวกันควรเลือกเป็นสูตรอ่อนโยนจะดีที่สุด
– ครีมกันแดดเพราะผิวหน้าของเราหลังจากที่เจอกับสารเคมีมาจะมีความไวต่อแดดมาก การใช้ครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และแน่นอนว่าควรเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อบางเบา และไม่มีส่วนประกอบที่ก่อให้เกิดอาการแพ้
หลายคนอาจจะมองว่ายุ่งยากพอสมควรสำหรับการดูแลผิวหลังจากที่ใช้ครีมที่ผสมสารเคมี แต่เชื่อเถอะว่านี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดในการฟื้นฟูผิวของคุณให้กลับมาสวยได้อีกครั้ง หลังจากที่หน้าพังเพราะพิษสารเคมีอย่างแน่นอน
อ้างอิง
http://www.biohopethai.com/กู้หน้าพังจากปรอทและสเตียรอยด์