10 วิธีลดหน้ามัน ให้หน้าไม่เยิ้ม และกลับมาเนียนใสด้วยสูตรนี้

10 วิธีลดหน้ามัน ให้หน้าไม่เยิ้ม และกลับมาเนียนใสด้วยสูตรนี้

วิธีลดหน้ามัน ให้หน้าไม่เยิ้ม และกลับมาเนียนใสด้วยสูตรนี้… หน้ามัน เชื่อผิวของคนไทยส่วนใหญ่ต้องเจอกับปัญหานี้อย่างแน่นอน และด้วยความที่เป็นเมืองร้อนปัญหานี้จึงแก้ได้ยาก และน่ารำคาญมากที่สุด

แต่วันนี้เรามีเรื่องดีๆ มาบอก เพราะว่าคุณจะสามารถหา วิธีลดหน้ามัน ให้น้อยลงไปได้ด้วย 10 วิธีเหล่านี้

1. เลือกรับประทานอาหาร

วิธีลดหน้ามัน

เรื่องอาหารการกินก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อผิวโดยตรง อย่างของทอด ของมันทั้งหลาย จะไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้ผิวหน้ามันเพิ่มขึ้น แถมทำให้สิวขึ้นง่ายด้วย

สารอาหารสำหรับคนที่หน้ามันหรือผิวมันควรจะได้รับมากที่สุด คือ วิตามินเอ และวิตามินบี 2 เพราะว่าหากขาดสองตัวนี้ผิวของคุณจะเพิ่มความมันมากขึ้นไปอีก วิตามินเอจะช่วยให้ร่างกายลดกระบวนการผลิตความมัน อยู่ในอาหารประเภท แครอท แคนตาลูป ผักโขม และควรงดรับประทานของมัน ของทอด รวมถึงน้ำตาล น้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารที่มีรสจัด ส่วนวิตามินบี 2 จะอยู่ในอาหารประเภท ถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี

เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มการขยายตัวของหลอดเลือด ให้ร่างกายขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ และร่างกายเกิดการขาดน้ำ ผิวของคุณจะมัน ไม่สดใส หมองคล้ำ หันมาเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจะดีกว่า

2. ดื่มน้ำสะอาด

วิธีลดหน้ามัน

การดื่มน้ำบ่อยเป็นอีกวิธีคุมหน้ามันไม่ให้เยิ้มที่ได้ผลอย่างมาก แต่ไม่ใช่ดื่มทีละเยอะๆ ในครั้งเดียว คุณควรจิบบ่อยๆ ตลอดวัน จะทำให้ผิวเกิดความชุ่มชื่น ช่วยในการขับของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ดีขึ้น

3. อย่าให้อะไรมาบดบังใบหน้า

วิธีลดหน้ามัน

เพราะสิ่งเหล่านี้อาจจะสกปรก เช่น เส้นผมโดยเฉพาะคนที่นิยมใส่เจลหรือน้ำมันใส่ผม จะยิ่งทำให้ไปโดนหน้า และอาจทำให้เกิดสิวได้ง่าย เวลานอนก็เช่นกัน ควรปัดผมไว้ด้านหลัง ยิ่งถ้าคุณไม่ค่อยสระผม รับรองว่าตื่นมาหน้าของคุณต้องมันแน่นอน

4. หลีกเลี่ยงแสงแดด

วิธีลดหน้ามัน

พยามยามหลีกเลี่ยงแสงแดดให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะแดดเมืองไทยที่ร้อนมาก หากว่ามีกิจกรรมที่ต้องออกแดดจริงๆ แนะนำว่าควรทาครีมกันแดดทุกครั้ง แต่ควรเลือกใช้สูตรบางเบาซึมซาบเร็ว เพื่อช่วยลดความมันบนใบหน้า

5. ทำความสะอาด

วิธีลดหน้ามัน

ความมันเกิดจากการสะสมของสิ่งสกปรกต่างๆ เราควรล้างทำความสะอาดผิวหน้า แต่ว่าไม่ต้องบ่อยเกินไปและต้องทำตามการล้างหน้าที่ถูกต้องของคนหน้ามันแบบปกติทั่วไปอย่างล้างเช้าและเย็น การล้างหน้าบ่อยเกินไปจะไปกระตุ้นให้ผิวขับความมันออกมามากขึ้น

6. เลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าช่วยลดหน้ามัน

วิธีลดหน้ามัน

สำหรับคนที่มีผิวหน้ามันกว่าคนปกติทั่วไป การเลือกโฟมล้างหน้าควรเลือกที่มีค่า pH เป็นกลาง หรือไปทางกรดเล็กน้อย หรือเลือกที่เป็นสูตรเย็น ช่วยกระชับรูขุมขน สำหรับใครที่ใช้สบู่ล้างหน้าขอให้เลิกเสีย เพราะว่าสบู่มีฤทธิ์เป็นด่าง และไม่ควรใช้โฟมล้างหน้าที่มีสครับทุกวัน เพราะว่าจะไปกระตุ้นให้หน้าผลิตน้ำมันตลอด

7. ใช้โทนเนอร์หลังล้างหน้า

วิธีลดหน้ามัน

ใครที่ต้องการใช้โทนเนอร์หลังล้างหน้า ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะหน้ายิ่งแห้ง ซึ่งจะยิ่งขับน้ำมันออกมากขึ้นกว่าเดิม และควรโทนเนอร์หลังล้างหน้าทั้งเช้าและเย็น เพื่อช่วยควบคุมความมัน

8. ใช้ครีมบำรุงผิวที่ปราศจากน้ำมัน

วิธีลดหน้ามัน

ไม่ว่าคุณจะใช้บำรุงอะไรก็ตาม สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างแรกคือต้องไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ควรเลือกครีมบำรุงสำหรับคนหน้ามันและมอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดบางเบาที่ซึมเข้าสู่ผิวอย่างเร็วไม่เหนอะหนะ

9. เครื่องสำอางลดหน้ามัน

วิธีลดหน้ามัน

การเลือกเครื่องสำอางประเภทคุมมันก็เป็นวิธีที่ดี อย่างรองพื้นควรใช้สูตรน้ำหรือรองพื้นสูตรเจล และทั้งหมดต้องไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ยิ่งถ้ารองพื้นของคุณมีส่วนผสมของแร่ธาตุ และวิตามินจะดีมาก โดยเฉพาะซิงค์ ออกไซด์ และวิตามินซี เพราะว่าแร่ธาตุเหล่านี้จะช่วยควบคุมความมันให้คุณได้อีกระดับ

10. มาส์กแก้หน้ามัน

วิธีลดหน้ามัน

การเลือกมาส์กหน้า ควรเลือกประเภทที่มีสาร AHA หรือ BHA เพราะจะช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิวและกระชับรูขุมขน ผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว แต่ไม่ควรใช้มากจนเกินไป ควรใช้แค่สัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะเลือกสมุนไพรก็ได้เช่นกัน ได้แก่ ขมิ้น และมะขามเปียก เป็นต้น หรือเลือกใช้เป็นมาส์กแผ่นสำเร็จรูปเลยก็ได้เช่นกัน

วิธีจัดการปัญหาหน้ามันอาจขึ้นอยู่กับสาเหตุต่างๆ ซึ่งปัญหาหน้ามันอาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์หรือฮอร์โมนก็ทำให้แก้ไขได้ยาก รวมถึงสภาพผิวที่แตกต่างกันของแต่ละคนก็มีส่วนที่ทำให้ดูแลผิวหน้าได้ยากหรือง่ายแตกต่างกัน 

แต่เราก็มีอีกวิธีมาแนะนำ นั่นก็คือ สูตรมาส์กหน้าจากธรรมชาติที่ทำได้ด้วยตัวเอง อีกวิธีที่ช่วยจัดการหน้ามันได้แบบง่ายๆ และสามารถลองไปทำตามดูได้


แนะนำ 10 วิธีแก้หน้ามัน รูขุมขนกว้าง ด้วยสูตรมาส์กหน้าที่ทำได้ด้วยตัวเอง

วิธีลดหน้ามัน

10 วิธีแก้หน้ามัน รูขุมขนกว้าง ด้วยสูตรมาส์กหน้าที่ทำได้ด้วยตัวเองและสามารถทำได้เองง่ายๆ ที่บ้าน เพราะบางทีการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางตัวก็อาจจะมีส่วนผสมของสารเคมีที่รุนแรง ฉะนั้นนี่จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งก็คือสูตรมาส์หน้าจากธรรมชาติ ที่ช่วยลดความมันได้ง่ายๆ และช่วยบำรุงผิวด้วย

1. สูตรมาส์กหน้าด้วยไข่ขาว

วิธีลดหน้ามัน

สูตรนี้คุณสามารถทำเองได้ง่ายๆ เพียงนำส่วนผสมต่างๆ มาผสมให้เข้ากัน ไข่ขาว 1 ฟอง, น้ำมะนาว 1 ช้อนชา, แตงกวา 1 ลูก และใบสะระแหน่ แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

2. สูตรมาส์กหน้ามะเขือเทศ

วิธีลดหน้ามัน

บดมะเขือเทศจนละเอียดแล้วนำมาทาหน้าทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นล้างออก จะช่วยควบคุมความมันได้ดี และผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส สามารถทำได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

3. สูตรแก้หน้ามันด้วย มะนาว + มะเขือเทศ + ข้าวโอ๊ต

วิธีลดหน้ามัน

นำ มะนาว + มะเขือเทศ + ข้าวโอ๊ต มาผสมให้เข้ากัน ทาทิ้งไว้บนหน้าประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

4. สูตรแก้หน้ามันด้วย ข้าวโอ๊ต + น้ำมันมะกอก + น้ำมะนาว

วิธีลดหน้ามัน

ใช้ข้าวโอ๊ตบด ตามด้วยน้ำมะนาว และน้ำมันมะกอกนิดหน่อยเพียงแค่หยดสองหยดก็พอ คนให้ทุกอย่างข้นเข้าที่ จากนั้นนำมาขัดหน้าเบาๆ แล้วล้างออกให้สะอาด

5. สูตรมาส์กหน้าด้วยมะนาว

วิธีลดหน้ามัน

สามารถใช้น้ำมะนาวสดๆ ได้เลย นำสำลีมาชุบแล้วทาบริเวณใบหน้าได้ แต่ยกเว้นบริเวณรอบดวงตา หากว่าใครมีอาการแสบให้เจือจางด้วยน้ำอุ่น ทำได้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ระวังอย่าทิ้งไว้นานเพราะน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด

6. สูตรคุมหน้ามันด้วย น้ำเกลือ + เปลือกมะนาว

วิธีลดหน้ามัน

อีกหนึ่งสูตรเจือจางสักหน่อยและยังคงใช้น้ำมะนาวเช่นเดิม โดยในสูตรนี้เราจะใช้น้ำเกลือด้วย โดยต้มน้ำเกลือให้เดือดได้ที่ รอให้เย็น เอาหน้าไปอังไอน้ำเกลือเพื่อให้รูขุมขนเปิด จากนั้นเอาน้ำเกลือมาเช็ดหน้า รอจนแห้งแล้วใช้เปลือกมะนาวขัดหน้าเบาๆ จากนั้นใช้นำเกลือล้างหน้าอีกครั้ง แล้วตามด้วยโฟมล้างหน้าที่ใช้ปกติ

7. สูตรลดหน้ามันด้วย แอปเปิ้ล + น้ำผึ้ง

วิธีลดหน้ามัน

สูตรนี้ก็หาส่วนผสมไม่ยาก ใช้ แอปเปิ้ล 1 ผล + น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ นำแอปเปิ้ลมาปั่น ใช่ๆ อย่าลืมปลอกเปลือกก่อนแล้วล้างให้สะอาดนะ เมื่อได้แอปเปิ้ลละเอียดแล้ว ให้เอามาผสมกับน้ำผึ้ง พอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นก็ล้างออกให้สะอาด จบพิธี

8. สูตรมาส์กหน้าด้วยว่านหางจระเข้

วิธีลดหน้ามัน

ให้นำว่านหางจระเข้มาปลอกเปลือกออกให้เหลือแต่วุ้น ล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาหั่นเป็นแผ่นบางๆ แล้วนำมาพอกไว้ที่หน้า ว่านหางจระเข้จะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น และช่วยลดความมันบนใบหน้าได้

9. สูตรมาส์กหน้าด้วยดินสอพอง

วิธีลดหน้ามัน

ดินสอพองนั้นมีสรรพคุณในการช่วยดูดซับความมัน โดยสามารถนำไปผสมกับมะนาวและน้ำผึ้งร่วมด้วยก็ได้ จากนั้นนำมาพอกหน้าทิ้งไว้สัก 15 นาที แล้วล้างออก จะทำให้ผิวเนียนนุ่มขึ้นได้

10. สูตรมาส์กหน้าด้วยกล้วยหอม

วิธีลดหน้ามัน

สูตรนี้ทำง่ายๆ ด้วยการนำกล้วยหอม 1 ลูก ผสมน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ มาปั่นผสมให้เข้ากันและนำไปพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้จะช่วยทำให้หน้าใสไกลสิวและลดความมันได้

สกินแคร์บางตัวก็อาจจะไม่เหมาะกับสภาพผิวของเรา รวมไปถึงการใช้ยาบางชนิดก็มีส่วนทำให้ผิวมันมากขึ้นได้เช่นกัน การแก้ไขปัญหาผิวมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ วิธีลดหน้ามัน ที่เรานำมาฝากกันนั้นก็เป็นวิธีที่ทำตามกันได้และยังมีสูตรมาส์กหน้าจากธรรมชาติ หากลองทำตามดูก็อาจจะช่วยลดความมันของผิวไปได้บ้าง ที่สำคัญการแก้ไขปัญหาผิวต่างๆ อาจจะไม่สามารถแก้ไขได้อย่างทันที ทุกอย่างต้องใช้เวลาและหาวิธีที่เหมาะสมกับผิวของเราจึงจะมีประสิทธิภาพที่สุด


อ้างอิง

A Skin Care Routine for Oily Skin : https://greatist.com/health/skin-care-routine-for-oily-skin

https://women.kapook.com/view239880.html

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน ให้สิ้นซาก พร้อมสูตรลอกสิวเสี้ยน กระชากถึงต้นตอ

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน ให้สิ้นซาก พร้อมสูตรลอกสิวเสี้ยน กระชากถึงต้นตอ

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน ให้สิ้นซาก พร้อมสูตรลอกสิวเสี้ยน กระชากถึงต้นตอ วันนี้เราจะมาดูเรื่องสิวๆ โดยเฉพาะเรื่องสิวเสี้ยวรับรองว่าละเอียดยิบ จนคุณอ่านจบแทบจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องสิวเสี้ยนได้เลย

สิวเสี้ยน เวลาที่มีมันเกิดขึ้น มันจะเกิดเยอะมากๆ คล้าย ๆ กับสิวอุดตัน แต่ว่าในไขมันนั้นมักจะมีขนรวมอยู่ด้วย และแค่แค่สิวเพียงหัวเดียวอาจมีขนมากถึง 50 เส้น ซึ่งขนเหล่านี้แหละคือตัวการ เพราะว่าเมื่อมันขดรวมกันจำนวนมาก จะอุดตันรูขุมขนจนทำให้เกิดความสกปรก เป็นปัญหาเริ่มต้นของการเกิดสิวต่างๆ 

สิวเสี้ยน มีชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ ว่า Trichostasis spinulosa พบได้ในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นจะพบมากเป็นพิเศษ เมื่อรูขุมขนเกิดความผิดปรกติ จะเกิดเป็นสิวเสี้ยน มีลักษณะคล้ายกับสิวหัวดำ และอาจะมีขนเล็กแทรกอยู่ สังเกตเห็นได้ตามจุดำเล็กๆ บนใบหน้า มีความแหลมของหัวสิว เกิดมากบริเวณ ปลายจมูก หน้าผาก ข้างแก้ม หรือแม้แต่บริเวณคอ และหลัง สรุปง่ายๆ คือมันสามารถเกิดได้ทุกที่ ลองมาดูวิธีรักษาสิวและจุดด่างดำ รวมถึงวิธีกำจัดสิวเสี้ยน ปราบให้สิ้นซาก พร้อมสูตรลอกสิวเสี้ยน ที่กระชากถึงต้นตอ

1. ดูแลตัวเอง

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

การดูแลตัวเองพูดแล้วมันจะกว้างมากเกินไป เพราะฉะนั้นเราจะมาเฉพาะเจาะจงกัน นั้นคือการรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ หากว่าหน้ามันระหว่างวันเราสามารถใช้กระดาษซับมันได้ หรือล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าก็ได้ นี่ก็เป็น วิธีกำจัดสิวเสี้ยน ง่ายๆ และได้ผลดี

แต่การล้างหน้านั้นก็มีข้อจำกัดเช่นเพราะว่าการล้างหน้าบ่อยเกินไปจะยิ่งทำให้เกิดสิวผดได้ง่าย เพราะฉะนั้นล้างแค่วันละ 2 ครั้งก็พอร่วมกับการใช้เจลล้างหน้าลดการเกิดสิว ใครที่ชอบใช้ครีมบำรุงขอให้ใช้ครีมที่มีเนื้อบางเบา และไม่สารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ และเน้นทานอาหาร เช่น ผัก ผลไม้เป็นพิเศษ หรือหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน แล้วดื่มน้ำให้มากๆ อย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน

2. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยง

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

มีอะไรบ้างที่เป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดสิวเสี้ยน อย่างแรกคือหน้ามัน เพราะจะกระตุ้นให้รูขุมขนกว้าง เกิดจากอะไร เพราะว่าเราใช้ครีมที่ความมันมากเกินไป เกิดจากการกดสิว บีบสิว เช็ดหน้าแรงๆ บ่อยๆ ระวังอย่าทำ ที่สำคัญการใช้คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอางที่ถูกต้องก็เป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยลดการเกิดสิวได้เช่นกัน

3. ใช้เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

ยาที่สามารถช่วยเรื่องปัญหาของสิวเสี้ยนได้ดี ล้างหน้าให้สะอาดแล้ววันละ 2 ครั้ง เช้า และก่อนนอน โดยทาทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์จะช่วยลดไขมันที่ผิวหนัง ครั้งแรกที่ใช้หลายคนอาจจะกลัวแพ้ ควรใช้ที่ความเข้มข้นต่ำก่อนหรือขนาด 2.5% จากนั้นหากไม่แพ้ก็ค่อยปรับเพิ่มมาเป็น 5% หรือ 10% ได้

4. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภท AHA และ BHA

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

ยาชนิดนี้จะช่วยให้ไขมันสลายและสามารถเอาสิวเสี้ยนออกมาได้ง่ายมากขึ้น จากนั้นเราต้องบำรุงด้วยโทนเนอร์เพื่อกระชับรูขุมขน แต่ยาตัวนี้หายากพอสมควร บนฉลากจะเขียนว่า Salicylic acid แต่ว่าบางทีอาจจะเห็นผลช้า ใครที่อยากได้แบบรวดเร็ว แนะนำตัวนี้ เรตินอยด์

5. ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเรตินอยด์

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเรตินอยด์จะช่วยสลายไขมันได้เช่นกัน ลดการเกาะตัวของเซลล์ผิวหนัง ป้องกันการเกิดสิวเสี้ยน มีหลายแบบให้เลือกใช้ ทั้งแอลกอฮอล์เบสและวอเตอร์เบส เวลาใช้เสร็จก็อย่าลืมบำรุงด้วยโทนเนอร์ และถ้าจะให้เห็นผลไว ชัดเจน ควรใช้คู่กับมาส์กลอกสิวเสี้ยน

6. ครีมกำจัดสิวเสี้ยน

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

ในบ้านเรามีครีมประเภทนี้ขายอยู่มากมาย หาซื้อง่าย ส่วนมากจะเป็นครีมที่ลอกหน้าด้วยกรดผลไม้ ช่วยให้เซลล์ผิวหลุดลอกออกมา และรวมทั้งไขมันที่อุดตัน แต่ว่าได้ผลแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้ลดการเกิดสิวเสี้ยนได้ถาวร หากจะให้ดีใช้ควบคู่กับยาที่แนะนำจะดีที่สุด

7. ใช้เครื่องมือกดสิว

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

อันนี้ใครหลายๆ คนชอบ เพราะว่าตรงไหนที่มีสิวเสี้ยนหัวดำ เราสามารถกดให้หัวมันออกมาได้ แต่ต้องทำอย่างระมัดระวังนะ เพราะว่าอาจทำให้เกิดการอักเสบ หรือผิวหนังระคายเคืองได้

8. แผ่นลอกสิวเสี้ยน

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

มีขายเยอะมาก ใน 7-11 หรือร้านค้าชั้นนำก็ยังมีขาย พวกนี้จะเคลือบสารทำให้ติดแน่น พอนำมาแปะบริเวณใบหน้าเอาไว้สักพักแล้วดึงออกมา สิวเสี้ยนก็จะหลุดออกมาด้วย ราคาไม่แพง เห็นผลทันที

แต่ข้อเสียคือมันดึงสิวเสี้ยนออกมาได้เฉพาะที่ไขมันเกิดการละลายแล้วเท่านั้น พวกสิวเสี้ยนบางตัวมันดึงหลุดยาก และระวังเวลาใช้อย่าใช้บ่อย เพราะว่ามีสารเคมีที่อาจทำให้ผิวหน้าแพ้ได้ อย่างมากควรใช้สัก 2 สัปดาห์ 1 ครั้งก็พอ ที่สำคัญอย่าลืมบำรุงป้องกันรูขุมขนกว้างด้วย

9. มาส์กลอกสิวเสี้ยน

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

มีหลายยี่ห้อให้เลือก ที่อยากแนะนำคือ Blackhead EX Nose Clay Mask และ Clear Nose ถือว่าใช้ผลดี และราคาเบาๆ ไม่เจ็บกระเป๋าตังค์

10. สครับหน้า

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

อีกหนึ่งวิธีกำจัดสิวเสี้ยนและช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ลดการเกิดความหมองคล้ำของใบหน้า และลดการอุดตันของสิ่งสกปรกที่จะกลายเป็นปัญหาสิวตามมาได้ รวมถึงช่วยลดโอกาสในการเกิดสิวเสี้ยนหรือสิวหัวดำที่จมูกได้ ทำให้ผิวหน้าเกลี้ยงพร้อมรับสกินแคร์อื่นๆ ให้ซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อเผยผิวที่กระจ่างใส และควรเลือกสครับที่ไม่บาดผิวหน้า

11. ไข่ขาว

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

วิธีนี้ใครก็ต้องเคยใช้แน่นอน วิธีทำก็ง่ายๆ แค่เอาไข่ขาวมาทาหน้า ทาให้หมดหน้าไปเลย แล้วเอากระดาษทิชชูมาแปะ รอจนแห้งแล้วลอกออกมา จะเห็นสิวเสี้ยนหลุดออกมาด้วย หลังจากเสร็จล้างหน้าเรียบร้อยให้ทาโทนเนอร์กระชับรูขุมขนซ้ำอีกครั้ง

12. นมสด + ผงเจลาติน

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

สูตรนี้ได้มาจากบล็อกเกอร์สาวต่างประเทศที่แนะนำมาว่าใช้แล้วได้ผลจริง เพราะว่าลองใช้มาแล้ว โดยทำตามขั้นตอนดังนี้ นำนมสดกับผงเจลาตินมาคนให้เข้ากัน แล้วนำไปเวฟ 10 วินาที ห้ามทาตอนร้อนๆ เด็ดขาด จากนั้นรอให้เย็นลง พอได้ที่ให้นำมาทาบริเวณที่ต้องการจะลอกสิวเสี้ยน ทาบางๆ รอจนแห้งแล้วลอกออก คุณจะพบกับผิวหน้าสว่างใสไม่มีสิวเสี้ยน

13. สูตรน้ำมะนาว

สูตรนี้หลายคนน่าจะเคยทำ เพราะว่าน้ำมะนาว มีประโยชน์ต่อผิวมาก ช่วยลดการอักเสบ ปรับผิวหน้าไม่ให้มัน และยังมีสูตรลดสิวผดอีกด้วย แต่ในสูตรของการลอกสิวเสี้ยน ใช้น้ำมะนาวสดทาบริเวณที่มีสิวเสี้ยน เพื่อให้เกิดการละลายไขมันและเกิดอ่อนตัว หรือจะใช้คู่กับดินสอพองหรือแป้งโยคีผสมกัน แล้วทาทิ้งเอาไว้ทั้งก็ได้เช่นกัน

สูตรนี้หลายคนที่ใช้ครั้งแรกอาจจะแสบๆ หน่อยๆ แต่ใครที่แสบมาให้เจือจางน้ำมะนาวโดยการผสมกับน้ำก่อนก็ได้เช่นกัน แล้วค่อยปรับให้เข้มข้นมากขึ้นเมื่อผิวของเราเข้าที่จนรู้สึกชินแล้ว และอย่าทิ้งไว้นานจนผิวระคายเคือง

14. เครื่องดูดสิวเสี้ยน

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

มีทั้งแบบมือถือซื้อมาทำเองหรือแบบเครื่องใหญ่ที่ใช้กันตามคลินิกทั่วไปที่จะต้องใช้โอโซนร้อนเพื่อเปิดรูขุมขนก่อนและลดการอุดตัน แล้วตามด้วยเครื่องดูดสุญญากาศ ดูดเอาสิ่งที่อุดตันออกมา ราคาต่อครั้งทำที่คลินิกเดี๋ยวนี้ก็ไม่แพงครับ ประมาณหลักร้อยเท่านั้น

ส่วนเครื่องดูดสิวเสี้ยนแบบทำเอง ส่วนใหญ่ก็เป็นเครื่องเล็กๆ กะทัดรัด เป็นเครื่องดูดสุญญากาศเช่น ความแรงก็ใช้ได้เลย โดยวิธีทำก็แค่ทำความสะอาดหน้า แล้วใช้เครื่องดูดตามคำแนะนำได้เลย

15. ใช้เครื่องไอพีแอล

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

เจ้าเครื่องไอพีแอล คือเครื่องดูดสิวเสี้ยนใช้การส่งพลังงานแสงลงไป กำจัดได้ลึกถึงราก ป้องกันการเกิดเซลล์ขนใหม่ วิธีนี้ดีมาก มีผลข้างเคียงน้อย แต่อาจจะต้องทำบ่อย และมีค่าใช้จ่ายพอประมาณ ใครที่ต้องการทำด้วยวิธีนี้ต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

16. เลเซอร์สิวเสี้ยน

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

อีกหนึ่งวิธีสำหรับคนที่มีงบ และอยากได้ผลที่รวดเร็ว แน่นอนว่าการเลเซอร์สิวเสี้ยนสามารถกำจัดได้มากกว่าร้อยละ 50% เมื่อทำไปหลายๆ ครั้ง สิวเสี้ยนจะหายไปอย่างหมดจด แต่ว่าอาจทำให้เกิดรูขุมขนที่กว้างมากขึ้น และมีรอยแดงๆ แต่ไม่ต้องกังวลเพราะว่ามันจะหายไปใน 2-3 วัน

มีหลายวิธีในการกำจัดสิวเสี้ยนบนใบหน้า ซึ่งการจะเลือกใช้วิธีไหนในการกำจัดก็ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของคุณด้วย และสิ่งที่จะช่วยให้การกำจัดสิวเสี้ยนได้ผลดี อย่าลืมเริ่มต้นด้วยการทำความสะอาดใบหน้าอย่างอ่อนโยน ขัดผิวบ้างเพื่อกำจัดสิ่งที่อุดตันหรือน้ำมันส่วนเกิน 

หลังการใช้ยารักษาสิวเฉพาะที่ต่างๆ ก็อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงใดๆ ที่สำคัญอย่าลืมบำรุงผิวหลังกำจัดสิวเสี้ยนเพื่อช่วยปลอบประโลมและปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


อ้างอิง

5 Ways To Get Rid Of Them : https://www.mindbodygreen.com/articles/sebaceous-filaments

10 ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี ตัวช่วยกำจัดสิวบนใบหน้าที่คนเป็นสิวต้องอ่าน

10 ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี ตัวช่วยกำจัดสิวบนใบหน้าที่คนเป็นสิวต้องอ่าน

10 ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี ตัวช่วยกำจัดสิวบนใบหน้าที่คนเป็นสิวต้องอ่าน ปัญหาใหญ่ของคนเราก็คือสิว ซึ่งใครที่เป็นคนที่เกลียดกลัวสิวอยู่เป็นทุนเดิมแล้วละก็ อาจจะคิดว่าสิวเป็นปัญหาระดับมวลมนุษย์ชาติเลยก็ว่าได้

ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง ทำให้หลายบริษัทได้สร้างผลิตภัณฑ์ออกมาตอบสนองความต้องการของทุกคนกันอย่างล้นหลาม จนบางทีก็มีเยอะจนเลือกไม่ถูก และวันนี้เราก็จะมาแนะนำ 10 แบรนด์ของ ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี ที่ว่ากันว่าใช้แล้วดีและเหมาะกับคนเป็นสิวที่สุด ไปดูกันได้เลย!

1. LA ROCHE-POSAY EFFACLAR DUO PLUS

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

เป็นครีมบำรุงผิวหน้าที่เหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่เป็นสิวโดยเฉพาะ เพราะได้มีหลายคนที่ใช้แล้วออกมารับรองและการันตีเลยว่าผิวหน้าดีขึ้น สิวลดน้อยลง แถมยังช่วยลดรอยที่เกิดจากสิวได้อีกด้วย ซึ่งถ้าทาทิ้งไว้ตอนกลางคืน ตื่นขึ้นมาจะพบได้เลยว่าสิวมันยุบไปเยอะ แต่ในส่วนของราคาก็แพงตามประสิทธิภาพการใช้การ ราคาสูงหน่อยหลักพันต้นๆ แต่ก็ไม่น่าเสียดายเพราะใช้ดีจริงๆ

2. ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี SMOOTH E CREAM

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

ครีมบำรุงผิวหน้าสมูทอีครีม ถือเป็นของประจำตัวติดกระเป๋าคนเป็นสิวแน่นอน เพราะว่าการใช้งานมันดีจริงๆ ซึ่งแค่ตัวเดียวก็สามารถจัดการทั้งเรื่องสิวเสี้ยนและรอยดำรอยแดงจากสิวได้อีกด้วย และคนที่เป็นสิวเมื่อได้ใช้แล้วก็ต้องใช้ต่อไปทิ้งไม่ลงทีเดียว เพราะใบหน้าที่เต็มไปด้วยสิวจะค่อยๆ หายไปจนไม่มีเลย และที่สำคัญราคาก็ยังไม่แพงมากสามารถจับต้องได้ ราคาอยู่ที่ 100-500 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดและปริมาณ

3. PHYSIOGEL CREAM

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

สำหรับคนที่มีปัญหาทั้งเรื่องสิวและเรื่องหน้าแห้ง ลอกเป็นขุยง่าย บอกเลยว่าต้องบำรุงด้วยครีมตัวนี้ เพราะครีมตัวนี้มีความสามารถในการที่ทำให้หน้านุ่มและชุ่มชื่นขึ้น แถมยังช่วยลดปัญหาการอักเสบของสิว และช่วยลดรอยดำจากสิวได้ด้วย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอีกตัวที่คนเป็นสิวไม่ควรพลาดเลย และราคาก็อยู่ที่ประมาณ 500 บาท ก็เป็นราคาที่ไม่ถูกและไม่แพงจนเกินไป จับต้องได้

4. ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี DR.SOMCHAI ACNE REPAIR CREAM

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

ครีมลดสิวแบรนด์ไทยที่ช่วยการลดสิวเสี้ยนได้เป็นอย่างดี ซึ่งใครที่กำลังตามหาครีมบำรุงผิวที่จะช่วยลดรอยสิวไปในตัว และครีมที่ช่วยบำรุงรักษาผิวให้ขาวเนียนและชุ่มชื่นขึ้นไปในตัว ห้ามมองข้ามตัวนี้ไป เพราะถึงแม้จะหลอดเล็กแต่ประสิทธิภาพการทำงานเรียกว่าทำได้ดีมากๆ เพราะสามารถรักษารอยสิวได้เร็ว ใช้แล้วรับรองว่าชอบแน่ๆ ส่วนราคาก็อยู่ที่ประมาณ 100-200 แพงไปหน่อยเพราะหลอดเล็ก แต่รับรองว่าปังแน่นอน

5. YVES ROCHER PURE SYSTEM STOP ACNE LOTION

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

สำหรับครีมทาผิวตัวนี้ ถือเป็นครีมบำรุงผิวที่มีการทำงานได้ดีมากๆตัวหนึ่ง ซึ่งเหมาะมากๆสำหรับคนเป็นสิว เพราะเมื่อใช้แล้วใบหน้าที่มันจะค่อยๆ มันน้อยลง เนื่องจากครีมตัวนี้สามารถควบคุมความมันบนใบหน้าได้นาน และที่สำคัญเนื้อครีมตัวนี้จะอยู่ในรูปของเนื้อเจล ทำให้เวลาทาแล้วไม่หนัก ไม่เหนียว และไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน แถมยังช่วยในการลดการเกิดสิวใหม่ได้ดีมากๆ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในครีมสำหรับผู้มีผิวมันที่ตอบโจทย์มากๆ ราคาก็อยู่ที่ประมาณ 400 บาท

6. ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี PAPULEX OIL-FREE CREAM

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

อยากจะบอกว่าครีมบำรุงผิวหน้าตัวนี้เป็นสูตรที่ไม่มีน้ำมันและน้ำหอมปนอยู่เลย เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญหาหน้ามันง่ายและปัญหาสิวเสี้ยน รวมไปถึงปัญหาผิวแพ้ง่าย ถ้าใช้ตัวนี้จะถือว่าดีมาก เพราะสิวเสี้ยนที่เป็นอยู่จะค่อยหายไป และยังช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่อีกด้วย แถมครีมตัวนี้ยังสามารถช่วยความมันของหน้าได้อีกด้วย ราคาครีมตัวนี้อยู่ที่ประมาณ 1,200 บาท ซึ่งก็ถือว่าราสูงอยู่เหมือนกัน แต่ก็เป็นครีมที่ดีมากๆ อันหนึ่งเลยล่ะ

7. EUCERIN DERMO PURIFYER HYDRATING CARE

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

ใครที่มีผิวแพ้ง่าย แพ้อะไรนิดหน่อยก็เป็นสิวแล้ว ถ้าหากได้ลองครีมบำรุงผิวตัวนี้แล้วจะต้องติดใจและถูกใจอย่างแน่นอน เพราะเป็นครีมทาผิวที่เป็นไม่มีน้ำมันและไม่มีน้ำหอม ทำให้เวลาใช้แล้วคนผิวบางจึงไม่รู้สึกคันหรือระคายเคืองอะไร แถมยังสามารถจัดการในส่วนของเรื่องปัญหาหน้ามันและปัญหาสิวได้แบบอยู่หมัด ทั้งยังช่วยให้เวลาแต่งหน้า สามารถอยู่ทนได้อีกด้วย ราคาอยู่ที่ประมาณ 900 บาท แพงไปนิด แต่ก็ผลลัพธ์เกินคาด

8. ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี Puricas Anti Acne Gel

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

ตัวนี้เด็ดมาก เพราะช่วยดูแลปัญหาสิวและการอักเสบที่อาจเกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรีย ช่วยรักษาสิวที่ต้นเหตุ โดยลดการหลั่งน้ำมันใต้ชั้นผิว ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และขจัดสิ่งอุดตันในรูขุมขน สามารถตอบโจทย์และดูแลปัญหาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเจลแต้มสิวมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ ดูดหัวสิว ทำให้หัวสิวแห้งและสะกิดออกได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ยังมีความอ่อนโยนเหมาะกับผิวแพ้ง่าย เพราะปราศจากน้ำหอม พาราเบน และสารสเตียรอยด์อีกด้วย

9. Lion Pair Acne Cream W

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

ครีมแต้มสิวตัวฮิตจากญี่ปุ่น ช่วยขจัดสารพิษจากผิวอย่างมีประสิทธิภาพ ลดอาการคัน สิว ผดผื่น และอาการอักเสบบวมแดงของผิว คืนความชุ่มชื่นสู่ผิว ครีมแต้มสิวช่วยแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวอักเสบสิวอุดตัน ทำหน้าที่สลายเชื้อโรคและฆ่าเชื้อสิวบนใบหน้าให้หมดไปด้วยส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ ทำให้สิวยุบเร็วขึ้นและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นหลังสิวหาย ทั้งยังลดอัตราการเกิดสิวอย่างได้ผล เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อผู้มีปัญหาสิวอย่างแท้จริง

10. ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี Benzac AC

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

ใครที่มีปัญหาสิวอุดตัน สิวหัวแดง หรือสิวอักเสบบ่อยๆ ต้องรู้จัก Benzac เพราะช่วยในเรื่องลดการอักเสบของสิว และยังช่วยลดความมันส่วนเกินบนผิวหน้าได้อีกด้วย โดยใช้แต้มหัวสิวทิ้งไว้ก่อนล้างหน้าสัก 15-20 นาที สามารถใช้ควบคู่กับเจลล้างหน้าลดสิวได้ แต่สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มใช้แนะนำให้ใช้ 2.5% หรือ 5% ก่อน แต่ตัวนี้อาจจะไม่เหมาะกับคนผิวแห้ง ที่สำคัญใช้แล้วอย่าลืมทาบำรุงหน้าด้วยเพื่อป้องกันหน้าลอกและการระคายเคือง

นี่ก็เป็น 10 แบรนด์ของ ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี ที่นำมาฝากกัน เพราะถ้าพูดถึงเรื่องสิว เชื่อว่าหลายคนคงไม่ชอบ และคงไม่อยากให้เกิดขึ้นบนใบหน้าของตัวเองกันหรอก ซึ่งสิวนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ และเมื่อเป็นสิวแล้วจึงพยายามหาวิธีทำให้สิวหายเร็วที่สุด ดังนั้น ตัวช่วยยอดฮิตอย่าง ครีมรักษาสิว ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยลดสิวให้หายไป


หน้าเป็นสิวใช้ครีมอะไรดี ถ้าเป็นสิว ควรใช้ครีมทาหน้าชนิดไหนดีที่สุด

หน้าเป็นสิวใช้ครีมอะไรดี ถ้าเป็นสิว ควรใช้ครีมทาหน้าชนิดไหนดีที่สุด

หน้าเป็นสิวใช้ครีมอะไรดี ถ้าเป็นสิวควรใช้ครีมทาหน้าชนิดไหนดีที่สุด ผลิตภัณฑ์ทาหน้าและครีมบำรุงผิวหรือครีมหน้าขาวในปัจจุบันมีวางขายให้เลือกกันเยอะจริงๆ เพราะมีมากมายหลากหลายยี่ห้อ แถมมีให้เลือกหลากหลายราคา

ที่เห็นได้ชัดเจนมากๆ ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ชวนทำให้ใครหลายคนสงสัยก็คือในส่วนของความแตกต่างของเนื้อครีม ที่เราเห็นหลักๆ ในท้องตลาดก็จะมีเนื้อผลิตภัณฑ์แบบครีม แบบโลชั่น แบบเจล แบบเซรั่ม และวันนี้เราจะไปดูกันว่าทั้งหมดนั้นมีหน้าที่อะไร และคนที่เป็นสิวควรใช้ครีมแบบไหน

1. ครีมทาผิวเนื้อครีม (CREAM)

ครีมทาผิวแบบเนื้อครีม เป็นครีมที่มีการผสมน้ำกับน้ำมันเข้าไว้ด้วยกัน โดยส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของน้ำมันในปริมาณที่มากกว่า จึงทำให้เนื้อครีมค่อนข้างจะข้น หนืด แน่น และหนักกว่าเนื้อแบบอื่นๆ ซึ่งทำให้การทำงานในการซึมเข้าผิวจะช้ากว่าแบบตัวอื่น อาจจะพูดได้ว่าช้าที่สุดเลยก็ได้ ส่วนใหญ่เนื้อครีมนี้จะเคลือบติดอยู่บริเวณผิวหนังชั้นบนมากกว่า

ซึ่งเนื้อครีมเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวคนได้ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะการที่มันผสมน้ำมันเข้าไปเยอะนั่นแหละ แต่ก็ด้วยความที่มีน้ำมันนี่เองที่อาจทำให้ผิวหน้าเราเกิดความมัน และการอุดตันของน้ำมันได้ง่ายขึ้น และอาจเป็นที่มาของการเกิดสิวอุดตัน เนื้อครีมจึงเป็นสิ่งที่คนเป็นสิวควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด โดยเฉพาะคนที่มีผิวมันมากๆ

2. ครีมทาผิวเนื้อโลชั่น (LOTION)

ครีมทาผิวเนื้อโลชั่นเป็นครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันและน้ำเข้าด้วยกันเหมือนแบบเนื้อครีม แต่ส่วนผสมส่วนใหญ่จะมีปริมาณน้ำมากกว่า จุดเด่นของเนื้อโลชั่นคือ มีความสามารถที่ซึมเข้าผิวได้ดีกว่าแบบครีมมากๆ ทาแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนแบบครีม 

ทำให้เหมาะกับคนที่มีผิวมัน โดยโลชั่นที่ใส่สารบำรุงผิวเยอะก็อยู่ในรูปของโลชั่นทาหน้า แต่ถ้าใส่สารบำรุงผิวน้อยก็จะอยู่ในรูปของโลชั่นทาผิวทั่วไป ซึ่งในท้องตลาดมีครีมทาผิวเนื้อโลชั่นวางขายอยู่เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่เป็นโลชั่นด้วย นั่นแสดงว่าเนื้อโลชั่นเป็นเนื้อที่เหมาะกับคนเป็นสิวและหน้ามัน

3. ครีมทาผิวเนื้อเจล (GEL)

ครีมทาผิวเนื้อเจลเป็นครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันในปริมาณที่น้อยมากหรือไม่ก็ไม่มีเลย โดยกระบวนการผลิตเนื้อเจลจะใส่สารที่ทำให้เกิดเนื้อเจล จากนั้นก็ผสมรวมกับสารอื่นๆทุกอย่าง ข้อดีของครีมทาผิวแบบเนื้อเจล คือ สามารถซึมเข้าผิวได้เร็วมาก ไม่แสดงอาการอุดตัน และทาแล้วไม่ทำให้หน้ามันเลย

นั่นแสดงว่าครีมทาผิวแบบเนื้อเจล จัดว่าเป็นครีมทาผิวที่เหมาะกับคนเป็นสิวมากที่สุด ซึ่งเห็นได้ว่ามีผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายตัวในท้องตลาดนิยมทำออกมาในรูปของเจล และแน่นอนครีมทาผิวแบบเนื้อเจลจะไม่เหมาะกับคนที่มีผิวแห้งหรือผิวบาง เพราะครีมทาผิวแบบเนื้อเจลส่วนใหญ่จะไม่ค่อยใส่สารที่มีความชุ่มชื้นหรือใส่พวกน้ำมันเข้าไปในผลิตภัณฑ์

4. ครีมทาผิวเนื้อเซรั่ม (SERUM)

ตามความเชื่อของสาวๆ หลายคน จะบอกว่าครีมทาผิวแบบเนื้อเซรั่มนั้นเป็นสุดยอดของครีมบำรุงผิว นิยมนำมาใช้เป็นรูปแบบไนท์ครีมที่ช่วยบำรุงผิวตอนกลางคืน ซึ่งได้ทาแล้วผิวหน้าจะเรียบเนียน เปล่งปลั่ง สวยกว่าครีมทาผิวทั่วไปแน่ๆ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ความเป็นจริงแล้วครีมทาผิวเนื้อเซรั่มบางตัวนั้นไม่ได้มีกระบวนการผลิตที่แตกต่างจากครีมทั่วไปเลย เพียงแต่ครีมทาผิวแบบเนื้อเซรั่ม จะใส่สารบำรุงผิวเข้าไปในปริมาณที่มากกว่าครีมแบบอื่น และเซรั่มก็เป็นครีมชนิดที่นิยมในการรักษาสิวมากชนิดหนึ่งเลย

ทีนี้คนเป็นสิวก็คงจะรู้แล้วว่า เราควรใช้ครีมเนื้อไหนดี โดยทั้งนี้ก็แนะนำว่าไปถามหมอหรือผู้เชี่ยวชาญเลยก็ได้ เพราะผิวของคนไม่ได้มีแค่ ผิวบาง แห้ง หรือมันเพียงอย่างเดียว ยังอีกมีแบบผสมและอีกมากมายที่ครีมทาผิวอาจใช้แล้วไม่ตรงกับจุดประสงค์เลยก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณใช้ครีมทาผิวตรงกับที่บอกไป ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้สิวหายและมีใบหน้าที่เรียบเนียนได้ไม่ยากแน่นอน


10 วิธีลดหลุมสิว เคล็ดลับ ลดรอยหลุมสิวดีๆ ที่ต้องบอกต่อ!

10 วิธีลดหลุมสิว เคล็ดลับ ลดรอยหลุมสิวดีๆ ที่ต้องบอกต่อ!

“หลุมสิว” แค่ได้ยินก็ขนลุกชูชันไปทั้งตัวแล้ว ก็ใครบ้างที่อยากจะมีร่องรอยหลุมบ่ออยู่บนใบหน้า แถมยังเป็นปัญหาผิวที่รักษาได้ยากเย็นเสียเต็มประดาอีกด้วย แทนที่จะมีผิวนวลผ่องดังแสงจันทร์ ก็กลับกลายเป็นว่ามีผิวขรุขระเหมือนพื้นผิวดวงจันทร์นั่นเอง

เป็นฝ้า กระ หรือสิวอักเสบ มันก็ยังพอใช้เครื่องสำอางกลบเกลื่อนกันได้ แต่กรณีของหลุมสิวนั้นแทบจะไม่มีอะไรปกปิดเอาไว้ได้เลย ทางที่ดีจึงต้องรักษาให้หายหรือป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น

ลดหลุมสิว สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก ให้นึกถึงผิวหน้าที่เป็นหลุมบ่อเล็กๆ กระจายเต็มพื้นที่ มักพบในบริเวณที่เกิดสิวได้บ่อย คือ บริเวณจมูกและแก้ม เกิดจากผลกระทบของสิวอักเสบที่ลุกลามจนกินพื้นที่เนื้อให้ลึกลงไป และหลายๆ ครั้งก็เกิดจากพฤติกรรมอันสุ่มเสี่ยงของตัวเราเอง เมื่อไรที่มีสิวขึ้นมาก็พยายามไปบีบมันออก ด้วยความคันมือหรือรำคาญใจก็ไม่อาจรู้ได้

แต่ที่แน่ๆ คือบีบอย่างผิดวิธี จากสิวธรรมดาก็กลายเป็นสิวอักเสบ จากสิวอักเสบก็กลายเป็นการทำลายชั้นผิว สุดท้ายก็ทิ้งร่องรอยเอาไว้เต็มไปหมดดังนั้นนอกเหนือไปจากสิ่งอื่นใด จงจำไว้ว่าอย่าบีบสิวจนติดเป็นนิสัยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นสิวหัวเล็ก สิวหัวใหญ่ หรือแม้แต่สิวเสี้ยนก็ตามที แต่หากว่าหลุมสิวมันเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไป ค่อยๆ รักษาตามระดับความรุนแรงที่อาจแบ่งได้ 3 ระดับดังนี้

ICE PICK SCAR – ลดหลุมสิวแบบนี้มีลักษณะลึก ปากหลุมแคบ อาจถูกทำลายไปจนถึงชั้นหนังแท้ เป็นรูปแบบที่รักษาได้ยากที่สุด

BOX SCAR – หลุมมีลักษณะคล้ายบ่อ มีขอบที่กว้างและค่อนข้างชัดเจน แต่ก็ตื้นกว่าแบบแรกพอสมควร

ROLLING SCAR – กลุ่มนี้ยังไม่เห็นว่าเป็นหลุมเท่าไร เป็นเพียงแอ่งเว้าลงไป แต่ก็ทำให้ผิวไม่เรียบเนียนแบบที่สังเกตเห็นได้

การรักษามีทั้งแบบการใช้ยาและการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งต้องได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ ลองมาดูแนวทางในการลดรอยหลุมสิวที่ได้รับความนิยมกันบ้างดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

ใช้ผลิตภัณฑ์ลบรอยแผลเป็น

1. ใช้ผลิตภัณฑ์ลบรอยแผลเป็น

วิธีนี้ใช้ได้กับกรณีของ ROLLING SCAR เท่านั้น โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินอี AHA และ BHA เป็นหลัก เพราะองค์ประกอบสำคัญเหล่านี้มีหน้าที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง จึงสามารถเติมเต็มส่วนที่ถูกทำลายไปได้ แต่แน่นอนว่าต้องใช้เวลาค่อนข้างมากในการลดหลุมสิว หลุมสิวจะค่อยๆ ตื้นขึ้นทีละน้อย

จะเร็วหรือช้ามากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ตัวเองในส่วนอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างคอลลาเจน งดอาหารที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระจำนวนมาก ซึ่งมีผลกระทบต่อการเสริมสร้างคอลลาเจนเช่นเดียวกัน นอกจากนี้อาจใช้การสครับผิวหน้าอย่างอ่อนโยนเข้ามาช่วยอีกแรงหนึ่งได้

2. แต้มกรด TCA (TRICHLOROACETIC ACID)

สารประเภทกรดชนิดนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในวงการความสวยความงาม เราอาจได้เห็นผ่านตากันมาบ้าง ว่าช่วยแก้ปัญหาเรื่องสิว กระ ไฝ และรอยดำได้ด้วย กรด TCA มีคุณสมบัติในกัดกร่อน ลอกชั้นเซลล์ผิวหนังออก และเร่งผิวใหม่ให้เกิดการแบ่งตัวได้เร็วขึ้น ผิวจึงค่อยๆ เรียบเนียนขึ้นได้ แต่จะต้องศึกษาค่าความเข้มข้นที่เหมาะสมและวิธีการใช้อย่างถี่ถ้วน

เพราะถ้าผิดพลาดไปจะกลายเป็นทำร้ายผิวให้ยิ่งแย่ลงกว่าเดิม ผลข้างเคียงของการใช้กรด TCA ก็คืออาจเกิดรอยไหม้และสะเก็ดสีเข้มบนผิวได้ แล้วก็เป็นวิธีที่ไม่ควรทำบ่อยๆ หรือทำติดๆ กันทั่วใบหน้า เพราะอาจทำให้ผิวฟื้นตัวไม่ทัน

3. ลอกผิวด้วยกรดผลไม้

กรดผลไม้ที่เราคุ้นหูกันดีจะมีอยู่ 2 ตัวด้วยกัน คือ AHA และ BHA ทั้งสองมีความเหมือนและความต่างกันเล็กน้อย โดยมีสรรพคุณโดดเด่นในการเร่งผลัดเซลล์ผิวเหมือนกัน ผิวชั้นนอกสุดจึงหลุดออกและเริ่มทำการซ่อมแซมใหม่ ซึ่งอาจทำให้เกิดความระคายเคืองในผิวบอบบาง หรือเกิดอาการผิวแห้งขาดน้ำได้ ส่วนที่ต่างก็คือ AHA เป็นกรดผลไม้ที่สกัดจากธรรมชาติ สามารถละลายได้ในน้ำ ผ่านเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังได้น้อย

ในขณะที่ BHA เป็นกรดที่สังเคราะห์ขึ้นมา ละลายได้ในไขมัน และผ่านเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังได้ลึกกว่า จะเลือกใช้ตัวไหนลดหลุมสิวก็ตามความสะดวก วิธีนี้จะค่อยๆ ทำให้หลุมสิวเติมเต็มขึ้นเรื่อยๆ

4. ทากรดวิตามินเอ (RETINOIC ACID)

นี่ก็เป็นอีกตัวที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสารสารพัดประโยชน์ต่อผิวหน้า รักษาได้หมดตั้งแต่ฝ้า กระ สิว รอยด่างดำ และแก้ปัญหาผิวไม่เรียบเนียน กรดวิตามินเอตัวนี้ไม่ใช่ตัวเดียวกันกับวิตามินเออย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นอนุพันธ์ที่ถูกสกัดมาจากวิตามินเออีกที เหมาะกับการรักษาที่ไม่ได้รีบร้อนมากนัก และไม่ต้องการให้เกิดสะเก็ดแผลที่ต้องมาดูแลเพิ่มเติมอีกในภายหลัง

กรดวิตามินเอสามารถใช้ได้บ่อยกว่ากรด TCA โดยปริมาณที่เหมาะสมอยู่ที่อาทิตย์ละ 2 ครั้ง

5. ทายาที่อยู่ในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ

ยาลดหลุมสิวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Retin A เพราะเป็นยาตัวแรกๆ ที่ผลิตขึ้นมาสำหรับใช้ลดสิวอุดตัน ต่อมาก็แตกแขนงออกมาเป็นใช้ลดริ้วรอย ลดความมัน เป็นต้น Retin A จะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ริ้วรอยต่างๆ จึงตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สิ่งสำคัญคือไม่ควรใช้ยาตัวนี้ร่วมกับยารักษาสิวตัวอื่นๆ และควรทาแค่บางๆ เท่านั้น ไม่งั้นจะกลายเป็นว่าทำให้หน้าเกิดความระคายเคืองได้

ทายาหลุมสิวที่อยู่ในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ

6. ฉีดฟิลเลอร์

ตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าหลุมสิวบางประเภทนั้นรักษาได้ยากมาก และไม่อาจแก้ปัญหาได้ด้วยการทายาเพียงอย่างเดียว ต้องพึ่งพานวัตกรรมทางการแพทย์ร่วมด้วยจึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ ใช้ได้กับระดับ BOX SCAR และ ROLLING SCAR ส่วนใหญ่จะใช้สารเติมเต็มเป็นไฮยาลูรอนิกเอซิด (Hyaluronic Acid) เนื่องจากระคายเคืองและเกิดอาการแพ้ได้น้อยการคอลลาเจนหลายเท่า

ข้อดีคือฉีดแล้วเห็นผลทันทีว่าหลุมเล็กใหญ่บนใบหน้านั้นหายไป อย่างไรก็ตามการฉีดแต่ละครั้งจะคงสภาพไว้ได้ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปีเท่านั้น เป็นการแก้ปัญหาแบบชั่วคราวไม่ใช่ถาวร หากชอบการรักษาแบบนี้ก็แค่กลับมาเติมเพิ่มอีกเมื่อครบกำหนด

7. กรอผิวด้วยอัญมณี

นี่คือการลดหลุมสิว ด้วยการกรอผิวหนังในส่วนของหนังกำพร้าออกไปบางส่วน ซึ่งมีความบางมาก ยังไม่ถึงชั้นผิวที่ทำให้เกิดรอยแผลได้ ไม่เหมือนกับการกรอผิวด้วยเลเซอร์ทั่วไปที่จะต้องดูแลรอยแผลอยู่ระยะหนึ่งหลังการทำ การรักษาด้วยวิธีนี้จึงไม่ยุ่งยากในเรื่องของการดูแล สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติในทันที

ข้อดีคือผิวดูเรียบเนียน หลุมต่างๆ ดูตื้นขึ้น แถมยังมีผลพลอยได้เป็นการช่วยลดรอยด่างดำต่างๆ ด้วย การกรอผิวด้วยอัญมณีนี้เหมาะกับหลุมสิวประเภท BOX SCAR และ ROLLING SCAR

8. การทำ SKIN NEEDING

วิธีนี้อาจไม่ค่อยคุ้นหูมากนัก แต่เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการรักษาความไม่เรียบเนียนของใบหน้า และลดเลือนริ้วรอยต่างๆ โดยเฉพาะ ลักษณะของการทำ Skin Needing คือการใช้อุปกรณ์ที่เป็นเข็มขนาดเล็กมากและมีค่าความยาวที่เหมาะสม บรรจุตัวยาที่ทำหน้าที่กระตุ้นการฟื้นฟูชั้นผิว ฉีดเข้าไปตามจุดต่างๆ ทั่วใบหน้า แล้วลงเซรั่มวิตามินเป็นการปิดท้าย

ความพิเศษของการรักษาแบบนี้ก็คือเร่งให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็ว และไม่ทำให้ผิวชั้นนอกเกิดการลอกออก จึงไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เลย แต่ต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำบริเวณที่ทำการรักษาประมาณ 24 ชั่วโมง พร้อมหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงสัปดาห์แรกด้วย

9. ศัลยกรรมผ่าตัด

สำหรับหลุมสิวประเภท ICE PICK SCAR นั้น ลดหลุมสิวได้ยากมาก เกือบทั้งหมดเหมาะกับการรักษาด้วยการศัลยกรรม เพราะชั้นผิวถูกทำลายลึกมาก ต่อให้ใช้เลเซอร์หรือการกรอผิวก็ไม่ค่อยช่วยให้เห็นความแตกต่างมากเท่าไร จึงต้องจัดการด้วยวิธีนี้ และไม่ใช่แค่

ICE PICK SCAR เท่านั้น หากเป็นประเภทอื่นที่รักษามาทุกรูปแบบแล้วยังไม่หาย ก็ต้องมาจบที่การศัลยกรรมเช่นเดียวกัน โดยที่การศัลยกรรมลักษณะนี้ยังแบ่งออกได้อีก 4 วิธี ได้แก่

  • Punch excision เป็นการผ่าตัดเอาส่วนของรอยร่องหลุมออก ก่อนเย็บแผลให้ติดกัน
  • Punch elevation เป็นการผ่าตัดโดยตกเนื้อบริเวณก้นหลุม หรือบริเวณที่ต่ำกว่าให้ขึ้นมาสูงเทียบเท่ากับบริเวณใกล้เคียง
  • Punch grafting เป็นการนำเนื้อส่วนอื่นมาเติมเต็มหลุม แล้วเย็บปิดเพื่อให้เนื้อเยื่อเจริญเติบโตได้เต็มที่
  • Elliptical excision เป็นการกรีดร่องหลุมให้เป็นวงรี ก่อนเย็บปิดแผลให้แนบสนิท

ผลข้างเคียงเป็นเรื่องของรอยแผลเป็นขนาดเล็ก แต่ก็สามารถที่จะหายได้เองโดยไม่ต้องรักษาอะไรเพิ่มเติม

10. การทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว

ปิดท้ายด้วยวิธีที่ได้รับความนิยมสูงมากที่สุด เนื่องด้วยไม่เจ็บตัวและหาสถานบริการที่เชี่ยวชาญทำได้ง่าย ส่วนผลลัพธ์นั้นก็ไม่เลวทีเดียว เลเซอร์ที่ใช้เพื่อรักษาหลุมสิวมีหลายประเภท เช่น เลเซอร์ Yag เลเซอร์ Fraxel เลเซอร์ Fractional CO2 เป็นต้น ในรายละเอียดแล้ว แต่ละตัวก็จะมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าใครชื่นชอบแบบไหน อย่างไรก็ตามแกนหลักของการรักษาด้วยเลเซอร์ก็คือการกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ของเดิมนั่นเอง

จะเห็นได้ว่าการรักษา หรือการลดหลุมสิวนั้นยุ่งยากกว่าการป้องกันหลายเท่านัก และการป้องกันก็ไม่ได้ยากเกินไปด้วย ดังนั้นหากอยากมีใบหน้าเรียบเนียน ห่างไกลจากร่องริ้วรอยและหลุมบ่ออันขรุขระต่างๆ ก็ต้องใส่ใจดูแลผิวอย่างถูกต้องเหมาะสมอยู่เสมอ


อ้างอิง

Using Creams for Acne Treatment : https://www.verywellhealth.com/acne-creams-creams-for-acne-2633109

การรักษาหลุมสิว. https://www.mccormickhospital.com/web/articles/blogs/การรักษาหลุมสิว

เครื่องสำอางแบรนด์ไทย ที่คุณภาพดี ใครใช้ก็ต้องชอบ

เครื่องสำอางแบรนด์ไทย ที่คุณภาพดี ใครใช้ก็ต้องชอบ

เครื่องสำอางแบรนด์ไทย ที่คุณภาพดี ใครใช้ก็ต้องชอบ ใครจะเชื่อว่าคนไทยก็สามารถสร้างแบรนด์เครื่องสำอางได้เหมือนกัน แถมยังมีคุณภาพเทียบเท่าระดับสากลได้ด้วย แต่ที่ของคนไทยไม่เป็นที่นิยมเท่าไรนักก็อาจจะเป็นเพราะเราไม่ค่อยสนับสนุนคนไทยด้วยกันเอง หรืออาจะยังไม่รู้จักแบรนด์เหล่านี้ ดังนั้นวันนี้เราจึงมี 10 เครื่องสำอางแบรนด์ไทย ที่ใครใช้ก็ต้องชอบ มาให้ทุกคนได้อ่าน และให้ลองตัดสินใจกันดูว่า แบรนด์ไทย สุดยอดจริงหรือเปล่า

1. เจ้านาง เครื่องสำอางแบรนด์ไทย

เครื่องสำอางแบรนด์ไทย

นี่เป็นเครื่องสำอางที่มาแรงที่สุดในปีเลยล่ะ โดยมีจุดเด่นที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ ความเป็นไทยที่แสดงออกมาได้ชัดเจน และโลโก้หญิงไทยสีทอง ที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์ได้ดีมาก โดยแบรนด์นี้เป็นที่รู้จักกันในกลุ่มสาวๆ ที่ชอบรีวิวเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ถูกอกถูกใจก็คือ แป้งเจ้านาง ซึ่งเป็นแป้งที่มีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์สาวไทยได้ดีมาก โดยจะเน้นไปที่การปกปิดผิว ช่วยอำพรางริ้วรอยจุดด่างดำต่างๆ และยังมีคุณสมบัติที่ช่วยในการกันน้ำกันเหงื่อได้ดีมากๆ และแป้งเจ้านางตัวนี้ยังมีคุณสมบัติที่สามารถกันแดดได้ถึงมากถึง 20 เท่าอีกด้วย

2. ศรีจันทร์

เครื่องสำอางแบรนด์ไทย

เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักแป้งฝุ่นที่เหมาะสำหรับสาวผิวหน้ามันอย่าง ศรีจันทร์ บ้าง ซึ่งในสมัยก่อนก็มีผงหอมศรีจันทร์ที่เป็นที่นิยมมากๆ ตั้งแต่สมัยคุณย่า และสำหรับแป้งฝุ่นของศรีจันทร์ตัวใหม่นี้ เป็นการคิดค้นและปรับปรุงพัฒนาสูตรขึ้นมาใหม่ เพื่อที่จะตอบโจทย์สาวไทยทั้งหลายที่มีปัญหา รวมถึงแบรนด์เครื่องสำอางในเครืออย่าง Sasi (ศศิ) ที่มีผลิตภัณฑ์แต่งหน้ามากมายให้เลือกด้วย

3. Cute Press เครื่องสำอางแบรนด์ไทย

เครื่องสำอางแบรนด์ไทย

เครื่องสำอางและสกินแคร์แบรนด์ไทย แต่คุณภาพเกินเบอร์ ด้วยประสบการณ์กว่า 37 ปี และเข้าใจความต้องการของผู้หญิงอย่างแท้จริง คิวท์เพรสจึงได้พัฒนาสินค้ามากกว่า 500 ชนิดให้มีคุณภาพ ซึ่งก็มีวางขายทั้ง กันแดด บรัชออน ลิปสติก น้ำหอม ครีมทาตัว รองพื้นใช้ดี ปกปิดได้ดีเยี่ยม และสารพัดไอเทมความงามที่สาวๆ ต้องมี แถมยังมีคอลเลกชั่นน่ารักกุ๊กกิ๊กใหม่ๆ ออกมาเอาใจวัยรุ่นเรื่อยๆ และถ้าพูดถึงเครื่องสำอางรุ่นดังของแบรนด์นี้ คงหนีไม่พ้นแป้งพัฟคุมมันที่ปกปิดดีเยี่ยมแบบเนียนกริบ แถมราคาสบายกระเป๋าด้วย

4. Mistine

เครื่องสำอางแบรนด์ไทย

จะขาดแบรนด์นี้ได้อย่างไร Mistine แบรนด์ความงามที่อยู่คู่กับสาวไทยมาอย่างยาวนานตั้งแต่รุ่นคุณแม่ รวบรวมเครื่องสำอางทุกประเภทสินค้า และขึ้นชื่อว่าเป็นแบรนด์ที่มีอายไลเนอร์คุณภาพดีและติดทนนาน เนรมิตให้ผู้หญิงทุกคนสวยสมบูรณ์แบบด้วยคุณภาพสินค้ามาตรฐานสากล ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้นที่พิสูจน์แล้วว่า มิสทินเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ แต่แบรนด์นี้ยังก้าวไกลสู่ตลาดต่างประเทศด้วย มีสินค้าหลากหลายนับพันรายการ ตอบสนองความต้องการของทุกคนในครอบครัวด้วย

5. KMA Cosmetics

เครื่องสำอางแบรนด์ไทย

KMA แบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำของไทย ที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 20 ปี เครื่องสำอางที่จุดประกายความมั่นใจให้กับสาวๆ และคิดค้นผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาให้เหมาะกับสภาพสีผิวของสาวไทย มีคุณภาพและได้รับมาตรฐานดีงามสุดๆ และยังขยายฐานลูกค้าเพิ่มไปสู่กลุ่มวัยรุ่น และสาววัยทำงาน เพิ่มพื้นที่การวางจำหน่ายให้ครอบคลุมทุกช่องทาง ทั้ง Cosmetics Shop และเคาน์เตอร์แบรนด์ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ หาซื้อได้ง่ายและสะดวกมากๆ

6. 4U2

เครื่องสำอางแบรนด์ไทย

4U2 แบรนด์สีสันที่สดใสและสไตล์ที่ดูทันสมัย เครื่องสำอางคุณภาพเยี่ยมในราคาที่ไม่แพง ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความงามที่คนไทยต้องการได้อย่างตรงจุด สวยได้ทุกวัยและทุกวัน และยังออกสินค้าใหม่มาให้สาวๆ ต้องเสียทรัพย์กันตลอด เป็นเครื่องสำอางแบรนด์ไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างมากเพราะเรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ลิปสติกติดทนที่ครองใจสาวๆ ได้มากมายและยังมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลาย แถมคุณภาพดีอีกด้วย

7. NARIO LLARIAS

เครื่องสำอางแบรนด์ไทย

มากับแบรนด์น้องใหม่กันบ้าง Nario Llarias อ่านว่า นาริโอะ ลาเรียส ฟังชื่อแล้วอาจจะเป็นแบรนด์จากญี่ปุ่นหรือจากฝรั่งเศส แต่ไม่ใช่นี่คือสินค้าแบรนด์ไทยที่มีความหรูหราเป็นพิเศษ ต้องการให้ทุกคน “สวย” และ “มั่นใจ” ด้วยเครื่องสำอางที่ “ปลอดภัย” ในราคาที่เหมาะสม โดยแบรนด์นี้มีผลิตภัณฑ์เมคอัพมากมาย หลากหลายชนิดให้เลือก มีทั้งลิปสติก อายชาโดว์ พาเลทตา และอีกมากมาย จึงเรียกได้ว่าแบรนด์นี้ครอบคลุมโลกเมคอัพไปเลย ผลิตภัณฑ์ก็เป็นที่ได้รับความนิยมและผลตอบรับที่ดีจากผู้ใช้จริงทั้งในและต่างประเทศ

8. SUPERMOM

เครื่องสำอางแบรนด์ไทย

ใครที่เป็นสายเมคอัพ คงไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์นี้ เพราะเป็นแบรนด์ที่ดีงาม ทั้งเมคอัพ ทั้งลิปสติก ทั้งบลัชออน ทั้งพาเลทอายแชโดว์ และอีกมากมายเต็มไปหมด โดยแบรนด์นี้จะมีสัญลักษณ์เป็นอักษรที่เขียนว่า Supermom เป็นยี่ห้อประจำ โดยเครื่องสำอางที่เป็นที่โด่งดังของ Supermom เลยก็คือ Supermom Matte Liquid Lipstick  ซึ่งเป็นลิปสติกเนื้อแมตต์ แนวจิ้มจุ่ม มีเนื้อลิปที่ดี สีชัดติดทนนาน ราคาจับต้องได้ สบายกระเป๋า แถมยังสามารถเข้ากับผิวคนไทยได้อีกด้วย

9. TER

เครื่องสำอางแบรนด์ไทย

ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องอ่านว่า เฑอ แต่ตอนนี้รู้แล้วเพราะว่าแบรนด์นี้อยากอนุรักษ์ความเป็นไทยให้ได้มากที่สุด จึงนำตัวอักษรที่ไม่ค่อยได้ใช้มาใส่ในชื่อ โดยตัวบรรจุภัณฑ์มีสัญลักษณ์เป็นตัวอักษร ภาษาอังกฤษ แต่มีลวดลายไทย มีลายกนกประดับ โดยคอนเซปต์ของเฑอก็คือ  “ผู้หญิงทุกคนมีความสวยเปล่งประกายในสไตล์ของตัวเอง” และแน่นอนว่าแบรนด์นี้ได้ครองใจสาวไทยไปเต็มๆ

10. PASSION VILLE

เครื่องสำอางแบรนด์ไทย

นี่คงจะเป็นแบรนด์ที่ใครๆ ก็น่ารู้จักกันอยู่แล้ว โดยตอนแรกของแบรนด์นี้ได้ผลิตลิปสติกออกมาที่มีมากกว่า 30 สี มีทั้งสีที่สามารถใช้ทาได้ในชีวิตประจำวันจริง และรวมถึงสีแปลกๆ อีกด้วย ซึ่งเราก็สามารถทาไปงานปาร์ตี้ได้แน่นอน เพราะสามารถติดทนที่ผิวปากได้ดี เนื้อลิปสติกดีมาก ทาแล้วไม่ทำให้ปากแห้งเกินไป ตัวแพ็กเกจเป็นแท่งสี่เหลี่ยม ราคาหลักร้อย สีสวย เนื้อดี คุณภาพเป็นเลิศ มั่นใจได้ทั้งในเรื่องคุณภาพ ราคาถูกแต่ให้ลุคสวยแพง เนื้อสีแน่น และติดทนทาน

เครื่องสำอางแบรนด์ไทย บางแบรนด์ก็มีชื่อเสียงในตลาดต่างประเทศ แถมยังขึ้นชื่อในด้านผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง และมีชื่อเสียงในการผลิตเครื่องสำอางต่างๆ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ดี รวมทั้งเครื่องสำอางแบรนด์ไทยได้ออกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและดูแลผิวที่เหมาะสำหรับสาวไทยอีกด้วย ซึ่งก็มีหลากหลายแบรนด์และหลากหลายสูตรที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของสาวๆ ทุกคน

เครื่องสำอางแบรนด์ไทยนับได้ว่ามีประสิทธิภาพในการใช้และยังราคาไม่แพง เหมาะที่จะเป็นอีกทางเลือกสำหรับสาวๆ ทุกคนที่มองหาเครื่องสำอางราคาไม่แพง แต่คุณภาพดีอีกด้วย เรียกได้ว่าเครื่องสำอางแบรนด์ไทยเราเองก็ไม่แพ้แบรนด์ดังระดับโลกเลย


อ้างอิง:

ส่อง 5 เครื่องสำอางแบรนด์ไทยใช้ดีไม่แพ้แบรนด์นอก พร้อมไอเท็มออกใหม่ล่าสุดที่ไม่ควรพลาด!‘ https://vogue.co.th/beauty/make-up-brand-thai-cosmetics

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี ? 10 แบรนด์แนะนำสำหรับสาวสุดฮอต

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี ? 10 แบรนด์แนะนำสำหรับสาวสุดฮอต

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี ? 10 แบรนด์แนะนำสำหรับสาวสุดฮอต ด้วยอากาศเมืองไทยที่เดี๋ยวฝน เดี๋ยวหนาว ซึ่งเราก็ไม่สามารถเดาสภาพอากาศได้เลยว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และแน่นอนว่าเป็นปัญหาสำหรับสาวๆ ที่ชื่นชอบกรีดอายไลเนอร์ แต่ก็อยากได้แบบกันน้ำด้วย


10 แบรนด์แนะนำสำหรับสาวสุดฮอต รับรองเขียนสวยเป๊ะปัง

วันนี้เราจึงมี 10 แบรนด์อายไลเนอร์ที่ดีที่สุดมาแนะนำ เหมาะสำหรับให้สาวฮอตๆ ได้อ่านกัน จะมีอะไรบ้างไปดูเลย

1. ETUDE HOUSE OH M’ EYE LINER

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี ? นี่เป็นอายไลเนอร์กันน้ำที่ติดอยู่ในอันดับต้นๆ แน่นอน เพราะอายไลเนอร์กันน้ำแท่งนี้ สามารถติดทนได้นานมากๆ และยังกันน้ำได้ดี โดนฝนก็ไม่มีปัญหาคราบไหลลงมา และถึงแม้ตัวนี้จะเป็นอายไลเนอร์ที่กันน้ำได้ แต่ก็สามารถล้างออกได้ง่ายเช่นกัน

2. Browit EYE LINER By Nongchat

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี

อายไลเนอร์กันน้ำยอดฮิตจากแบรนด์น้องฉัตร เมกอัพอาร์ตติสชื่อดังของประเทศไทย ไม่ได้มีดีแค่แป้งหรือดินสอเขียนคิ้ว แต่อายไลเนอร์ของแบรนด์นี้ก็ปังไม่แพ้กัน ไลเนอร์หัวปากกา หัวค่อนข้างใหญ่เล็กน้อย ส่วนอีกด้านจะเป็นอินไลเนอร์แบบหมุน มี 2 หัวในด้ามเดียว เขียนง่าย เนื้อนิ่ม แต่ยังกันเหงื่อ กันน้ำได้ทั้งวัน รับรองว่าเขียนแล้วเส้นคม ไม่หลุดไม่ลอก จัดว่าเป็นเครื่องสำอางที่ควรมีติดกระเป๋าอีกไอเท็มหนึ่งที่ทุกคนต้องปลื้มแน่นอน

3. LIFEFORD HI PRECISE EYE PEN

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี

นี่เป็นอายไลเนอร์กันน้ำที่เป็นเนื้อชนิดฟิล์ม เป็นแบบหัวเมจิก โดยจะเหมาะสำหรับสาวๆ ที่เป็นมือใหม่เพิ่งหัดเขียน โดยตัวนี้จะให้เส้นที่คม แห้งได้เร็ว แถมยังสามารถติดทนนานได้ทั้งวัน โดนน้ำก็ไม่มีหลุดลอกออกมา แถมยังยังล้างง่ายอีกด้วย

4. COSLUXE WANDERLUST EYELINER

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี

นี่เป็นอายไลเนอร์กันน้ำที่ช่างแต่งหน้าระดับเทพหลายคนนิยมใช้ เพราะนอกจากจะเขียนได้ง่ายแล้ว ยังมีเส้นที่คมสวย และสามารถกันน้ำได้ดีมากๆ อีกด้วย ท้าเลยว่าให้ฉีดน้ำหรือเหงื่อเต็มใบหน้าแค่ไหน ตัวนี้ก็เอาอยู่แน่นอน ไม่ต้องกลัวว่าตาจะเป็นแพนด้า

5. IN2IT WATERPROOF EYELINER PENS

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี

อายไลเนอร์คุณภาพดี ที่คุ้มเกินราคา โดยตัวนี้เป็นอีกตัวที่เป็นที่นิยมใช้กันมาก เพราะมีราคาไม่สูงมากนัก และที่สำคัญคือกันน้ำได้ดีสุดๆ เวลาล้างหน้า ตัวอายไลเนอร์จะลอกออกเป็นแผ่น ทำให้มั่นใจเรื่องหยดเยิ้มได้เลยว่าไม่มีแน่นอน

6. MALISSA KISS SUPER BLACK ULTRA HD

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี

มากับอายไลเนอร์กันน้ำตัวนี้ ที่มีหัวเขียนเล็กมาก โดยสามารถเขียนลายได้ง่าย มีสีดำคมเข้ม เหมาะสำหรับสาวๆ ที่เป็นมือใหม่ และแน่นอนว่าตัวนี้ถึงแม้จะโดนน้ำนานสักแค่ไหน ก็ยังติดทนนานแน่นอน

7. MISTINE SO BLACK MATTE LIQUID EYELINER

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี

นี่เป็นสุดยอดอายไลเนอร์ทนน้ำ โดยตัวนี้จะมาในรูปของของเหลวเนื้อแมตต์ ซึ่งไม่ว่าจะโดนฝน โดนน้ำกี่รอบก็เอาอยู่แน่นอน แถมยังมีที่ราคาไม่แพง และนี่ถือเป็นอีกตัวที่ควรมีติดบ้านในยามหน้าฝนไว้เลย แต่ด้วยความที่กันน้ำได้ดีก็จะไปทำให้ล้างออกยากนิดนึง

8. MAYBELLINE HYPER SHARP LINER

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี

มากับอายไลเนอร์หัวพู่กัน ที่เป็นอายไลเนอร์กันน้ำที่เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ มากที่สุด เพราะมีหัวเขียนเล็กทำให้เขียนได้ง่าย เส้นดูคมสวย โดยตัวนี้จะเป็นอายไลเนอร์ชนิดฟิล์ม ทำให้กันน้ำได้ดี เป็นไอเท็มแนะนำเครื่องสำอางกันน้ำที่คู่ควรเป็นอย่างยิ่ง และล้างออกได้ง่ายด้วย

9. Kiss Me by Isehan Heroine Make Smooth Liquid Eyeliner

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี

นี่เป็นอายไลเนอร์เจ้าหญิงในตำนาน ของดีสัญชาติญี่ปุ่น ถูกจัดอันดับเข้าสู่ อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี ? ทุกปีอย่างต่อเนื่อง หัวปากกาเส้นเล็กบางเพียง 0.1 mm. ทำให้เขียนง่ายและจับถนัดและยังมีจุดเด่นตรงที่ช่วยสร้างเส้นเรียวชัด แถมกันน้ำ กันเหงื่อตลอดวัน แม้จะราคาสูงไปหน่อยแต่ก็ใช้ดีมากๆ และยังล้างออกได้แบบสบายๆ

10. CUTE PRESS COLOR FANTASY DOLLY EYE LIQUID EYELINER MATTE

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี

มากับอายไลเนอร์ชนิดน้ำที่เป็นแบบเนื้อแมตต์ ทำให้เขียนได้ง่าย แถมยังแห้งได้ง่าย มีสีที่ดำสนิท ซึ่งก็ทำให้ดวงตาดูสวยคม แม้จะโดนสักกี่น้ำก็ไม่หลุดลอกออกมาแน่นอน และยังไม่เลอะ ไม่เปื้อนขอบตา เหมาะกับหน้าฝนมากๆ

อายไลน์เนอร์เป็นหนึ่งในเครื่องสำอางแต่งหน้าที่สำคัญที่สุดที่ผู้หญิง เพราะสามารถช่วยสร้างความโดดเด่นอย่างมากในรูปลักษณ์โดยรวมของใบหน้าของเราได้ และเมื่อใช้อย่างถูกต้อง อายไลเนอร์จะทำให้ดวงตาของคุณดูโตขึ้นและตื่นตัวมากขึ้น ทำให้คุณดูมีความมั่นใจและมีพลังมากขึ้น


อายไลน์เนอร์แบบไหนดี อายไลน์เนอร์ 3 แบบที่สาวๆ ควรรู้

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี

นอกจาก อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี สาวๆ ควรมาทำรู้จักกับอายไลน์เนอร์ 3 แบบ กันก่อนด้วย หลายคนที่อยากใช้อายไลน์เนอร์ เพราะอยากดูโฉบเฉี่ยวแบบคนอื่นบ้าง แต่ก็เลือกใช้ไม่เป็น ไม่รู้จะเลือกอะไรยังไง

วันนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับอายไลน์เนอร์และดูวิธีเลือกใช้อายไลน์เนอร์ให้ถูกวิธี ซึ่งถ้าเราใช้อายไลน์เนอร์เป็นแล้วเนี่ย นั่นก็จะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำให้เรามีโอกาสแต่งหน้าให้สวยได้มากขึ้น จะมีอะไรบ้างไปดูกัน

อายไลน์เนอร์คืออะไร

อายไลน์เนอร์ (Eyeliner) คือเครื่องสำอางที่ใช้เขียนบริเวณรอบดวงตา มีไว้เพื่อสร้างความหลากหลายให้กับดวงตา ซึ่งอายไลน์เนอร์มีประวัติการใช้งานคู่กับผู้หญิงมาตั้งแต่อดีต และในปัจจุบัน อายไลน์เนอร์ก็ยังเป็นเครื่องสำอางที่ผู้หญิงไม่สามารถละทิ้งออกไปได้ แต่ก็มีหลายคนที่อยากจะทิ้ง เพราะเมื่อใช้อายไลน์เนอร์แล้ว กลับดูหนา ไม่สวย เส้นไม่เรียบ ซึ่งปัญหานั้นก็เป็นปัญหาที่มีมานานแล้วเช่นกัน ก่อนอื่นไปดูประเภทของอายไลน์เนอร์กันก่อนว่ามีอะไรบ้าง


ประเภทของอายไลน์เนอร์

1. อายไลน์เนอร์ชนิดเจล

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี

เป็นอายไลน์เนอร์ที่มีลักษณะเป็นเนื้อเจล อ่อนนิ่ม สามารถใช้งานได้ง่าย โดยชนิดนี้เป็นประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากสามารถติดทนได้นานกว่าแบบอื่น และยังเขียนให้ลายหนาได้ในเวลาอันรวดเร็ว เหมาะกับสาวๆ ที่ต้องการแต่งเสริมตาให้ดูคมเข้ม และตัวนี้ยังช่วยทำให้ดวงตาดูกลมโต คมเข้มอีกด้วย แต่ก็มีข้อเสียคือ ถ้าปล่อยให้เนื้อเจลแห้งไปแล้ว จะเกลี่ยได้ยากมาก

2. อายไลน์เนอร์ชนิดน้ำ

อายไลน์เนอร์ชนิดนี้ เรามักเจอที่อยู่ในขวดเล็กๆ ข้างจะมีลักษณะเป็นน้ำ และมีสีที่ทึบ โดยจะใช้ควบคู่กับพู่กันหรือแปรงเป็นส่วนมาก ตัวนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะให้สีที่ชัดมากกว่าแบบดินสอ

แต่ก็ควบคุมการเขียนได้ยากมากกว่าแบบดินสอ แน่นอนว่าตัวนี้ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ และไม่เหมาะกับการออกงานที่เป็นแนวสบายๆ เพราะจะให้สีที่เข้มมาก ซึ่งยังมีอายไลน์เนอร์กันน้ำที่โดดเด่น น่าใช้งานอีกด้วย

3. อายไลเนอร์ชนิดดินสอ

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี

โดยส่วนมากที่เจอจะเป็นสีดำเข้มและสีดำด้าน โดยชนิดนี้จะเหมาะมากกับใครที่กำลังจะฝึกกรีดอายไลน์เนอร์เป็นครั้งแรก เนื่องจากตัวนี้สามารถควบคุมการวาดเส้นได้ง่ายมาก อีกทั้งยังสามารถตกแต่งรอบตาได้อย่างเป็นธรรมชาติ จึงทำให้มือใหม่หลายคนนิยมประเภทนี้ แต่ข้อเสียคือสีที่ได้จะไม่เข้ม ดูไม่โฉบเฉี่ยว และต้องใช้เวลานานในการใช้งาน


ปัญหาโลกแตกที่มักพบเจอเมื่อใช้อายไลเนอร์

อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี

  1. การกรีดอายไลเนอร์สามารถทำให้ขอบตากลายเป็นหมีแพนด้าได้ง่ายสุดๆ ซึ่งนี่ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่สาวๆ ส่วนใหญ่พบเจอ เพราะเมื่อใช้แล้ว ขอบตาก็ดูดำมากจนเกินไป จนกระทั่งมีสภาพเดียวกันกับหมีแพนด้า วิธีแก้ไขคือ ให้ใช้คอตตอลบัตเช็ดส่วนที่เกินออกมาทิ้งแล้วเขียนใหม่ ถ้าไม่ถูกใจก็เขียนๆ ลบๆ ไปเรื่อยๆ
  2. อายไลเนอร์ประเภทดินสอนี้มักจะมีหัวเขียนที่แข็ง ซึ่งอาจจะไปทำให้ขอบตาถลอกออกมา หรือทำให้เกิดแผลในขณะที่ทำการกรีดได้ วิธีแก้ไขคือ ให้ใช้ไดร์เป่าผม เป่าลมร้อนๆ ใส่อายไลน์เนอร์ดินสอสักพักหนึ่งนั่นจะทำให้หัวของอายไลเนอร์ดินสอนิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ควรเป่านานจนเกินไป เพราะนั่นก็จะทำให้อายไลเนอร์ละลายจนหมดแท่งแน่นอน
  3. ปัญหาไส้ในของอายไลเนอร์แบบดินสอ โดยแบบดินสอมักจะหักด้านในซึ่งก็คล้ายกับดินสอธรรมดาที่หล่นแล้วไส้ในอาจจะหักได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ
  4. หัวอายไลเนอร์แบบดินสอ มักจะหลุดออกมาในขณะที่กำลังทำการเหลาดังนั้นเราจึงไม่ควรเหลาอายไลเนอร์แบบดินสอ โดยใช้กบเหลาดินสอธรรมดา เพราะนั่นจะไปทำให้หัวดินสอของอายไลเนอร์หักลงมาได้เราควรใช้กบเหลาที่ออกแบบมาสำหรับใช้ในการเหลาอายไลเนอร์แบบดินสออย่างเดียวจะดีกว่า
  5. อายไลเนอร์แบบครีม มักจะแข็งตัวได้ง่ายและยิ่งแข็งตัวได้ง่ายมาก ในเวลาที่เราลืมเปิดฝาทิ้งไว้ นั่นจะทำให้ครีมในประปุกแข็งขึ้น และแน่นอนว่าทำให้เกลี่ยได้ยากขึ้นไปอีก ดังนั้นในส่วนนี้เราควรระวังให้ดี

นี่ก็เป็นเพียง 10 อายไลเนอร์ยี่ห้อไหนดี ที่นำมาฝากกัน เพราะเราเชื่อว่าสาวๆ ทุกคนก็อยากจะแต่งตา เขียนตา ให้ดูสวยและเด่นชัดกันมาก แต่ถ้าใครยังไม่เคยเขียนมาก่อนหรือเป็นมือใหม่เริ่มหัดเขียน แนะนำให้ซื้ออายไลเนอร์ขนาดทดลองมาลองหัดใช้ดูก่อน หรือลองเริ่มจากแบบดินสอที่เขียนบังคับได้ง่ายกว่า พอหัดเขียนจนชินมือแล้ว ค่อยไปลองแบบอื่นๆ ก็ได้ จะได้สวย เป๊ะ ที่สำคัญเมื่อทำความสะอาดก็อย่าลืมใช้คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง เช็ดอายไลเนอร์ให้หมดด้วย เพื่อที่จะได้ไม่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและลดการเกิดสิวด้วย


อ้างอิง

Types of eyeliner : https://www.purplle.com/magazine/article/different-types-of-eyeliner

รวม 7 เคล็ดลับ “กรีดอายไลเนอร์” สำหรับมือใหม่. https://www.bioderma.co.th/skin-articles/7-tricks-eyeliner.html

หน้าแพ้สารเคมี มาแก้หน้าพัง ให้ปังได้อีกครั้ง

หน้าแพ้สารเคมี หรือสารสเตียรอยด์ 5 อาการสำคัญที่บ่งบอกต้องระวัง!

หน้าแพ้สารเคมี เป็นอาการแพ้ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ อย่าง ปรอท หรือสารสเตียรอยด์ การแพ้เหล่านี้อาจเป็นอันตรายได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง รวมถึงการแพ้สารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อม เช่น ละอองเกสร สัตว์ และเชื้อรา สารเคมีทั่วไปอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้อย่างวัตถุเจือปนอาหาร สารกันบูด และสีย้อม เป็นต้น ซึ่งถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจก่อให้เกิดการแพ้ต่อสารนั้นอย่างแท้จริง

5 อาการสำคัญที่บ่งบอกต้องระวัง! ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังเจอกับปัญหาสิวปะทุ หน้ามัน แถมเหี่ยวย่นก่อนวัยทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีอะไร แต่จนมาได้ใช้ครีมตามอินเทอร์เน็ต แล้วบังเอิญว่าครีมนั้นดันหมดพอดี และอาการที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ดันเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ไม่แน่ว่าปัญหาผิวของคุณที่กำลังเจออยู่อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้ เพราะอาจจะเป็นสัญญาณที่บอกให้คุณรู้ว่า หน้าแพ้สารเคมี หรือแพ้สเตียรอยด์อยู่ก็เป็นได้


สเตียรอยด์ คืออะไร

หน้าแพ้สารเคมี

ก่อนจะพูดถึงเรื่องของอาการ หน้าแพ้สารเคมี เราจะมาเท้าความกันก่อนว่า สเตียรอยด์ คืออะไร โดยปกติแล้ว สเตียรอยด์ เป็นสารเคมีที่ร่างกายสามารถที่จะผลิตขึ้นมาเองได้ ผ่านระบบต่อมหมวกไต ซึ่งฤทธิ์ของสเตียรอยด์นั้นมักจะเป็นไปในทางช่วยในการกดภูมิคุ้มกัน ไม่ให้ทำงานได้มากเกินไป จนก่อให้เกิดอาการแพ้ภูมิตัวเอง

ในทางการแพทย์มักจะมีข้อบ่งชี้ในการใช้สารประเภทนี้ โดยให้ใช้ในระยะเวลาที่เหมาะสม และปริมาณที่ไม่เข้มข้นเกินไป ซึ่งโรคที่จำเป็นต้องใช้สเตียรอยด์ในการรักษาก็จะเป็นโรคผิวหนังบางชนิด แต่การสั่งจ่ายยาจะต้องทำโดยแพทย์อย่างเคร่งครัดเท่านั้น เพราะในปัจจุบันทางองค์การอาหารและยาได้ระบุให้ สารสเตียรอยด์ เป็นสารอันตราย ห้ามนำไปผสมในเครื่องสำอาง หรือยาต่างๆ โดยเด็ดขาด

แต่อย่างไรก็ตามก็มีแม่ค้าและเจ้าของแบรนด์ที่ไร้จรรยาบรรณหลายคนได้ฝ่าฝืนข้อปฏิบัติดังกล่าว โดยการแอบผสมสเตียรอยด์ลงในเครื่องสำอาง เพื่อให้ดูเหมือนว่าใช้แล้วเห็นผลเร็วขึ้น ซึ่งในจุดนี้เองที่ทำให้เมื่อหยุดใช้แล้วเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นมา หรือที่เรียกกันว่า หน้าแพ้สารเคมี หรือแพ้สเตียรอยด์ นั่นเอง


โดยอาการของการแพ้สารเคมี มีดังนี้

1. หน้ามันกว่าปกติ

หน้าแพ้สารเคมี

ในส่วนนี้หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไหร่ โดยเฉพาะสำหรับคนที่พื้นผิวเป็นคนผิวมันอยู่แล้ว เมื่อเกิดอาการ หน้าแพ้สารเคมี มักจะมองว่าก็ปกติผิวค่อนข้างมันอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเจอปัญหาดังกล่าว จะพบว่ามีผิวมันมากกว่าปกติ หลังจากหยุดใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์

2. ผิวบาง

หน้าแพ้สารเคมี

คำว่าผิวบางสำหรับเรา นอกจากความบอบบางที่มากขึ้น ยังหมายความถึงการที่ผิวหน้าดูบางลงอย่างเห็นได้ชัด จนสังเกตได้ว่ามองเห็นเส้นเลือดที่ผิวหน้า ซึ่งหากส่องกระจก แล้วเห็นเส้นเลือดแบบชัดๆ ทั้งที่คุณไม่ได้มีผิวขาว ขอให้แน่ใจได้ว่าคุณนั้นแพ้สเตียรอยด์อย่างแน่นอน

3. ผิวแพ้ง่าย

หน้าแพ้สารเคมี

หลายคนเมื่อเลิกใช้ครีมหรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเคมี อาจจะพบว่าผิวหน้านั้นแพ้ง่ายมากขึ้น คือ เมื่อสัมผัสกับฝุ่นหรือความเปลี่ยนแปลงของอากาศ หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพียงเล็กน้อยก็มักจะเกิดสิว หรือผดผื่นคันได้ง่ายๆ ซึ่งนั่นถือว่าเป็นอาการสำคัญทีเดียวที่บ่งบอกว่า หน้าแพ้สารเคมี แล้วก็เป็นได้

4. มีสิวปะทุจำนวนมาก

หน้าแพ้สารเคมี

ถ้าคุณเคยใช้เครื่องสำอางอะไร แล้วหน้าใสวิงค์ แต่เมื่อเลิกใช้กลับพบว่าผิวค่อยๆ มีสิวนานาชนิดผุดขึ้นมาตามใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นสิวผดหรือสิวอุดตันต่างๆ ในช่วงเวลาระหว่าง 2 สัปดาห์ –  1 เดือน หลังจากหยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ

ขอให้รู้ไว้เลยว่า นั่นอาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมาคุณได้ใช้สินค้าที่มีส่วนประกอบของสารสเตียรอยด์เข้าแล้ว ซึ่งเมื่อหยุดใช้อย่างกะทันหัน อาจจะทำให้ หน้าแพ้สารเคมี ขึ้นมาได้

5. ผิวหน้าดูแก่กว่าวัย

หน้าแพ้สารเคมี

ในระหว่างการใช้เครื่องสำอางที่มีสารสเตียรอยด์ คุณอาจจะรู้สึกว่าผิวหน้าขาวใสได้ในเวลารวดเร็ว แต่เมื่อหยุดใช้กลับพบว่า ผิวหน้าของคุณ กลับเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่แย่ลง คือ มีผิวที่หมองคล้ำมากขึ้น ผิวหยาบกร้าน ผิวพรรณไม่ผ่องใส และมีการเหี่ยวย่นเร็วกว่าปกติ ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะค่อยๆ มาหลังจากหยุดใช้เครื่องสำอางได้ไม่นาน และเป็นอาการที่บอกได้เป็นอย่างดีว่า คุณนั้นแพ้สารเคมีเข้าแล้ว


จะหลีกเลี่ยงอาการแพ้สารเคมีหรือสเตียรอยด์ได้อย่างไร

หน้าแพ้สารเคมี

สำหรับวิธีการหลีกเลี่ยงการแพ้สารเคมีหรือสเตียรอยด์ที่ดีที่สุดก็คือ การเลือกที่จะไม่ใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเคมีต่างๆ ตั้งแต่ต้นนั่นเอง หรือเลือกใช้ครีมผสมสารสกัดจากผลไม้ก็ได้ เนื่องจากเมื่อผิวเกิดปัญหาการแพ้สารเคมีขึ้นมามักจะใช้ระยะเวลาในการรักษาที่ค่อนข้างนาน รวมไปถึงยังอาจจะส่งผลต่อบุคลิกภาพของคุณอีกด้วย โดยสำหรับการเลือกซื้อเครื่องสำอาง หากไม่อยากเจอสารเคมีหรือสเตียรอยด์ปลอมปน แนะนำว่าควรเลือกดังนี้

1. เครื่องสำอางต้องมีที่มาที่ชัดเจน

ทั้งในส่วนของแหล่งผลิต และส่วนประกอบที่สำคัญต่างๆ รวมถึงหมายเลขจดแจ้งของเครื่องสำอางก็ควรจะตรวจสอบได้ ทั้งนี้นอกจากเพื่อเป็นการป้องกัน หน้าแพ้สารเคมี แล้ว การระบุประเภทของส่วนประกอบอย่างชัดเจน ยังช่วยให้คนที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายได้ตรวจสอบได้ด้วยว่าเครื่องสำอางแบรนด์นั้นควรเลือกใช้หรือไม่

2. เนื้อครีมไม่ควรเปลี่ยนแปลงง่าย

ในการทดสอบเครื่องสำอางบางอย่าง เราอาจจะเลือกซื้อมาตั้งทิ้งเอาไว้ในอุณหภูมิห้อง เพื่อดูการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการแยกชั้นของเนื้อครีมหรือการเปลี่ยนสี รวมไปถึงเรื่องของกลิ่นด้วย เนื่องจากหากเป็นเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสเตียรอยด์จริงๆ มักจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในส่วนนี้

3. ทดสอบโดยเครื่องมือของกระทรวงวิทย์

สำหรับคนที่ชอบลองครีมใหม่ๆ เราแนะนำว่าคุณควรมีชุดทดสอบสารต้องห้ามต่างๆ ของกระทรวงวิทยาศาสตร์การแพทย์ติดบ้านเอาไว้ สำหรับการทดสอบเครื่องสำอางที่รู้สึกไม่น่าไว้ใจ ซึ่งในปัจจุบันชุดทดสอบดังกล่าวมีจำหน่ายในราคาไม่แพงอีกด้วย

เพราะผิวหน้าของเรามีเพียงหน้าเดียว การจะเลือกใช้เครื่องสำอางต่างๆ นอกจากจะเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวแล้ว ควรเลือกเครื่องสำอางที่มีความปลอดภัยด้วย เพราะไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะต้องเสียทั้งเงินและเวลาในการรักษาปัญหาผิว และที่สำคัญ คือ อาจจะต้องเสียใจหากผิวพรรณกู้กลับมาได้ยาก หรือหมดทางรักษาอีกด้วย


4 วิธีทดสอบครีมปรอท ทดลองแล้วเห็นผลจริงอย่างแน่นอน

นอกจากสารสเตียรอยด์แล้ว ครีมปรอทก็เป็นสารเคมีอีกตัวที่ควรหลีกเลี่ยง ซึ่งวันนี้ก็จะมาแนะนำ 4 วิธีทดสอบครีมปรอทที่ทดลองแล้วเห็นผลจริงอย่างแน่นอน เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่า สารปรอทนั้นเป็นสารเคมีอีกตัวที่ค่อนข้างส่งผลกระทบกับร่างกายสูง เพราะสามารถทำลายระบบเม็ดเลือดของเราได้เลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามหลายครั้งเราก็ยังจำเป็นที่จะต้องนำเอาสารอันตรายอย่างปรอทมาใช้ในการทำงานบางอย่าง หรือแม้กระทั่งการรักษาโรคบางชนิดแต่ต้องทำภายใต้การควบคุมของแพทย์อย่างเคร่งครัดเท่านั้น 

แต่ก็ยังมีบางแบรนด์ที่ได้นำเอาผลข้างเคียงบางอย่างของบสารปรอทมาใช้ในด้านความงาม ซึ่งผลข้างเคียงนั้น ก็คือ การช่วยฆ่าเชื้อที่ทำให้เกิดสิว และลดการทำงานของเมลานิน ซึ่งเป็นเม็ดสีผิวคล้ำให้น้อยลง ทำให้ผิวหน้าขาวใสไร้สิวในเวลาที่รวดเร็ว ก่อให้เกิดเป็นครีมปรอทที่ขายกันตามท้องตลาด ซึ่งหลายเจ้าอาจจะไม่ได้บอกตรงๆ ว่ามีสารอันตราย อันนี้เราก็ต้องตรวจสอบกันเอาเอง โดยวิธีการยอดนิยมที่ใช้ในการตรวจสอบว่าครีมที่ซื้อมาเป็นครีมปรอทหรือไม่ มีดังนี้

1. ทดสอบกับผิว

หน้าแพ้สารเคมี

วิธีนี้สำหรับคนผิวแพ้ง่าย อยากให้เลี่ยงไปเลยจะดีกว่า แต่ถ้าคุณเชื่อว่าผิวพรรณคุณแข็งแรงก็น่าลองเหมือนกัน ซึ่งวิธีการทดสอบนั้นไม่ยากเลย เพียงแค่นำเอาครีมปรอทที่จะทดสอบมาทาที่บริเวณท้องแขนด้านในเล็กน้อย แล้วปิดด้วยพลาสเตอร์ จากนั้นก็นำเอาพลาสเตอร์อีกอันมาปิดที่บริเวณใกล้เคียง ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง แกะพลาสเตอร์ออก ถ้าตรงที่ทาครีมมีสีขาวซีดกว่า ตรงที่ไม่ทาแสดงว่า ครีมที่ซื้อมาเป็นครีมปรอท จริง

2. ใช้ผงซักฟอกทดสอบ

หน้าแพ้สารเคมี

เป็นวิธีการยอดนิยมอีกวิธีการหนึ่งทีเดียว ในการช่วยทดสอบว่าครีมที่ซื้อมานั้นเป็นครีมปรอทหรือไม่ ซึ่งวิธีการก็ไม่ยากเลย เพียงแค่ผสมผงซักฟอกกับน้ำให้เป็นเนื้อครีมข้นๆ จากนั้นนำเอาครีมที่ต้องการทดสอบมาป้ายลงบนกระดาษทิชชู แล้วนำเอาผงซักฟอกที่ผสมไว้แล้วมาหยดใส่ ทิ้งไว้สักครู่ หากไม่มีการเปลี่ยนสี แปลว่าครีมนั้นปลอดภัยจากสารปรอท แต่หากมีการเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงิน แสดงว่านั่นเป็นครีมปรอท

3. ทดสอบโดยการนำเอาถูกับทองแท้

หน้าแพ้สารเคมี

วิธีนี้เหมาะกับคนที่มีทอง แต่ถ้าไม่มีแนะนำให้ข้ามไปเลย ส่วนวิธีการนั้นก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแค่นำเอาครีมมาป้ายลงบนกระดาษทิชชูแล้วนำไปถูกับทองคำแท้ หากถูแล้วเป็นสีดำ แสดงว่ามีสารปรอทในครีมนั้น

4. ซื้อชุดทดสอบสารปรอทของกรมวิทยาศาสตร์

หน้าแพ้สารเคมี

แนะนำว่าลองซื้อชุดทดสอบมาใช้จะให้ผลที่ชัดเจนกว่า แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าปรอทที่อยู่ในครีมนั้นเป็นปรอทชนิดใด และมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน แต่ก็พอที่จะทำให้เราตัดสินใจได้ว่าจะทิ้งหรือใช้ครีมกระปุกนั้นต่อไป

เมื่อทดสอบจนทราบแล้วว่ามีสารปรอทอยู่ภายในเครื่องสำอาง หลายคนอาจจะบอกว่าไม่เห็นเป็นอะไรเลย ใช้มาจนจะหมดแล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่าผลของการใช้ครีมปรอทนั้นจะเป็นอย่างไร ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

  • ผลระยะสั้น สำหรับคนที่อาจจะทำบุญมาดีทำให้คุณเห็นผลของการใช้ครีมปรอทอย่างรวดเร็ว ทำให้ตัดสินใจว่าจะเลิกใช้ก่อนที่จะสะสมในร่างกายจนเป็นอันตราย แต่อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องเสียเวลาในการฟื้นฟูผิวมากพอสมควรทีเดียว เพราะหาก หน้าแพ้สารเคมี หรือผลของการแพ้ครีมปรอทแบบรุนแรงที่เห็นได้ชัด คือ จะมีอาการคัน ระคายเคือง และอาจจะเห็นสิวจำนวนมากโผล่ขึ้นมาหลังใช้ได้ไม่นาน นอกจากนี้แล้วหากยังฝืนใช้ เพราะเชื่อคำแม่ค้าว่าเป็นการผลักสิวออกมาแล้วจะหายไปเอง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ก็อาจะทำให้เกิดอาการผิวบาง แสบ แพ้แสง และที่ร้ายที่สุด คือ อาจจะเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้าถาวรอีก
  • ผลระยะยาว สำหรับหลายคนที่บอกว่าใช้ครีมปรอทมาตั้งนานไม่เห็นเป็นอะไรเลย นั่นอาจจะเป็นเพราะว่ามีการสะสมของสารปรอทในกระแสเลือดและในผิวของเราไปแล้ว สำหรับผลของการที่ปรอทสะสมในผิว ในช่วงแรกอาจจะเห็นว่าหน้าขาวใสจริง แต่เมื่อเปลี่ยนครีมหรือเลิกใช้จะเกิดอาการสิวปะทุขึ้นมาเต็มใบหน้า และอาจจะมีอาการอื่นๆ ด้วย เช่น ผิวบาง แพ้ง่ายขึ้น เป็นต้น

นอกจากนี้แล้ว ในรายที่มีการตั้งครรภ์ แต่ใช้ครีมปรอทอยู่เป็นประจำ ผลของการสะสมของสารปรอท นอกจากจะเกิดกับคุณแล้ว ยังอาจจะส่งผลถึงเด็กในท้องด้วย เพราะสารปรอทจะไปทำลายระบบการไหลเวียนโลหิต และอาจจะทำให้เกิดการพิการ ทั้งทางร่างกายและสมองสำหรับเด็กที่จะเกิดมาด้วย

จะเห็นได้ว่าครีมปรอทราคาถูกที่ขายกันเกลื่อนเมืองนั้น มอบความสวยให้คุณได้ก็จริง แต่เป็นเพียงความสวยชั่วคราว ซึ่งต้องแลกมาด้วยปัญหาสุขภาพในระยะยาว นอกจากนี้แล้ว ยังไม่ได้แค่ส่งผลกับตัวคุณเท่านั้น เพราะอาจจะส่งผลถึงลูกของคุณด้วย ดังนั้น เราแนะนำว่าหากเลี่ยงได้ควรจะเลี่ยงการใช้ครีมที่ไม่ได้มาตรฐาน และไม่มีเครื่องหมายรับรองความปลอดภัย จาก อย. จะดีกว่า

เพราะครีมเหล่านี้ราคาถูกก็จริง แต่เมื่อมาคำนวณในส่วนของค่ารักษาที่เกิดจากการใช้ครีม บอกได้เลยว่าแพงกว่าเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ด้วยซ้ำ ดังนั้น บวกเงินเพิ่มเล็กน้อย เพื่อแลกกับความปลอดภัยของทั้งผิวคุณและสุขภาพจะดีกว่า เพราะใบหน้าของเรามีแค่หน้าเดียวเท่านั้น


หน้าแพ้สารเคมี มาแก้หน้าพัง ให้ปังได้อีกครั้ง

หน้าแพ้สารเคมี

หน้าแพ้สารเคมี มาแก้หน้าพัง ให้ปังได้อีกครั้ง ถ้าพูดถึงเครื่องสำอางในปัจจุบันเราจะพบว่ามีมากมายหลายแบรนด์ทีเดียวในท้องตลาดให้เราได้เลือกซื้อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกแบรนด์จะปลอดภัยสำหรับผิวของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์ที่กล้าการันตี 3-7 วันเห็นผล และมีราคาที่ถูกเกินไป ยิ่งถือว่าอันตรายทีเดียว

เพราะอาจจะมีส่วนผสมของสารต้องห้ามมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ปรอท ไฮโดรควินิน หรือแม้กระทั่งสารสเตียรอยด์ ซึ่งสารที่กล่าวมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นสารที่มีอันตราย ทั้งต่อผิวพรรณและต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งครีมสเตียรอยด์ด้วยแล้วมักจะส่งผลแทบจะในทันทีที่หยุดใช้กันเลยทีเดียว 

ดูแลผิวของเราปลอดภัยจากสารเคมี 

มาดูกันดีกว่าว่าครีมเหล่านี้มีลักษณะอย่างไร รักษาสิวหายได้ใน 7 วัน ในราคาที่ถูกจนน่าตกใจ สำหรับในส่วนของครีมที่ผสมสารเคมีต่างๆ นั้นมักจะเน้นโฆษณาไปที่การรักษาสิวให้หายในเวลาที่รวดเร็ว ซึ่งเห็นผลจริงในระยะแรกอย่างสารสเตียรอยด์ที่อยู่ในครีมจะไปกดไม่ให้สิวปะทุขึ้นมา ทำให้เชื้อสิวยังคงอยู่ภายใต้ผิวหน้าของเรา เพื่อรอวันที่ผิวอ่อนแอ แล้วจึงค่อยผุดขึ้นมาพร้อมกันจำนวนมาก หรือสารปรอทที่ทำให้ผิวขาวไว

  • ครีมมีกลิ่นฉุน หลายเจ้าอ้างว่าครีมของตนเองทำมาจากสมุนไพร ทำให้มีกลิ่นที่ฉุนรุนแรง แต่จริงๆ แล้วเป็นการแต่งกลิ่น เพื่อกลบกลิ่นของสารเคมี เพื่อไม่ผู้บริโภคไม่รู้สึกตัวว่ากำลังใช้ครีมอันตรายอยู่นั่นเอง
  • เนื้อครีมแยกชั้น เมื่อใช้ไปสักพักหนึ่งสำหรับคนที่กำลังใช้ แนะนำว่าให้ดูว่าเนื้อครีมนั้นยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะอย่างครีมที่มีสารสเตียรอยด์นั้น มักจะเกิดการแยกชั้นของเนื้อครีมเมื่อเวลาผ่านไป
  • เนื้อครีมมีการเปลี่ยนสี ทั้งนี้ไม่ใช่การเปลี่ยนสีจากสภาพอากาศ เพราะว่าสำหรับครีมนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างเร็ว และเมื่อมีการสอบถามไปยังเจ้าของผลิตภัณฑ์มักจะมีการอ้างว่าเป็นการเปลี่ยนสีของสมุนไพร เป็นต้น แต่หากพบว่าเนื้อครีมเปลี่ยนสี แนะนำว่าให้ทิ้งดีกว่า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีสารอันตรายก็ตาม เพราะนั่นอาจจะหมายความว่าครีมนั้น หมดอายุหรือเสื่อมสภาพได้เช่นเดียวกัน

และสำหรับคนที่กำลังมีปัญหาหลังจากที่ใช้ครีมที่ผสมสารเคมี เราก็มีเทคนิคในการจัดการกับปัญหาเหล่านี้ เพื่อให้หน้าของคุณกลับมาใสได้เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าวิธีการเหล่านี้อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยในการฟื้นฟูผิวหน้า แต่รับรองได้เลยว่าผิวของคุณจะกลับมาใสได้อย่างแน่นอน ด้วย 3 สเต็ปต่อไปนี้

 1. หยุดพักหน้า

หน้าแพ้สารเคมี

นอกจากจะเลิกใช้ครีมต่างๆ แล้ว คุณยังจะต้องหยุดแทบจะทุกอย่างเกี่ยวกับผิวหน้าเลยทีเดียว รวมถึงต้องใช้วิธีล้างหน้าที่ถูกต้อง เพราะหากยังมีการทาครีมอื่ยๆ อยู่อาจจะเป็นการไปทำร้ายผิวเพิ่มขึ้นดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็น

– การแต่งหน้า เพราะการแต่งหน้าจะทำให้เกิดปัญหาสิวอุดตันจากเครื่องสำอางได้ง่าย แต่อย่างไรก็ตามหากจำเป็นต้องแต่งหน้าเพื่อไปทำงาน แนะนำว่าให้แต่งอ่อนๆ และเมื่อกลับมาถึงบ้านให้รีบล้างให้สะอาด เพื่อให้ผิวได้พักผ่อน

– งดมาส์กและสครับผิว อย่างที่รู้กันการสครับผิวมักจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่ายอยู่แล้ว และยิ่งเมื่ออยู่ในภาวะที่ หน้าแพ้สารเคมี ผิวอ่อนแอกว่าปกติ แทนที่จะเป็นการฟื้นฟูผิวก็อาจะกลายเป็นการทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัวได้

– งดบีบหรือแกะสิว เพราะจะทำให้เกิดรอยสิวและริ้วรอยได้ เนื่องจากผิวของเรายังอยู่ในสภาพอ่อนแออย่างถึงที่สุด

สำหรับในส่วนของการหยุดพักหน้าจากครีมนั้น แต่ละคนอาจจะใช้เวลาไม่เท่ากัน เนื่องจากขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการใช้ครีม และสภาพความอ่อนแอของผิวหน้าด้วย หลายคนอาจจะใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือนก็กลับมาหน้าใส แต่บางคนก็ใช้เวลาเป็นปีเหมือนกัน

2. ดีท็อกซ์ผิวหน้า

หน้าแพ้สารเคมี

การดีท็อกซ์ผิวหน้า เราแนะนำให้ใช้สูตรจากธรรมชาติ เช่น การพอกหน้าด้วยไข่ขาวเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อช่วยในการขับพิษของสารเคมีออกมา จะปลอดภัยกว่า และนอกจากการใช้ไข่ขาวแล้ว

หากต้องการที่จะเติมความชุ่มชื้นหรือต้องการให้หน้าขาวกระจ่างใส ก็อาจะใช้อย่างอื่นที่มาจากธรรมชาติและอ่อนโยน เช่น นมสด โยเกิร์ต หรือว่านหางจระเข้ มาพอกที่ผิวหน้าก็ได้เช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้ไม่ควรใช้สิ่งที่อาจจะทำให้แพ้ได้อย่างมะเขือเทศหรือมันฝรั่ง ในการพอกหน้าช่วงนี้ เพราะอาจจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่าย

3. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้ปลอดภัย

หน้าแพ้สารเคมี

หลังจากที่พักหน้าและดีท็อกซ์ผิวจากการติดครีมสารเคมีเรียบร้อย ต่อมาก็เป็นในส่วนของการเลือกใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับสภาพผิวที่อ่อนแอ โดยมีหลักการในการเลือก ดังนี้

– ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว การทำความสะอาดเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับช่วงนี้ เนื่องจากผิวของเรามีความอ่อนแอจากการใช้ครีมมาเป็นระยะเวลานาน โอกาสในการที่จะเกิดสิวมีมากกว่าคนปกติ การเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับการล้างหน้า แนะนำให้เลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิว และควรเลือกแบบที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติที่สำคัญ คือ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าที่มีความอ่อนโยนเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคืองจากการทำความสะอาด

– บำรุงผิว ให้เน้นเลือกเครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่ให้ความชุ่มชื้นเป็นหลัก เพราะเป็นเคล็ดลับวิธีแก้ผิวแห้งเป็นสิวได้เป็นอย่างดี แต่อย่าเพิ่งมองหาครีมสำหรับช่วยให้หน้าขาวหรือลบรอยใดๆ ทั้งสิ้น เพราะหากใจร้อนรีบใช้ครีมอื่นๆ ผิวที่ยังไม่ฟื้นฟูอาจจะกลับมาพังได้อีกครั้ง และเช่นเดียวกันควรเลือกเป็นสูตรอ่อนโยนจะดีที่สุด

– ครีมกันแดดเพราะผิวหน้าของเราหลังจากที่เจอกับสารเคมีมาจะมีความไวต่อแดดมาก การใช้ครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และแน่นอนว่าควรเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อบางเบา และไม่มีส่วนประกอบที่ก่อให้เกิดอาการแพ้

หลายคนอาจจะมองว่ายุ่งยากพอสมควรสำหรับการดูแลผิวหลังจากที่ใช้ครีมที่ผสมสารเคมี แต่เชื่อเถอะว่านี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดในการฟื้นฟูผิวของคุณให้กลับมาสวยได้อีกครั้ง หลังจากที่หน้าพังเพราะพิษสารเคมีอย่างแน่นอน


อ้างอิง

http://www.biohopethai.com/กู้หน้าพังจากปรอทและสเตียรอยด์

http://acnedefend.blogspot.com/2014/05/steroids-test.html

https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_535460

ลิปสติกยี่ห้อไหนดี ติดทนนาน ? แนะนำ 10 แบรนด์ดังยอดนิยม

ลิปสติกยี่ห้อไหนดี ติดทนนาน ? แนะนำ 10 แบรนด์ดังยอดนิยม

ลิปสติกยี่ห้อไหนดี ติดทนนาน ? แนะนำ 10 แบรนด์ดังยอดนิยม ใช้ดี ลิปสติกที่ติดทนนาน สาวๆ หลายคนคงจะหาลิปสติกที่ติดทนนาน เพื่อที่จะทาแล้วสวยตลอดวัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะซื้อลิปสติกแบบไหนดี

ซึ่งวันนี้เราก็มี 10 แบรนด์ดังยอดนิยมที่ติดทนนาน มาให้เลือกกัน จะได้เป็นตัวเลือกช่วยให้สาวๆ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แถมยังช่วยให้สวยขึ้นได้ด้วย มาดูดันเลยดีกว่าว่ามีแบรนด์อะไรบ้าง 

1. 4U2 – EST.HARDER 2

ลิปสติกยี่ห้อไหนดี

ขอแนะนำรุ่น EST.HARDER 2 ลิควิดลิปแมตต์ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องติดทนนาน เนื้อแมตต์เบาทาแล้วสบายปากมาก โดดเด่นตรงที่สีชัด ติดทน กันน้ำ และไม่เลอะแมสก์ มีให้เลือกมากถึง 16 สี สายไหนก็ต้องโดนตก มีทั้งโทนนู้ด ชมพู ส้ม แดง น้ำตาล ครบทุกลุคในการแต่งหน้าเลยทีเดียว เม็ดสีแน่นมากกลบสีปากได้มิด ทาแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะ แถมยังเกลี่ยง่าย อีกทั้งยังมีส่วนผสมที่ช่วยบำรุงริมฝีปากไปในตัวอีกด้วย ที่สำคัญราคาแค่หลักร้อย

2. M.A.C – matte LIPSTICK

ลิปสติกยี่ห้อไหนดี

นี่คือแบรนด์ลิปสติกที่เป็นที่นิยมมากที่สุด ลิปปังๆ ที่ทุกคนควรมีไว้ครอบครองสักแท่ง เพราะมีเนื้อลิปสติกให้เลือกอยู่มากมาย ยิ่งลิปแบบเนื้อแมตต์ละก็ยิ่งมีเยอะเข้าไปใหญ่ เพราะเป็นที่นิยม แถมยังสีที่สดชัดเจน ไม่แห้งจนเกินไป​ และที่สำคัญคือลิปตัวนี้สามารถติดทนนานได้ตลอดวันอีกด้วย จัดว่าเป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่ได้รับความนิยมสูง ทาปากกี่ทีก็สวยทุกที ราคาอยู่ที่ประมาณ 800 บาท

3. NARS – MATTE LIP PENCIL

ลิปสติกยี่ห้อไหนดี

ลิปเครยอนเนื้อแมตต์เนียนนุ่ม เขียนง่าย เม็ดสีติดทนนานโดยไม่ทำให้ริมฝีปากลอกหรือเป็นคราบ พร้อมช่วยเติมเต็มร่องปากให้แลดูอวบอิ่มซึ่งก็มาในรูปแบบของดินสอเขียนปาก เป็นสินค้าที่เหมาะกับสาวๆ ที่ชอบลิปสติกเนื้อด้าน ทาตัวนี้จะไม่ทำให้ปากแห้ง แถมยังมีส่วนผสมของสารบำรุงริมฝีปากและวิตามินอีที่ช่วยเพิ่มความเนียนนุ่มชุ่มชื้น และมีสีลิปที่จัดจ้านมาก ที่สำคัญยังมีเฉดสีให้สาวๆ ได้เลือกเยอะมาก ไม่ว่าจะแบบหวาน เรียบร้อย หรือแบบมั่นใจ ราคาอยู่ที่ 1,000 บาท

4. Revlon – Colorburst Matt Balm

ลิปสติกยี่ห้อไหนดี

เติมความชุ่มชื่นและสีสวยเปล่งประกายให้ริมฝีปากดูสดใสด้วยลิปบาล์มเนื้อกึ่งแมตต์ที่มาในรูปแบบแท่งดินสอเขียนปาก  ซึ่งก็ไม่ต้องมาเหลาให้เสียเวลา เพราะมีเนื้อสีที่เยอะมาก โดยลิปตัวนี้มีสีที่สดใส ชัดเจน และไม่แห้งจนเกินไป เวลาทาจะรู้สึกเย็นที่ปากอีกด้วย ราคาอยู่ที่ 300 บาท

5. 3CE – Lip Tint

ลิปสติกยี่ห้อไหนดี

ลิปทินต์แบรนด์ดังจากเกาหลี ด้วยเนื้อแมตต์ที่ดูเรียบเนียนดุจกำมะหยี่ พิกเมนท์แน่น เม็ดสีแน่นคมชัด สีสวยสดใสสไตล์เกาหลี ทาแล้วสีแนบสนิทกับปากเป็นเนื้อเดียวกัน และให้สัมผัสที่ดูเรียบลื่นบางเบาเป็นธรรมชาติ แถมมีสีให้เลือกมากมายและน่าครอบครองเป็นเจ้าของมาก และเมื่อได้ลองใช้จริงหลายคนก็บอกว่าชื่นชอบมาก เพราะมีสีที่สด ชัดเจน สามารถเข้ากับผิวได้ดี เรียบเนียน และยังไม่ทำให้ปากแห้งอีกด้วย ราคาอยู่ที่ 700 บาท

6. MAYBELLINE – super stay matte ink

ลิปสติกยี่ห้อไหนดี

ลิปจิ้มจุ่มที่ติดทนนานถึง 16 ชม. ครอบคลุมทุกโทนสี สุดชิค ทาแล้วไม่ติดมาสก์ ไม่ตกร่อง ไม่ทรานสเฟอร์ สวยไม่ซีด ใครทาก็รอด แถมนี่ยังเป็นลิปสติกที่มีราคาไม่แพงและคุณภาพเนื้อที่ดี มีเฉดสีให้เลือกหลากหลายและทุกโทนสีก็มีแต่สีเด็ดๆ ทั้งนั้นเลย มีทั้งสีที่ทำมาเพื่อผิวของคนเอเชีย เอาใจสาวๆ โดยเฉพาะ เราสามารถใช้ได้ในประจำวันแน่นอน ที่สำคัญนอกจากจะติดทนได้นาน และยังไม่ทำให้ปากแห้งอีกด้วย ราคาสบายใจเพียงแท่งละ 249 บาทเท่านั้น

7. NYX – MATTE LIPSTICK

ลิปสติกยี่ห้อไหนดี

นี่เป็นอีกตัวที่เหมาะกับคนงบน้อย เพราะมีราคาอยู่แค่ 100-300 บาท แต่มีคุณภาพ ระดับสูงเลยทีเดียว เพราะมีสีที่สดใสชัดเจน และยังมีเฉดสีให้เลือกอีกมากมาย และตัวนี้ก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่ไม่ทำให้ปากแห้งจนเกินไป

8. Bobbi Brown – Luxe Matte Lip Color

ลิปสติกยี่ห้อไหนดี

ปากสวยดูโดดเด่น ด้วยลิปสติกจากแบรนด์ BOBBI BROWN ลิปสติกที่มอบทั้งเนื้อสัมผัสแบบแมตต์เต็มขั้น ไปพร้อมๆ กับความเบาสบายที่ริมฝีปาก สามารถเกลี่ยได้อย่างเรียบลื่นด้วยเม็ดสีที่อัดแน่นและติดทนนานสูงสุดถึง 12 ชั่วโมง ด้วยเนื้อแว็กซ์คุณภาพเยี่ยมจึงเคลือบริมฝีปากได้อย่างบางเบา มีให้เลือกด้วยกันหลากหลายเฉดสี ราคาประมาณ 1,500 บาท

9. ETUDE – Fixing Tint

ลิปสติกยี่ห้อไหนดีลิปทินท์ไม่เลอะติดแมสก์สัญชาติเกาหลี อีกแบรนด์ที่ขายดีโดยตัวนี้เป็นแบบลิปทินท์ที่ให้งานเนื้อแมตต์ โดยยังรักษาความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก ซึ่งแค่ปาดทีเดียวแล้วทิ้งไว้สักครู่ก็แห้งไปกับปากได้เลย ลิปสติกรุ่นนี้มีหลายสีให้เลือก ทั้งยังช่วยบำรุงความชุ่มชื้น ไม่ทำให้ริมฝีปากรู้สึกเจ็บหรือแห้งตึง พร้อมคุณสมบัติติดทนแน่น กันน้ำ และไม่ซึมเลอะแมสก์ ราคาอยู่ที่ 400-500 บาท

10. L’oreal – Rouge Signature

ลิปสติกยี่ห้อไหนดี

ลิปสติกตัวขายดี คุณภาพคับแน่น มีเฉดสีให้เลือกถึง 30 สี ตัวลิปสติกทาง่าย หัวแปรงมีปลายแหลมที่ช่วยให้ทาริมฝีปากได้ง่าย ลิปสติกเป็นเนื้อแมตต์ที่มีส่วนผสมของน้ำและน้ำมัน ด้วยเทคโนโลยีแผ่นฟิลม์บางสูตรเฉพาะที่ให้เนื้อสัมผัสบางเบา พร้อมมอบเม็ดสีสดชัดและพลังแมตต์แน่นได้ตลอดวัน เพื่อผลลัพธ์สีชัดเจน ติดทนนานตลอดวัน และเบาสบายบนริมฝีปาก ราคาแท่งละไม่ถึง 300 บาท

นี่ก็เป็นเพียง ลิปสติกยี่ห้อไหนดี 10 แบรนด์ดังยอดนิยมและติดทนนาน แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้ลิปสติกแบรนด์ไหน ก็สามารถเลือกได้ตามที่ชอบกันได้เลย เพราะแบรนด์ต่างๆ ก็มีสีและประเภทของลิปให้เลือกมากมาย หรือหากคุณสนใจ เครื่องสำอางแบรนด์ไทย ก็สามารถหาซื้อได้เพราะของไทยก็ดีไม่แพ้ใครเหมือนกัน ที่สำคัญหลังทาลิปสติกแล้วอย่าลืมทำความสะอาดให้หมดจด และบำรุงฝีปากร่วมด้วย จะได้ทาริมฝีปากสวยๆ ในทุกวัน


ลิปสติกประเภทต่างๆ เลือกลิปสติกแบบไหนดีที่สุด มาดูกันดีกว่า

ลิปสติกยี่ห้อไหนดี

แนะนำ ลิปสติกยี่ห้อไหนดี กันไปแล้ว ลองมาดู ลิปสติกประเภทต่างๆ เลือกลิปสติกแบบไหนดีที่สุดบ้างดีกว่า สาวๆ ที่รักสวยรักงาม คงจะซื้อลิปสติกกันประจำแน่ๆ ซึ่งในปัจจุบันก็มีวางขายอยู่เยอะมาก แต่ทีนี้จะเลือกให้เข้ากับความต้องการของเรายังไงดี วันนี้จึงมีบทความที่จะมาบอกประเภทของลิปสติกว่ามีอะไรบ้าง จะได้ช่วยให้สาวๆ ตัดสินใจได้ว่าควรจะเลือกใช้แบบไหนดี 

1. ลิปสติกเนื้อครีม

โดยลิปสติกประเภทนี้ จะมีลักษณะเป็นเนื้อครีมเนียนนุ่ม จะเต็มไปด้วยเม็ดสี เมื่อทาแล้วจะเห็นเป็นสีสันชัดเจน และยังไม่ทำให้ปากแห้ง สีชัดติดทนนานแน่นอน

เหมาะมากๆ สำหรับสาวๆ ที่มีริมฝีปากสวยอยู่แล้ว เพราะทาแล้วจะช่วยทำให้ปากดูอวบอิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่เหมาะกับสาวๆ ที่มีรูปปากหนา เพราะจะไปทำให้ปากดูใหญ่ขึ้น

2. ลิปสติกเนื้อแมตต์

ลิปสติกประเภทนี้ จะมีความเข้มข้นของเนื้อสีมากที่สุด ทำให้ได้สีที่เข้มที่สุด ตัวนี้เป็นลิปสติกเนื้อด้าน ที่ไม่มีความมันวาวเลย เมื่อทาแล้วจะแห้งไวและติดทนที่ปากได้นาน แต่เวลาทาก็อาจทำให้ริมฝีปากแห้งได้ง่ายกว่าปกติ ซึ่งสำหรับใครที่มีปัญหาปากแห้งทาอยู่แล้ว ตัวนี้อาจจะไม่เหมาะเท่าไร เพราะจะทำให้ลิปตกร่องและเกิดคราบ ดังนั้นเวลาลิปชนิดนี้ควรทาลิปบาล์มไปก่อน เพื่อสร้างความชุ่มชื้น 

3. ลิปสติกเนื้อเชียร์และเนื้อซาติน

ชนิดนี้มีลักษณะคล้ายๆ แบบเนื้อครีม แต่ก็จะมีเม็ดสีที่มีความบางเบากว่ามาก และจะไม่เกิดความมันวาวมากจนเกินไป ถ้ามองขณะที่อยู่ในแท่งอาจดูเข้ม

แต่เมื่อแล้วจะได้แบบที่มีสีอ่อนกว่า จึงเหมาะสำหรับสาวๆ ที่ไม่ชอบทาลิปสติกสีจัดจ้าน และนั่นก็ทำให้ริมฝีปากดูเนียนสวย อย่างเป็นธรรมชาติได้ดี ทั้งนี้ก็สามารถทาทับได้หลายครั้งมาก โดยที่ไม่เป็นคราบเลย

4. ลิปเนื้อฟรอสตี้

นี่เป็นลิปสติกที่มีเนื้อสีที่เข้มข้น ให้ประกายสีมุก เพราะได้มีส่วนผสมของกลิตเตอร์ ดังนั้นเมื่อทาแล้วจะทำให้ริมฝีปากดูเปล่งปลั่งสดใส และยังทำให้ปากมีประกาย แต่ก็ยังไม่ทำให้ไม่มันวาวจนเกินไป ซึ่งก็เหมาะกับสาวๆ ที่มีริมฝีปากบางอยู่แล้ว นั่นก็จะทำให้ริมฝีปากดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

5. ลิปสติกเนื้อมันวาว/เนื้อชายน์

ลิปสติกเนื้อมันวาวเป็นลิปสติกที่มีส่วนผสมของกลิตเตอร์ปนอยู่นิดหน่อย ซึ่งก็จะให้ความมันวาวแบบกลอสซี่ ทำให้เมื่อทาแล้วริมฝีปากจะดูอวบอิ่ม เนียนสวย ดูเรียบเนียน และชุ่มชื้นขึ้นมาก แต่อาจไม่เหมาะทาไปข้างนอกเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยติดทน

6. ลิปสติกลิควิด

ลิควิดลิปสติก หรือ ลิปจิ้มจุ่ม ก็เป็นลิปสติกที่มาแรงสุดๆ ในตอนนี้ ซึ่งนี่ก็ลิปสติกที่มีลักษณะเป็นเนื้อที่เหลว มีเม็ดสีที่ชัดเจน เมื่อทาแล้วจะให้สีปากที่สวย เด้ง และยังติดทนนานได้ตลอดทั้งวัน โดยแบบนี้มีทั้งแบบที่เป็นเนื้อแวววาว และแบบเนื้อแมตต์

7. ลิปกลอส

ลิปกลอสเป็นลิปสติกชนิดเนื้อเหลว มีความโปร่งแสง โดยบางอันอาจมีประกายมุก เมื่อทาแล้วจะให้สีที่ใส มีความแวววาว ซึ่งก็จะทำให้ริมฝีปากมีความชุ่มฉ่ำ ดูอวบอิ่มอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งเราสามารถใช้ทาลงบนริมฝีปากได้แบบโดยตรง หรือจะนำไปทาทับลิปสติกสีอื่น เพื่อเพิ่มความแวววาวก็ได้เช่นกัน

8. ลิปทินต์

ทินต์เป็นลิปสติกชนิดเนื้อเหลวคล้ายลิปกลอส แต่ตัวนี้จะให้ความหนืดน้อยกว่า โดยจะใช้สำหรับช่วยการเพิ่มสีสัน ให้กับริมฝีปาก หลายคนจึงมักนิยม ทาบนริมฝีปากแค่บางๆ และใช้ลิปกลอสควบคู่ไปด้วย นั่นก็จะทำให้ริมฝีปากดูสดใสอย่างเป็นธรรมชาติแน่นอน

9. ลิปไลเนอร์

ลิปไลเนอร์ หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า ดินสอเขียนขอบปาก โดยตัวนี้จะใช้สำหรับการเน้นขอบ และทำให้ปากเรียวขึ้น จึงมักจะใช้เป็นสีที่ใกล้เคียงกับสีลิปสติก โดยจะใช้วาดขอบนำไปก่อนจะลงลิปสติก ซึ่งก็จะช่วยให้ริมฝีปากสวย คมชัด เซ็กซี่มากขึ้น

10. ลิปบาล์มหรือลิปมัน

ลิปสติกประเภทนี้จะไม่มีสี หรือมีสีก็มีน้อย เพราะส่วนใหญ่จะใช้ในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวปากมากกว่า หรืออาจใช้ทานำไปก่อนแล้วค่อยลงลิปสติกสีที่ชอบลงไป เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวปากให้มากขึ้น 

รู้จักความแตกต่างของลิปสติกประเภทต่างๆ แล้ว ก็ไปเลือกซื้อลิปสติกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของเรากันได้แล้ว และก็ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมสาวๆ ถึงไม่ได้มีลิปสติกเพียงแท่งเดียว เพราะนอกจากจะมีสีต่างกัน ยังมีให้เลือกอีกหลายประเภทด้วย


5 วิธีเลือกลิปสติก ให้เข้ากับปากและผิวของคุณเองมากที่สุด

ลิปสติกยี่ห้อไหนดี

นอกจาก ลิปสติกยี่ห้อไหนดี แล้ว เรายังมี 5 วิธีเลือกลิปสติก ให้เข้ากับปากและผิวของคุณเองมากที่สุดมาฝากกันด้วย เพราะการเลือกลิปสติกให้เข้ากับคุณก็ถือเป็นปัญหาหนึ่งของสาวๆ เลยว่าจะเลือกสีไหนดี แบบไหนดี แน่นอนว่าคนที่มีลิปในใจหรือที่ใช้เป็นประจำอยู่แล้วก็คงไม่เป็นปัญหา

แต่คนที่ยังไม่รู้จะซื้อลิปสติกอะไรมาใช้ละก็ ก็คงจะงมกันไปพักนึงว่าจะซื้ออะไรดี และซื้อมาแล้วจะเหมาะกับเราไหม วันนี้จึงมี 5 วิธีเลือกลิปสติกให้เข้ากับตัวเองที่สุด มาช่วยให้สาวๆ ใช้ลิปสติกได้ดีขึ้นนั่นเอง

ลิปสติกยี่ห้อไหนดี

1. ให้เลือกสีลิปที่เราชอบ

แค่ทาลิปสติกเนื้อแมตต์ ให้เข้ากับรูปหน้าหรือเลือกสีที่ใครๆ ใช้ก็สวย แค่นั้นก็สามารถทำให้เราดูสวยขึ้นมาได้แล้ว  การเลือกลิปสติกที่ดีก็ทำให้เราไม่ต้องแต่งหน้าเลยก็ได้ ซึ่งก็มีสาวๆ หลายคนที่ไม่แต่งหน้าเลย เพียงแค่เลือกทาลิปสติกให้เข้ากับตัวเอง แค่นั้นก็ทำให้ดูสวย ดูแพงขึ้นมาได้ในทันที

2. เลือกสีแดงไปเลย

ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว แค่ทาปากแดงแค่นั้นก็ทำให้ดูสวยโฉบเฉี่ยวไปครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่ว่าใครจะทาก็ตาม ยังไงลิปแดงก็ยังเป็นตัวแทนก็ความจัดจ้านมากที่สุด ไม่มีสีไหนที่จะมาเบียดบัลลังก์นี้ได้ ซึ่งสีแดงก็เป็นอีกสีที่สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป หาซื้อได้ง่ายมาก ง่ายกว่าสีอื่นหลายขุม และชนิดที่ราคาไม่แพงก็มีอยู่เยอะ และนี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการใช้ลิปสติก

3. สีชมพูอ่อนๆ เพิ่มความหวาน

การใช้ลิปสีชมพูอ่อนๆ ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำให้เราดูสวยได้ โดยที่แทบไม่ต้องแต่งหน้าเลยก็ได้ และสีนี้ก็จะให้ความแตกต่างไปจากสีแดงโดยสิ้นเชิง สีแดงจะเป็นสีที่ดูรุนแรง แต่สีชมพูอ่อนก็จะแสดงถึงความอ่อนโยน ความหวานให้เราได้มาก ถ้าใครเป็นสาวเปรี้ยวอยู่แล้วอยากเปลี่ยนเป็นสาวหวานละก็ ใช้สีชมพูอ่อนตัวเดียว อยู่หมัดแน่นอน

4. เลือกสีลิปสติกให้เข้ากับสีผิว

การเลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิวก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดี เพราะนอกจากจะทำให้ดูมีสไตล์แล้ว ยังทำให้ดูมีเสน่ห์มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งใครที่ไม่รู้จะถ้าใช้แบบนี้แล้วจะเวิร์กหรือไม่ ให้ดูสาวไทยในปัจจุบันแล้วเราจะเข้าใจว่า การแต่งหน้าในปัจจุบันไม่ต้องใช้ลิปสติกสีชมพูเพียงเดียวแล้ว สีน้ำตาลก็เป็นอีกสีหนึ่งที่สามารถเพิ่มความแพงให้เราได้มากเลยทีเดียว

5. แต่งตามดาราไปเลย

ไม่ต้องคิดอะไรให้มันมากไป แต่งตามดาราไปเลย ใครจะว่ายังไงเราก็ไม่ต้องแคร์ เพราะคงไม่มีดาราคนไหนที่แต่งตัวเองให้ดูขี้เหร่แน่นอน ซึ่งการใช้ตามดาราก็เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลา และยังทำให้ดูสวยใสอีกด้วย สะดวกมากๆ

ลิปสติกเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้เพื่อเพิ่มรูปลักษณ์ของริมฝีปาก ทั้งมีหลายสีและหลายประเภท และสามารถทาลงบนริมฝีปากได้โดยใช้แปรงหรือนิ้วมือ เหตุผลที่สาวๆ เลือกใช้ลิปสติก นั่นก็เพราะบางคนชอบทาลิปสติกทำให้ริมฝีปากดูอิ่มเอิบและเซ็กซี่มากขึ้น บางคนใช้ลิปสติกเพื่อเพิ่มสีสันให้ริมฝีปาก ทำให้หน้าสดใสและทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นด้วย


อ้างอิง:

How to Apply Lipstick: 15 Tips and Tricks. https://www.byrdie.com/how-to-apply-lipstick-346598

รีวิวกันแดดทาหน้า 10 แบรนด์ ทดลองหมดแล้วครีมกันแดดยี่ห้อไหนดีที่สุด

รีวิวกันแดดทาหน้า 10 แบรนด์ ทดลองหมดแล้วครีมกันแดดยี่ห้อไหนดีที่สุด

รีวิวกันแดดทาหน้า 10 แบรนด์ ทดลองหมดแล้วครีมกันแดดยี่ห้อไหนดีที่สุด ครีมกันแดดนับว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับผู้หญิงทุกคน เรียกได้ว่าจะไปไหนมาไหนก็ต้องพกครีมกันแดดติดตัวตลอด เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อนจึงทำให้รังสียูมีอยู่แทบทุกที่ และสิ่งเดียวที่จะปกป้องผิวหน้าและผิวกายไม่ให้ได้รับอันตรายจากรังสียูวี คือ การทาครีมกันแดด

เพราะหากเราปล่อยปละละเลยไม่สนใจสุขภาพผิวของเราปล่อยให้ยูวีจากแสงแดดทำร้ายเป็นเวลานานๆ ผิวอาจจะเสียจนเกิดความหมองคล้ำ เป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือปัญหาสุขภาพผิวอื่นๆ ตามมาด้วย ที่สำคัญไปกว่านั้นรังสียูวีจากแสงแดด หากเราไม่ดูแลหรือป้องกันอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้

ซึ่งต้องบอกเลยว่าอันตรายมากๆ เพราะฉะนั้นการดูแลผิวด้วยการทาครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก หลายคนอาจจะสับสนว่าควรใช้ครีมกันแดดแบบไหนดีนะถึงจะปกป้องผิวให้ปลอดภัยจากรังสียูวีได้  ในแต่ละวันที่สาวๆ ต้องออกนอกบ้านแทบไม่รู้เลยว่าในวันนั้นเราจะเจอกับอะไรบ้าง เพราะในแต่ละวันมีครบทุกสภาพอากาศ ทั้งร้อน ทั้งฝน ยังรวมไปถึงแสงไฟนีออนที่ต้องเจอในที่ทำงานอีก

เพราะฉะนั้นการเลือกใช้ครีมกันแดดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ครีมกันแดดยอดนิยมและใช้ดีจึงต้องมีความพร้อมที่จะรับมือกับทุกสภาพอากาศ จะต้องเหนียวหนึบทนต่อทุกสถานการณ์ ทีนี้เรามาดู รีวิวกันแดดทาหน้า ที่คนส่วนใหญ่ใช้และทนต่อทุกสถานการณ์กันว่ามีอะไรบ้าง และมาดูว่าควรใช้แบบไหนถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด


1. รีวิวกันแดดทาหน้า LA ROCHE-POSAY ANTHELIOS XL DRY TOUCH – GEL – CREAM SPF 50+

รีวิวกันแดดทาหน้า

เป็นครีมกันแดดสำหรับผิวหน้า เนื้อครีมเป็นเจลเมื่อทาที่ผิวหน้าแล้วเนื้อครีมจะซึมซับเข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญไม่เหนียวเหนอะหนะอีกด้วย เป็นครีมกันแดดที่เหมาะสำหรับผิวผสมไปจนถึงผิวมัน เป็นครีมกันแดดที่ช่วยปกป้องรังสี UVB/UVA สูงด้วยค่า SPF 50+ PPD31

เนื้อครีมบางเบาเหมาะมากสำหรับสาวๆ ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย นอกจากจะเป็นครีมกันแดดแล้วยังช่วยควบคุมความมันอีกด้วย เมื่อทาเสร็จเนื้อครีมจะซึมเข้าสู่ผิวทันทีจึงทำให้สบายผิวไม่เหนียวเหนอะหนะ ด้วยสูตร Non-comedogenic เป็นสูตรพิเศษที่ไม่มีการผสมน้ำหอมและพาราเบน

จึงเป็นครีมกันแดดที่ไม่มีกลิ่นที่สำคัญยังเป็นครีมกันแดดที่ผ่านการทดสอบโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวพรรณ สาวๆ สามารถหาซื้อได้ที่ Watson Boots และร้านขายยาทั่วไป ราคา 1,200 ราคาอาจจสูงนิดนึงแต่ขอบอกเลยว่าคุ้มมาก

2. CUTEPRESS UV WHITE MATTE SPF50+ PA+++

รีวิวกันแดดทาหน้า

รีวิวกันแดดที่มากด้วยคุณสมบัติในหลอดเดียว ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องผิวจากรังสี UVA1 UVA2 และ UVB ช่วยควบคุมความมันได้นานถึง 8 ชั่วโมง เนื้อครีมเหมือนครีมกันแดดผสมรองพื้นที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีได้เต็มประสิทธิภาพด้วยค่า SPF50+Pa+++

เป็นครีมกันแดดที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและสารสกัดจากสาหร่ายสีน้ำตาล ช่วยลดรอยดำ จุดด่างดำต่างๆ ให้จางลง อีกทั้งยังช่วยควบคุมความมันด้วยเทคโนโลยี Oil-Trapping Film ที่ช่วยดูดซับความมันบนใบหน้าได้อย่างล้ำลึก ปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์ จึงเหมาะสำหรับผิวธรรมดาและผิวมัน หาซื้อได้จาก Shop CutePress และร้านค้าชั้นนำ ราคาสบายกระเป๋า 379 บาท

3.  รีวิวกันแดดทาหน้า BOOTS DERMOCARE SUNCARE FACIAL SUN PROTECTIVE LIGHT FLUID SPF50

รีวิวกันแดดทาหน้า

ครีมกันแดดที่นอกจากจะปกป้องผิวจากรังสียูวิแล้วยังควบคุมความมันให้อยู่หมัดอีกด้วย เนื้อครีมมีลักษณะเป็นโลชั่นซึมซับเข้าสู่ผิวเร็ว จะอยู่กลางแดดจ้านานแค่ไหนผิวของสาวๆ ก็จะสดใสตลอดเวลา ดูยังไงก็ไม่หมองคล้ำดำลงอย่างแน่นอน เหมาะสำหรับผิวผสมและผิวมัน

หาซื้อได้ที่เฉพาะในร้าน Boots เท่านั้นราคาก็สบายๆ 500 นิดๆ

4. MINUS FACIAL SUN PRIECTION SPF 50

รีวิวกันแดดทาหน้า

เนื้อครีมแสนบางเบา นุ่มเนียนซึมซับเข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็วที่สำคัญสามารถกันน้ำได้ขั้นเทพเลยทีเดียว นอกจากจะซึมซับและกันน้ำได้แล้วยังเป็นรีวิวกันแดดที่ช่วยปรับระดับสีผิวให้ดูขาวเปล่งประกายขึ้นอีกระดับหนึ่งด้วย เป็นครีมกันแดดที่เหมาะสำหรับทุกวันทั้งแดดจ้า ฝนตก

จะ UVA หรือ UVB ก็ใช้ได้หมดกังวลว่าเนื้อครีมจะหลุดหายระหว่างวันเพราะเป็นรีวิวกันแดดที่ไม่หวั่นต่อทุกสถานการณ์ สาวๆ สามารถหาซื้อได้จาก ห้างสรรพสินค้าทั่วไป Boots, Watson ราคาสุดคุ้มสบายกระเป๋ากันเลยทีเดียว 299 บาท

5. รีวิวกันแดดทาหน้า SHISEIDO ANESSA PERFECT UV SUN SCREEN SPF50 PA++++

รีวิวกันแดดทาหน้า

Shiseido ครีมกันแดดที่ไม่ต้องอธิบายคุณสมบัติอะไรมากมาย เพราะสาวๆส่วนใหญ่รู้จักกันเป็นอย่างดีและส่วนใหญ่ก็ใช้กันแทบทุกคน เพราะเป็นครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติครบจบในหลอดเดียว ทั้งกันน้ำกันเหงื่อใช้ได้กับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมกลางแจ้งหรือในน้ำก็หมดกังวล Shiseido

เนื้อครีมบางเบาซึมสู่ผิวอย่างรวดเร็วจะอยู่กลางแดดจ้านานแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเหนียวเหนอะหนะ จึงเป็นอีกครีมกันแดดที่สาวๆ นิยมใช้มากที่สุด เพราะมันสามารถป้องกันได้ทั้ง ยูวิเอและยูวีบี หาซื้อได้ไม่ยากเลย แค่เดินไปที่เคาน์เตอร์แบรนด์ Shiseido และร้านค้าออนไลน์ ราคาก็ปานกลางสบายกระเป๋า 1,300 บาท

6. ZA TRUE WHITE POVERBLOCK UV SPF40 PA+++

รีวิวกันแดดทาหน้า

ต้องบอกเลยว่ารีวิวกันแดดสูตรนี้มันเลิศมาก เพราะสามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้ทั้งใบหน้าและผิวกายในหลอดเดียว ซึ่งในหลอดเดียวมีคุณสมบัติของสารกันแดดครบเลยก็ว่าได้ ทั้ง Titanium Dioxide และ Zinceoxide สารกันแดดที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสีได้ทุกสัดส่วนของร่างกาย

นอกจากนี้ก็ยังมีสารกันแดดอีกตัวคือ Octyl Methoxycinnamate ช่วยดูดซับรังสีให้มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดได้เป็นอย่างดี และยังมีค่า SPF 40PA+++ ช่วยดูแลผิวไม่ให้เกิดความหมองคล้ำ อีกทั้งยังมีสารบำรุงผิวให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นด้วยสาร Mineral และวิตามินอี

เรียกได้ว่าสาวๆ จะได้รับการปกป้องผิวจากแสงแดดแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนก็ว่าได้ หาซื้อได้จาก Boots, watsons และตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป คุณสมบัติสุดปังแต่ราคาแค่ 380 บาท

7.  รีวิวกันแดดทาหน้า EUCERIN SUN FLUID MATTIFYING SPF50+

รีวิวกันแดดทาหน้า

รีวิวกันแดดครีมกันแดดที่มีเนื้อบางเบา ซึมซับเร็ว ใช้แล้วไม่มัน ไม่เหนียวเหนอะหนะแน่นอน เป็นครีมกันแดดที่เหมาะกับสาวผิวผสมและผิวมัน เป็นสูตรที่มาพร้อมนวัตกรรมใหม่ล่าสุด พร้อมสูตรปกป้องผิวที่บอบบางไวต่อแสง สูตรนี้ได้มีการเพิ่มแอนตี้ออกซิแดนซ์ธรรมชาติเข้าไปด้วย

จึงทำให้เนื้อครีมซึมซาบได้เร็ว ที่สำคัญไปกว่าการปกป้องผิวจากแสงแดดแล้วคือการบำรุงผิวที่ล้ำลึกสามารถซ่อมได้ถึงระดับเซลล์ผิว ช่วยฟื้นฟูปัญหาผิวให้กลับมาสดใสเหมือนเดิม ทั้งผิวคล้ำเสีย ผิวแดงจากการถูกแดดเผา กระจุดด่างดำ รีวิวกันแดดสูตรนี้สามารถดูแลได้หมด

เพราะมีการทำงานของยูวิฟิลเตอร์ 2 ประเภท คือ ฟิสิคอลฟิลเตอร์ และเคมิคอลฟิลเตอร์ ที่จะช่วยปกป้องรังสียูวีให้ท้อนออกไป ไม่ให้รังสียูวีมาทำร้ายผิวได้ง่ายๆและปกป้องไม่ให้ยูวีซึมซาบลงสู่ผิวจนเกิดปัญหาสุขภาพผิวต่างๆ ตามมา

หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป Boots หรือ watsons ราคา 1,170 บาท

8. L’OREAL UV PERFEOL ADVANCED AQUA ESSENCE LONG UVA SPF50+/PA+++

รีวิวกันแดดทาหน้า

โลชั่นกันแดดที่มีคุณสมบัติครบครันอีกยี่ห้อหนึ่งที่มาพร้อมกับสูตร AQUA Essence Long UVA เนื้อครีมมีความบางเบา เพราะมีเนื้อครีมเป็นสูตรน้ำเมื่อทาแทบไม่รู้สึกว่ากำลังทาโลชั่น เพราะซึมเข้าสู่ผิวเร็วมากนอกจากจะปกป้องผิวจากแสงแดดแล้วยังเป็นโลชั่นกันแดดที่ช่วยปรับสีผิวให้ดูขาวใสและเรียบเนียนเป็นธรรมชาติอีกด้วย

ทั้งยังช่วยลดริ้วรอยต่างๆ จุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ ให้กลับมาสวยใสแถมยังปกป้องผิวจากมลพิษช่วยละการสะสมของสิ่งสกปรกบนใบหน้า และยังสามารถปกป้องผิวได้จนถึงระดับ DNA เป็นรีวิวกันแดดที่สามารถฟื้นฟูบำรุงสภาพได้ถึงนานถึง 12 ชั่วโมงเลยทีเดียว คือทาครั้งเดียวปกป้องผิวจากยูวีเอและยูวีบีได้ตลอดทั้งวัน

หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป Boots หรือ watsons ราคาก็แสนจะสบาย 390 บาท

9.  รีวิวกันแดดทาหน้า BIORE UV PERFECT MILK SPF50+ PA+++

รีวิวกันแดดทาหน้า

โลชั่นกันแดดที่สาวๆ ชื่นชอบเหตุผลคือเป็นโลชั่นกันแดดเนื้อนมที่มีเนื้อครีมบางเบาซึมซาบเร็ว และสามารถทาได้ทั้งใบหน้าและผิวกายที่สำคัญยังเป็นสูตรพิเศษสามารถกันน้ำ กันเหงื่อได้ด้วย ไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนโลชั่นทั่วไปแน่นอน มีค่ากันแดดที่สูง คือ SPF50+ PA+++

เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ชอบอยู่กลางแดดนานๆ เช่น เล่นกีฬา หรือต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานานๆ จึงมั่นใจได้เลยว่าหากใช้โลชั่นสูตรนี้ผิวของสาวๆ จะไม่เสียอย่างแน่นอน

สามารถซื้อได้จากห้างสรรพสินค้าทั่วไป Boots, watsons, 7-11 ราคา 265 บาท

10. BANANA BOAT ULTRA PROTECT SUNSCREEM LOTION SPF50 PA+++

รีวิวกันแดดทาหน้า

โลชั่นกันแดดสูตรนี้บอกเลยว่าเหมาะสำหรับผิวที่ต้องใช้งานทุกวัน เนื้อครีมบางเบา นุ่มเนียนเมื่อทาแล้วสบายผิว เพราะเป็นสูตรที่ซึมสู่ผิวเร็วมาก เป็นสูตรที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ วิตามินอีและซี จึงช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้มากถึง 50 เท่าเลยทีเดียว

เป็นโลชั่นที่ปกป้องผิวจากแสงแดดได้เป็นอย่างต่อให้แดดแรงจ้า หรือฝนตกสักแค่ไหนก็ไม่หวั่นเพราะเป็นโลชั่นสูตรกันน้ำที่สาวๆ หลงรักนั่นเอง มีขายที่ ห้างสรรพสินค้าทั่วไป Boots หรือ Watsons ราคา 217 บาท

นี่คือ 10 รีวิวกันแดดทาหน้า ที่สาวๆ ส่วนใหญ่นิยมใช้เพื่อดูแลผิวให้ห่างไกลจากแสงแดด รับรองได้เลยว่าทุกแบรนด์ใช้แล้วเห็นผลอย่างแน่นอน แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ดีควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่ตรงตามความต้องการของผิวจะดีที่สุด หรืออาจจะใช้ตามสถานการณ์ที่เราเป็นอยู่ก็ได้ คือเลือกใช้ตามค่า SPF

หากเราอยู่ในกลางแจ้งแสงแดดร้อนๆ แต่ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF น้อยก็ไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้นหากสาวๆ คนไหนชื่นชอบสูตรไหนหรือคิดว่าเหมาะกับเรามากที่สุดก็หาซื้อมาใช้ได้นะ เรื่องราคาก็แสนจะสบายกระเป๋าที่สำคัญมันคุ้มค่าคุ้มราคาอย่างมาก บางสูตรราคาอาจจะสูงแต่ผลที่ได้อันนี้คุ้มเกินคุ้มจริงๆ นะ เพราะบางสูตรนอกจากจะปกป้องผิวจากแสงแดดแล้วยังช่วยปรับสภาพผิว ช่วยลดกระจุดด่างดำต่างๆ ให้ลดเลือนลงอีกด้วย ดีขนาดต้องหามาติดกระเป๋าได้แล้วนะ


ประโยชน์ของครีมกันแดดแต่ละประเภท และความแตกต่างของครีมกันแดดที่คุณควรรู้

รีวิวกันแดดทาหน้า

นอกจาก รีวิวกันแดดทาหน้า 10 แบรนด์ที่แนะนำกันไปแล้ว ลองมาดู ประโยชน์ของครีมกันแดด แต่ละประเภท และความแตกต่างของครีมกันแดดที่คุณควรรู้ เพราะครีมกันแดดมีอยู่มากมายในท้องตลาด แต่ใครล่ะที่จะรู้บ้างว่า การเลือกใช้ครีมกันแดด มีประโยชน์อย่างไร

โดยครีมกันแดดนั้นสามารถปกป้องการทำลายเซลล์ผิวหนังที่เกิดจากรังสีอัลตร้าไวโอเลตในแสงแดดได้ ซึ่งเจ้ารังสีอัลตร้าไวโอเลตนี้เป็นต้นเหตุของมะเร็งผิวหนังในคน และยังทำให้เกิดการสร้างเม็ดสีใต้ผิวหนังซึ่งทำให้ผิวคล้ำขึ้น แต่คนเอเชียมีโอกาสที่จะเกิดมะเร็วผิวหนังต่ำ เพราะส่วนใหญ่จะมีเซลล์เม็ดสีอยู่แล้ว ดังนั้นการใช้ครีมกันแดดของเรา จึงจะเน้น ประโยชน์ของครีมกันแดด ไปที่การป้องกันจุดด่างดำบนใบหน้า และผิวหนังเสียส่วนมาก

ประโยชน์ครีมของกันแดด แต่ละประเภท แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ  ดังนี้

รีวิวกันแดดทาหน้า

1. CHEMICAL SUNSCREEN

ครีมกันแดดแต่ละประเภทก็ต่างกันไป เรามาเริ่มกันที่ประเภทแรก คือ ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีซะส่วนใหญ่ ซึ่งจะทำหน้าที่ในการปกป้องแสงแดด โดยการทำงานของประเภทนี้คือดูดซับรังสีแสงแดดเข้าไปในผิว แต่จะเก็บได้ไม่นานเพราะหลังจากดูดแสงแดดได้สักพัก สารเคมีที่ทีอยู่ก็จะเสื่อมสภาพ จึงทำให้ต้องทาครีมเพิ่มทุกๆ 2-3 ชั่วโมง และการเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง นั่นแปลว่าจะมีส่วนผสมของสารเคมีในปริมาณมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณผิวหนังได้

2. PHYSICAL SUNSCREEN

ประเภทที่สองคือครีมกันแดดที่มีผสมไปด้วยสารที่สามารถสะท้อนรังสีได้อย่าง UVA และ UVB โดยสารประเภทนี้จะระคายเคืองกับผิวหนังน้อยกว่าสารประเภทแรก แต่ข้อเสียคือ ครีมกันแดดประเภทนี้จะไม่สามารถให้ SPF ที่สูงได้ และอีกอย่างคือเมื่อทาประเภทนี้แล้วบนผิวหนังแล้ว หน้าจะสีขาวแปลกออกไปเพราะสารที่เคลือบบนในครีมจะอยู่บนผิวหนัง ซึ่งไม่เหมาะกับคนหน้ามันหรือคนที่เป็นสิว เพราะมีการดูดซึมของสารสู่ผิวน้อยมาก

3. CHEMICAL-PHYSICAL SUNSCREEN

เป็นประเภทที่นำข้อดีของแต่ละประเภทมาผสมกัน และพยายามนำข้อเสียที่พบออกไป โดยประเภทนี้มี SPF ปานกลาง และซึมเข้าผิวได้ค่อนข้างดี ซึ่งก็มีหลายแบรนด์ที่พยายามทำประเภทนี้ออกมาเพื่อตอบสนองคนหลายๆ กลุ่ม


รีวิวกันแดดทาหน้า พร้อมฟื้นฟูผิวเร่งด่วน 5 วิธีง่ายๆ ปกป้องฟื้นฟูผิวไหม้จากแสงแดด

รีวิวกันแดดทาหน้า พร้อมฟื้นฟูผิวเร่งด่วน 5 วิธีง่ายๆ ปกป้องฟื้นฟูผิวไหม้จากแสงแดด

ฟื้นฟูผิวจากแดดเร่งด่วน 5 วิธีง่ายๆ ปกป้องฟื้นฟูผิวไหม้จากแสงแดด ใครๆ ก็รู้ว่าแสงแดดเป็นศัตรูต่อผิวสักแค่ไหน เพราะแดดคือตัวร้ายที่ทำลายความอ่อนเยาว์ของผิวหนังเป็นอันดับแรกๆ แสงแดดในบ้านเราเพียงแค่เดินในที่แจ้งก็อาจจะทำให้ผิวของคุณสาวๆ ไหม้เกรียมได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ซึ่งผิวไหม้ก็คือผิวเสีย เซลล์ของผิวที่ชุ่มชื้นก็แห้งกร้านและอาจจะเสื่อมกลายเป็นเซลล์ผิวตาย หลุดลอก หมองคล้ำ ดำ แต่ถ้าจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวต้องพบเจอกับแสงแดดเลยก็เห็นจะไม่ได้ ตราบใดที่คุณสาวๆ ไม่ใช่แวมไพร์ที่มีชีวิตอยู่เฉพาะตอนกลางคืน ถ้าเช่นนั้นเราคงต้องมาเรียนรู้และปฏิบัติการทวงผิวสวยๆ คืนจากความไหม้เกรียมและปกป้องผิวจากแสงแดดกันแล้ว

1. ครีมกันแดดปราการปกป้องผิว

ครีมกันแดดปราการปกป้องผิว

เมื่อพูดถึงผิวกับแสงแดดจะไม่เอ่ยถึงผู้ช่วยตัวสำคัญที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างไร ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดคือสุดยอดเคล็ดลับปกป้องผิวของสาวไทยทีเดียว กันแดดที่มีแทบจะทุกวันและทุกฤดูกาล การทาครีมกันแดดจึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เมื่อสาว ๆ ไปเที่ยวชายทะเลเท่านั้น ไม่ว่ามุมใดของประเทศไทย วันหยุดพักผ่อนหรือวันทำงานทุก ๆ วัน ก็ควรจะทา ครีมกันแดด ก่อนออกจากบ้านประมาณ 20 นาทีเป็นอย่างน้อย ครีมกันแดดจะมีประสิทธิภาพได้อย่างดี และมีฤทธิ์ปกป้องผิวของเราได้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง

หลังจากนั้นหากเป็นไปได้ สาวๆ ก็ควรจะหาโอกาสทาครีมกันแดดซ้ำอีกระหว่างวัน เพื่อครีมจะมีประสิทธิภาพปกป้องผิวจากแดดได้ 100% นอกจากนั้นสาวๆ ต้องไม่ลืมดูค่า SPF ของครีมกันแดดที่ใช้ด้วย ในวันที่ต้องออกไปกลางแจ้ง มีกิจกรรมที่จะต้องพบเจอแสงแดดแรงๆ ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 60% จะเหมาะที่สุด

2. เลือกใช้ครีมอโลเวร่า

เลือกใช้ครีมอโลเวร่า

อโลเวร่า คือ สารสกัดที่ได้จากว่านหางจระเข้ ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยสมานผิวได้อย่างดี ในส่วนประกอบของอโลเวร่าจะมีเจลที่ชุ่มชื่น มีฤทธิ์ช่วยในเรื่องผิวที่เกรียมไหม้ และผิวที่แห้งแตกโดยเฉพาะ หลังจากที่สาวๆ ต้องผจญกับแสงแดดมาในระหว่างวัน เมื่อกลับบ้านใช้ครีมที่มีส่วนผสมของอโลเวร่าจะช่วยสมานผิวให้ชุ่มชื่น ฟื้นฟูผิวจากการโดนแดดได้อย่างดี

วิธีการใช้ครีมอโลเวร่าที่ได้ผลก็คือ ให้ทาอโลเวร่าหลังจากอาบน้ำทำความสะอาดผิวแล้ว ถ้าวันไหนที่โดนแดดมากๆ ต้องการช่วยให้ผิวกลับมาชุ่มชื่นอย่างเร่งด่วน อาจจะพอกครีมอโลเวร่าตามตัวและผิวหน้าให้ครีมซึมซาบสู่ผิวให้มากที่สุด ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาทีค่อยล้างออก ผิวจะกลับมาชุ่มชื่นและฟื้นฟูจากความแห้งเกรียมได้อย่างรวดเร็ว 

3. ทาครีมบำรุงประเภทไวท์เทนนิ่ง

ทาครีมบำรุงประเภทไวท์เทนนิ่ง

เมื่อผิวคล้ำมากๆ จากแสงแดด สาวๆ จำเป็นที่จะต้องหาตัวช่วยและตัวช่วยที่จะทำให้ผิวของสาวๆ กลับมาขาวใสเป็นประกายได้อย่างรวดเร็วก็คือ ครีมไวท์เทนนิ่ง ควรใช้ไวน์เทนนิ่งทาผิวเป็นประจำทุกๆ วัน เพราะผลิตภัณฑ์ครีมไวท์เทนนิ่งเป็นครีมที่มีฤทธิ์ชั่วคราว เมื่อทาประจำก็จะทำให้ผิวขาวสวย แต่ถ้าละเลยหยุดทา ผิวก็มีสิทธิ์ที่จะกลับมาหมองคล้ำได้

4. ขัดผิวด้วยผลิตภัณฑ์สครับ

ขัดผิวด้วยผลิตภัณฑ์สครับ

การขัดหรือสครับผิวเป็นสิ่งที่จำเป็นถ้าผิวของสาวๆ ถูกแดดทำร้ายรุนแรง เพราะเซลล์ผิวไหม้และตายยังคงติดอยู่บนผิวชั้นนอก ทำให้เซลล์ผิวใหม่เผยขึ้นมาได้ยาก และเกิดความผิดปกติของผิวหนังได้ การใช้สครับในการขัดผิวจะช่วยให้เซลล์ผิวเก่าหลุดออกรวดเร็วขึ้น แต่ไม่ควรจะทำบ่อยจนเกินไปเพราะผิวจะแห้งเป็นขุยและลอก ควรสครับสัปดาห์ละ 1 ครั้งกำลังดี

5. เข้าสปาบำรุงผิว

เข้าสปาบำรุงผิว

หากมีเวลาว่างการเข้าสปาอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้งจะช่วยทำให้ผิวได้ผ่อนคลาย ได้รับการปรนนิบัติครบทุกขั้นตอน ทั้งการทำความสะอาด ผลัดเซลล์ผิว บำรุงผิว การนวดให้เลือดไหลเวียน ผิวมีเลือดฝาด และขั้นตอนบำรุงผิวอีกมากมาย

ถ้ารักผิวและอยากอ่อนเยาว์ ขาวใสไปนานๆ อย่าลืมปกป้องผิวของสาวๆ จากแสงแดดและความไหม้แห้งเกรียม ก่อนที่จะสายไป


อ้างอิง:

Sunscreen and Your Morning Routine : https://www.hopkinsmedicine.org/health/wellness-and-prevention/sunscreen-and-your-morning-routine

BENEFITS OF SUNSCREEN : https://www.katesomerville.com/us/en/blog/5-benefits-of-sunscreen.html

คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง ให้ห่างไกลสิวที่คุณควรรู้

การทำความสะอาดด้วย คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง เป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการดูแลผิวสุขภาพดี ช่วยขจัดน้ำมันบนพื้นผิวและเศษซากอื่นๆ ที่อาจสะสมเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งส่งผลให้เกิดการอักเสบของผิวหนังและปัญหาผิวอื่นๆ คลีนเซอร์มีหลายประเภท แต่ละแบบก็มีข้อดีและข้อเสียต่างกันไป ซึ่งวันนี้จะมาแนะนำ คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอาง แบรนด์ดังที่ใช้แล้วห่างไกลสิวกันอย่างแน่นอน


คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอาง แบบไหนดีที่สุดและใช้แล้วห่างไกลสิว

คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง

คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอาง ห่างไกลสิวที่คุณควรรู้ เพราะการล้างเครื่องสำอางออกก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้การแต่งหน้า แต่คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยให้ความสำคัญในส่วนนี้สักเท่าไร เน้นไปที่การแต่งหน้ามากกว่า พอเกิดปัญหาผิวก็โทษตัวเครื่องสำอางว่าไม่ดี ทำให้เกิดการอุดตัน 

ซึ่งปัญหาเหล่านั้นจะหมดไปถ้าเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เจลล้างหน้าลดสิวหน้าใสหรือคลีนซิ่ง วันนี้แอดมินจึงนำคลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอาง สุดยอดตัวช่วยทำความสะอาดใบหน้าของแต่ละประเภทมาบอกกัน จะมีอะไรบ้าง ตามไปดูได้เลย

1. คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง CLEANSING OIL

คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอาง เริ่มกันที่ประเภทคลีนซิ่งประเภทออยล์กันก่อนเลย ซึ่งนี่ก็ถือเป็นเทรนด์การใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มาแรงมากในขณะนี้ โดยเฉพาะกับสาวๆ ที่ชอบแต่งหน้าเป็นประจำ เพราะการใช้คลีนซิ่งออยล์ในการล้างหน้านั้น สามารถทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก และยังมีความอ่อนโยนต่อผิวหน้าแบบสุดๆ

คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง

และวันนี้ขอเสนอ POSITIF Phyto Crystal Purifying Cleansing Oil คลีนซิ่งออยล์จากแดนปลาดิบที่ใครๆ ก็แนะนำ เนื้อเป็นครีมที่มีคริสตัลใสๆ เป็นส่วนผสม และยังมีสารที่สกัดมาจากพืชธรรมชาติของประเทศญี่ปุ่นถึง 8 ชนิดอีกด้วย และยังมีตัวช่วยในการฟื้นฟูผิวที่แห้ง คล้ำเสีย ให้ดูผ่องใสอีกด้วย มี Avocado Oil ที่จะช่วยลบเลือนจุดด่างดำออกไปได้อย่างหมดจด

คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง

และ DHC Deep Cleansing Oil คลีนซิ่งออยล์ที่ได้รับความนิยมจากสาวๆ มาอย่างยาวนาน คลีนซิ่งออยล์ระดับตำนานอีกหนึ่งตัว ที่สามารถช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกและเครื่องสำอางบนผิวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ล้างได้แม้จะเป็นเครื่องสำอางที่กันน้ำ อีกทั้งยังมีความอ่อนโยนต่อผิวค่อนข้างสูงเนื่องจากปราศจากส่วนผสมของ Mineral Oil รวมถึงสารเคมีอันตรายอย่างแอลกอฮอล์ น้ำหอม และพาราเบน จึงมั่นใจได้เลยว่าจะช่วยทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึกจริงๆ เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่ไม่ควรพลาด


2. สุดยอดของ CLEANSING WATER

ต่อมาคือ คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอาง ชนิดน้ำ อย่างที่รู้กันว่า คลีนซิ่งวอเตอร์มีคุณสมบัติที่ช่วยที่ดึงดูดน้ำมัน และสิ่งสกปรกต่างๆ บนผิวหน้า แต่ยังคงความชุ่มชื้นให้ผิวอยู่ เหมาะกับคนที่มีสภาพผิวมัน ผิวบอบบางง่าย แพ้ง่าย มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย อุดตันง่าย

คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง

แน่นอนว่าตัวแรกจะเป็นแบรนด์ไหนไปไม่ได้นอกจาก Bioderma ซึ่งก็สามารถสร้างกระแสที่ไทยได้ ตั้งแต่ยังไม่วางขาย ซึ่งก็ทำให้สาวๆ ถึงกับต้องพรีออเดอร์กันมาก่อนเลย โดยแบรนด์นี้ได้ออกแบบคลีนซิ่งน้ำออกมา 2 สูตร คือ สูตรสีเขียวที่เหมาะสำหรับคนผิวมัน และอีกตัวที่สามารถครองใจสาวๆ ไปได้คือสูตรสีชมพูนั่นก็คือ Bioderma Sensibio H2O Make-up Removing Micelle Solution โดยตัวนี้จะเหมาะกับสาวที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย โดยจะมีลักษณะเป็นน้ำใสๆ คล้ายน้ำเปล่า ซึ่งก็เป็นเทคโนโลยีที่สามารถขจัดสิ่งสกปรกออกไปได้โดยที่ไม่ต้องล้างน้ำซ้ำ ดีงามและโด่งดังมากสำหรับผลิตภัณฑ์ตัวนี้สามารถขจัดสิ่งสกปรกได้หมดเกลี้ยงจนสาวๆ ทำให้เป็นการรักษาสิวที่ผิวหน้า ที่สาวๆต้องทึ่ง ทำให้มีการบอกต่อแชร์และมีกระแสแรงในโลกโซเชียลอย่างมาก ใครที่เคยลองผลิตภัณฑ์อื่นแล้วยังไม่พอใจ อาจจะจบด้วยความดีงามคุ้มค่าด้วยประสิทธิภาพทำความสะอาดล้ำลึกของตัวนี้เลยก็ได้

คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง

อีกแบรนด์ คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอาง จากการ์นิเย่ Garnier Micellar Cleansing Water ตัวนี้มีไมเซล่าเทคโนโลยีทำหน้าที่เสมือนแม่เหล็ก ช่วยดูดเครื่องสำอางกันน้ำ สิ่งสกปรก และความมัน ออกจากผิวหน้าได้อย่างหมดจดเช่นกัน มาพร้อมเนื้อสัมผัสแบบน้ำอ่อนโยนไม่ระคายเคืองต่อดวงตาและปาก ปราศจากน้ำหอม เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว รวมไปถึงผิวที่มีแนวโน้มแพ้ง่าย มีหลายสูตรเลือกให้เหมาะกับผิวได้เลย ที่สำคัญราคาไม่แพงและหาซื้อได้ง่าย


3. คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง สุดยอดของ CLEANSING WIPE

อีกรูปแบบหนึ่งของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอางที่มาในรูปแบบแผ่นที่พกพาไปได้ทุกๆ ที่ สะดวกในการใช้งานไม่ว่าสาวๆ อยากจะทำความสะอาดใบหน้าระหว่างวัน หรือพกพาเวลาไปเที่ยวทริปต่างจังหวัดหรือที่ต่างๆ เป็นอีกตัวเลือกที่ช่วยให้การทำความสะอาดผิวจากเครื่องสำอางง่ายขึ้นได้

คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง

ไม่ต้องเกริ่นอะไรให้ยาวเหยียดแล้ว สำหรับ Bifesta Cleansing Brightup Sheet แผ่นเช็ดเครื่องสำอาง และทำความสะอาดผิวตัวดังของ Bifesta อันนี้จะเป็นสูตรเพื่อผิวกระจ่างใส มีส่วนช่วยในเรื่องของการทำความสะอาดผิว พร้อมขจัดเซลล์ผิวเก่า และสิ่งสกปรกได้อย่างหมดจด และยังเป็นแผ่นคอตตอนอ่อนนุ่ม ให้ความรู้สึกนุ่มนวลต่อผิว ให้ความรู้สึกสดชื่นสบายผิว ไม่เหนอะหนะผิว ทั้งยังอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิวขณะเช็ด ที่สำคัญคือเป็นสูตร Oil-free ไม่มีน้ำหอม และสี ผิวแพ้ง่ายสามารถใช้ได้แน่นอน

คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง

Purevivi Cleansing Sheet คลีนซิ่งไวป์ตัวดังอีกแบรนด์ แน่นอนว่านี่เป็นของถูกและเป็นของดี ที่ใครๆ ต่างก็การันตีเรื่องคุณภาพ ที่ทำความสะอาดดีงามต่อผิวหน้ามากๆ และยังมีราคาที่สบายกระเป๋าอีกด้วย สรรพคุณคือเต็มไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ 12 ชนิด และยังผสมไปด้วยว่านหางจระเข้ ที่จะช่วยในการลดอาการอักเสบ และอาการระคายเคืองที่ผิว รวมทั้งยังมีไฮยารูรอนที่จะมาช่วยเพิ่มเติมความชุ่มชื่นให้ผิว ซึ่งก็ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น อิ่มน้ำได้ดีอีกด้วย


4. สุดยอดของ EYE & LIP REMOVER

คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอาง สำหรับคนที่แต่งหน้า ทาปาก ถ้าล้างไม่ดีผิวปากก็พังได้ง่ายๆ เหมือนกัน ดังนั้นใครคนไหนที่ชอบแต่งตาชนิดแบบชุดใหญ่ และยังทาลิปสติกหนาเตอะ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ล้างเครื่องสำอางบริเวณตาและปากต่างหาก เพราะเป็นบริเวณที่ค่อนข้างบอบบาง และถ้าทำควรสะอาดไม่ดีก็จะทำให้ผิวเกิดริ้วรอยได้ง่าย

คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง

ซึ่งควรเลือกตัวนี้เลย MAYBELLINE EYE & LIP MAKEUP REMOVER มาในขวดสีขาวตัดฟ้าที่สาว ๆ รู้จักกันดี ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีมานานคู่กับแบรนด์ อยู่มายาวนานคงทนก็เพราะคุณสมบัติเด่น เหมาะที่จะใช้ล้างเครื่องสำอางที่มีคุณสมบัติกันน้ำ ออยส์จะช่วยขจัดเครื่องสำอางที่ล้างออกยากได้อย่างดี ทำให้ลดเลือนสิวได้ ทำให้สิวยุบเพราะผิวหน้าที่สะอาดปราศจากสิ่งสกปรกแม้ในรูขุมขนเล็กๆ

คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง

อีกแบรนด์ที่แนะนำ นั่นก็คือ L’Oreal Gentle Lip And Eye Remover นั่นเอง เพราะคลีนซิ่งตัวนี้มีความสามารถในการขำระล้างทำความสะอาดหิวตา และริมฝีปากได้เป็นอย่างดี สูตรอ่อนโยนเหมาะสำหรับแม้บริเวณรอบดวงตาที่ระคายเคืองง่าย


5. สุดยอดของ CLEANSING FOAM

ถึงแม้ว่าจะล้างเครื่องสำอางออกไปหมดแล้ว แต่หากลืมล้างหน้าอีกรอบละก็ยังไงก็เป็นสิวแน่นอน ซึ่งควรใช้คลีนซิ่งโฟมปิดท้ายเพื่อทำความสะอาดผิวหน้า

คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง

สำหรับตัวแรกที่แนะนำก็คือ Senka Perfect Whip Foam แบรนด์ดังจากญี่ปุ่น ที่เป็นเนื้อวิปโฟม ช่วยล้างหน้าได้สะอาดมากๆ ยังสามารถสร้างความฟินได้อีกด้วย มีเนื้อนุ่มฟองละมุนต่อผิวหน้า เพราะฟองวิบโฟมมีความนุ่มมาก และยังมีส่วนผสมที่ทำให้หน้าไม่แห้งตึงอีกด้วย รวมทั้งช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยล่ะ

คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง

อีกแบรนด์จากญี่ปุ่นเช่นกัน SHISEIDO Clarifying Cleansing Foam โฟมล้างหน้าทำความสะอาดสูตรพิเศษนี้ประกอบด้วย Micro White Powder และ White Clay ที่สามารถขจัดสิ่งสกปรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยโฟมที่นุ่มช่วยขจัดเซลล์ผิวที่หมองคล้ำ มลพิษและสารออกซิไดซ์ที่เป็นสาเหตุแห่งริ้วรอยแห่งวัย ทำให้เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

การทำความสะอาดของใบหน้าคือสุดยอดของการดูแลและเป็นกุญแจไขความงามที่ผู้หญิงทุกคนรู้กันดี นอกจากขั้นตอนในการล้างหน้ากันด้วยโฟมล้างหน้าแล้ว อีกผลิตภัณฑ์ที่ขาดเสียไม่ได้เลยก็คือ คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอาง นั่นเอง ตัวช่วยที่จะทำให้ใบหน้ามีผิวที่สะอาดล้ำลึก และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของคลีนซิ่งที่เรานำมาแนะนำ ใครชอบแบรนด์ไหนก็ไปหาซื้อใช้กันได้


5 ขั้นตอนในการใช้ล้างหน้าที่ถูกต้อง

คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง

นอกจากการเลือกใช้ คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอาง แล้ว ผิวหน้าเป็นเรื่องที่ควรให้ความใส่ใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการแต่งหน้าไปจนถึงขั้นตอนการล้างหน้าที่ถูกต้อง การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะผิวหน้าของเราอาจจะพัง แพ้ง่าย เกิดสิวได้อย่างง่ายดาย วันนี้เราจะแนะนำ 5 ขั้นตอนในการใช้ล้างหน้าที่ถูกต้องฉบับง่ายๆ ให้ทุกคนรู้กัน ขั้นตอนก็มีดังนี้

  1.   เช็ดเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ด้วย คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอาง
  2.   จากนั้นล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น อาจจะใช้โฟมล้างหน้าเพิ่มเพื่อล้างเครื่องสำอางให้สะอาดหมดจดบนใบหน้า
  3.   ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง เพื่อปิดรูขุมขนและช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
  4.   เช็ดหน้าให้แห้ง
  5.   เมื่อแห้งแล้วให้บำรุงผิวหน้าตามลำดับสกินแคร์ของตัวเอง

การทำความสะอาดเครื่องสำอางนั้นสำคัญพอๆ กับการบำรุงผิวขั้นตอนอื่นๆ หากใครที่ไม่เคยใช้หรือไม่ค่อยได้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอาง ขอแนะนำให้รีบไปหาซื้อมาใช้กันเลย เพราะผิวหน้าที่สัมผัสกับเครื่องสำอางต้องการการทำความสะอาดที่ล้ำลึกยิ่งกว่า ฉะนั้น ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสภาพผิวให้มากที่สุด


อ้างอิง

The Importance of Cleansing : https://www.medifine.co.uk/the-importance-of-cleansing/

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี ? 10 อันดับครีมกันแดดยอดนิยมสำหรับคนไทย 2565

ผลิตภัณฑ์กันแดดช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีที่เป็นอันตรายของดวงอาทิตย์ สิ่งสำคัญคือต้องเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวและการใช้งานของคุณ ครีมกันแดดทำงานโดยการดูดซับรังสียูวีแล้วแตกตัวเป็นโมเลกุลที่ไม่สามารถทะลุผ่านผิวหนังได้และจะช่วยกระจายรังสียูวีไม่ให้ผิวคล้ำเสีย และคำถามที่ทุกคนสงสัย ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี ? วันนี้เราจึงคัด 10 อันดับครีมกันแดดยอดนิยมมาบอกกัน


ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี ? 10 อันดับครีมกันแดดยอดนิยมสำหรับคนไทย 2565

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี 10 อันดับยอดนิยมสำหรับคนไทย 2565 เรามาเริ่มกันด้วยแสงแดดเมืองไทยที่แทบจะกลืนกินผิวเราให้มอดไหม้ได้ในพริบตา ทำให้หลายๆ แบรนด์ได้ตอบสนองความต้องการของสาวๆ ที่ต้องไปเจอกับแดดเมืองไทยทุกเวลา และครีมกันแดดก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยทำให้สาวๆ ขาวขึ้นได้แน่นอน แต่ครีมกันแดดแต่ละตัวก็ให้ผลลัพธ์ และการตอบสนองกับผิวต่างกันอีก

วันนี้เราก็จะมานำเสนอ ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี และเป็นครีมกันแดดยอดนิยมที่ใครได้ทาแล้วก็ปังทุกคนแน่นอน หรือใครที่อยากรู้ว่าตัวไหนใช้แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ก็สามารถหาอ่านรีวิวกันแดดทาหน้าเพิ่มเติมได้เลย

10. DERMA ACTION PLUS SUN FACE FLUID SPF50

ครีมกันแดด DERMA ACTION PLUS SUN FACE FLUID SPF50

โดยครีมตัวนี้เป็นครีมกันแดดที่ใช้ทาใบหน้า ซึ่งมีค่า SPF 50 และครีมกันแดดมีส่วนผสมที่เป็นโลชั่นน้ำนม แถมเนื้อครีมยังมีส่วนผสมที่เบาบางมากถึงมากที่สุด ทำให้ครีมกันแดดตัวนี้สามารถซึมซับไปในผิวได้เร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะใบหน้า และที่สำคัญคือเหมาะกับสาวๆ ในแดนสยามที่สุด

9. SUNPLAY SUPER BLOCK SPF50+ 

ครีมกันแดด SUNPLAY SUPER BLOCK SPF50+ 

ครีมกันแดดทาหน้าอีกตัว นั่นก็คือ Sunplay Super Block มีค่า SPF มากกว่า 50 ซึ่งเป็นโลชั่นกันแดดสูตรน้ำ โดยครีมตัวนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปกป้องผิวจากแสงแดดของสาวๆ ได้ด้วยสูตร Solarex-3 ที่เป็นนวัตกรรมมาใหม่จากแดนอาทิตย์อุทัย ซึ่งก็สามารถปกป้องผิวหนังจากแสงแดดได้เป็นอย่างดี แถมยังลดเลือนริ้วรอย พร้อมทั้งยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังบริเวณใบหน้าได้ดีอีกด้วย

8. EUCERIN SUN DRY TOUCH ACNE OIL CONTROL

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี EUCERIN SUN DRY TOUCH ACNE OIL CONTROL

ครีมกันแดดตัวนี้เป็นครีมกันแดดเนื้อเจลที่สามารถซึมเข้าผิวหนังได้ง่าย ไม่หนักใบหน้า และยังไม่ทำให้เกิดการอุดตัน ไม่เกิดสิวซึ่งเหมาะมากๆ สำหรับสาวผิวมันหรือสาวที่เป็นสิว และตัวนี้ยังมีสารช่วยควบคุมความมันที่ชื่อว่าคาร์นิทีน ซึ่งก็ทำให้ครีมตัวนี้เป็นครีมกันแดดที่ไม่ทำให้หน้ามันง่าย หรือพูดง่ายๆ ว่าช่วยลดความมันนั่นแหละ

7. MizuMi UV Water Serum SPF 50+

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี MizuMi UV Water Serum SPF 50+

ครีมกันแดดทาหน้าจากแบรนด์ MizuMi ตัวดัง สูตรเซรั่มที่เนื้อสีขาวบางเบา เกลี่ยง่าย ไม่ทำให้ผิวหน้าอุดตัน ทาได้บ่อย ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี มีสารสกัดจากดอกยูคิโนะชิตะ วิตามิน C-IP วิตามินอี ครีมกันแดดปราศจากสารก่อภูมิแพ้ ธรรมชาติ ปราศจากน้ำมัน ไม่ใส่สารพาราเบน เรียกได้ว่าเป็นครีมกันแดดทาหน้าที่เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ตลอดจนผิวแพ้ง่ายเลยทีเดียว

6. NIVEA SUN SPRAY PROTECT & REFRESH SPF 50 

ครีมกันแดด NIVEA SUN SPRAY PROTECT & REFRESH SPF 50 

มากับครีมกันแดดที่เป็นในรูปของสเปรย์กันบ้าง โดยจุดเด่นของสเปรย์กันแดดตัวนี้คือ สามารถฉีดสเปรย์แล้วเดินไปออกแดดได้ง่ายๆ เลย ไม่ต้องรอให้ครีมซึมเข้าผิวหนังเหมือนแบบอื่น ซึ่งสเปรย์กันแดดตัวนี้สามารถใช้ได้ทั้งใบหน้าและผิวกาย ซึ่งสเปรย์ตัวนี้ก็กันน้ำได้ ทำให้ไม่ทิ้งคราบรอยบนเสื้อผ้าเลย ใช้สะดวก และด้วยความที่เนื้อสเปรย์เป็นน้ำ ซึ่งทำให้ซึมสู่ผิวหนังได้ไว ทำให้เวลาใช้แล้วจะสบายตัวมาก

5. PROVAMED SUN FACE SPF 50 

ครีมกันแดด PROVAMED SUN FACE SPF 50 

ครีมกันแดดทาหน้าตัวนี้จะเหมาะมากๆ กับคนที่แพ้ผิวง่าย และคนที่ผิวบอบบางแพ้สารเคมี เพราะจากที่ผู้ผลิตได้กล่าวมาว่า ครีมตัวนี้เป็นครีมกันแดดชนิดที่ปราศจากสารเคมีเจือปน มีเนื้อครีมที่ละเอียด นุ่ม บางเบา และสามารถซึมเข้าสู่ผิวหน้าได้เร็ว แถมเนื้อครีมเป็นสีเนื้อ ซึ่งจะทำให้ครีมสามารถกลมกลืนกับสีผิวของหลายๆ คนได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็สามารถทาเพื่อกลบริ้วรอยได้อีกด้วย 

4. Biore UV Aqua Rich Whitening Essence SPF 50+

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดีBIORE UV AQUA RICH WHITENING ESSENCE SPF 50+

ครีมกันแดดสูตร Micro Defense นวัตกรรมขั้นสุดจากญี่ปุ่น ปกป้องผิวแม้ร่องผิวลึกถึงชั้นคอลลาเจน  ไม่ให้ผิวแก่ก่อนวัย กันน้ำกันเหงื่อ และเป็นกันแดดหน้าที่ทาแล้วบางเบา เป็นสูตรน้ำเนื้อเอสเซนส์ ซึ่งจะไม่ทำให้หน้าแก่ก่อนวัยจากแสงแดดตัวร้าย และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหน้า แต่ยังสามารถกันแดดได้ และยังเป็นประโยชน์ต่อผิวหน้า ซึ่งมีค่า SPF สูง

3. SPECTRABAN SUN BLOCK CREAM SPF 60

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี SPECTRABAN SUN BLOCK CREAM SPF 60

มากับครีมกันแดดที่เหมาะกับคนเป็นสิวมากๆ ซึ่งในครีมกันแดดตัวนี้ มีส่วนผสมของสารที่ช่วยในการป้องกันรังสียูวีได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับคนหน้ามัน อาจไม่ชอบใจเพราะตัวนี้เป็นเนื้อครีม ซึ่งกว่าจะซึมเข้าสู่ผิวหน้าช้ากว่าแบบอื่นไปหน่อย แต่ตัวนี้ใช้แล้วไม่อุดตันแน่นอน

2. ZA TRUE WHITE POWER BLOCK UV SPF50 PA++

ครีมกันแดด ZA TRUE WHITE POWER BLOCK UV SPF50 PA++

เป็นครีมกันแดดที่เต็มไปด้วยความสามารถในการกันแดดที่ยอดเยี่ยม แถมยังมีความสามารถในการที่จะคุมความมันบนใบหน้าได้ดี โดยเนื้อครีมกันแดดตัวนี้จะมีความละเอียด นุ่ม เกลี่ยบนใบหน้าได้ง่าย เมื่อทาแล้วจะเรียบเนียนไปกับผิวหน้าได้ดี แต่ถ้าใครใช้ตัวนี้ก็ควรที่จะล้างหน้าให้สะอาดทั้งก่อนใช้และหลังใช้ครีม เพราะอาจจะเกิดสิวอุดตันได้

1. BANANA BOAT ULTRA PROTECT SUN SPF50 

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี BANANA BOAT ULTRA PROTECT SUN SPF50 

เป็นโลชั่นครีมกันแดดขั้นเทพที่สามารถกันแดดแรงๆ ได้ดีมาก (โดยเฉพาะเมืองไทย) โดยโลชั่นกันแดดตัวนี้สามารถกันเหงื่อที่มาจากการเล่นกีฬา หรือออกแดดแรงๆ ได้เป็นอย่างดี เนื้อโลชั่นมีความบางเบา ซึมซับเข้าสู่ผิวหนังเร็ว ไม่เหนียว และที่สำคัญโลชั่นตัวนี้จะไม่ไปอุดตันที่รูขุมขน แถมยังมีส่วนผสมของว่านหางจระเข้และวิตามินอี ซึ่งจะช่วยให้ผิวหน้าและผิวกายเรียบเนียนขึ้น

เป็นอย่างไรบ้างกับ ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี และเป็นครีมกันแดดยอดนิยม 10 ยี่ห้อ ที่จะทำให้คุณท้าแดดได้อย่างมั่นใจ แดดแรงแค่ไหนก็ไม่หวั่น ใครชอบแบรนด์ไหนก็ไปหาซื้อแล้วลองใช้กันดูได้ เพราะแสงแดดนี่เป็นตัวทำร้ายผิวของเราอย่างมากทีเดียว ทั้งทำให้ผิวคล้ำและทำให้ผิวเหี่ยวย่น รวมถึงโรคผิวหนัง ดังนั้น ก่อนออกจากบ้านหรืออยู่ในบ้านก็ควรทากันแดดกันอย่างสม่ำเสมอ


3 ประเภทค ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี ที่คุณควรรู้ก่อนเลือกซื้อ

3 ประเภทค ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี ที่คุณควรรู้ก่อนเลือกซื้อ

นอกจากการเลือกซื้อ ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี อีกหนึ่งข้อควรรู้ก็คือ ประเภทของครีมกันแดด เพราะครีมกันแดดแต่ละประเภทก็จะให้ประสิทธิภาพที่ต่างกัน โดยประเภทของครีมกันแดด แบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้

1. ครีมกันแดดดูดซับรังสี

โดยครีมกันแดดประเภทนี้ จะประกอบด้วยสารเคมีเป็นส่วนมาก และจะมีคุณสมบัติในการดูดซับรังสีได้เป็นอย่างดี ทำให้รังสีบางส่วนที่มาจากแดดไม่สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง แต่ก็จะปล่อยรังสีอื่นออกมาแทน ซึ่งก็ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง โดยครีมกันแดดประเภทนี้มีข้อดีอยู่มาก

  • ไม่มีสีให้เห็น หรือไม่ก็เป็นสีอ่อนที่เข้ากันผิวหน้าได้ดี
  • มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี
  • มีราคาที่ถูกกว่าแบบอื่น

ส่วนข้อเสียก็มีเช่นกัน

  • บางคนอาจเกิดอาการแพ้สารเคมีได้ ไม่เหมาะกับคนผิวบาง
  • ต้องทาครีมทุกๆ 1-2 ชั่วโมง ถ้าต้องออกแดดเป็นเวลานาน เพราะสารที่ผสมจะดูดซับรังสีไว้ในปริมาณที่จำกัด ถ้าดูดซับจนเกินกำลังแล้วก็จะปล่อยให้เข้าไปที่ผิวโดยตรงเลย

2. ครีมกันแดดสะท้อนรังสี

โดยครีมกันแดดประเภทนี้ จะมีส่วนผสมหลักของสารประกอบที่เป็นออกซิเจน โดยส่วนมากจะเป็นสีขาวและจะมีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันรังสี UV ได้ดีมากๆ การทำหน้าที่ของครีมประเภทนี้ คือ จะสะท้อนและกระจายรังสี UVA กับ UVB ออกไปจากผิวหนังเกือบทั้งหมด และภายหลังจากการทา เนื้อครีมบางส่วนจะถูกดูดซึมเข้าไปในผิวหนังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้ครีมกันแดดประเภทนี้จึงไม่ค่อยทำให้เกิดอาการแพ้

ข้อดีของครีมกันแดดประเภทนี้ คือ

  • สลายตัวยาก ทำให้ไม่ต้องทาบ่อยๆ
  • ไม่ระคายเคืองต่อผิว เหมาะสำหรับคนผิวบาง

3. ครีมกันแดดแบบผสม

ครีมกันแดดแบบผสมจะมีส่วนผสมของสารที่เต็มไปด้วยการดูดซับ และการสะท้อนรังสีเข้าได้ในตัว อีกทั้งยังช่วยลดผลกระทบจากสารเคมีที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ โดยเนื้อครีมจะมีส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นสีขาว ทำให้น่าใช้งานมากขึ้น ดังนั้น ครีมประเภทนี้จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่เก็บเอาข้อดี และตัดข้อด้อยของครีมกันแดดเข้าด้วยกัน และปัจจุบันครีมกันแดดส่วนใหญ่จะเป็นครีมกันแดดแบบผสม รวมถึงในปัจจุบันนี้ยังมีการนำมาผสมเป็นกันแดดรองพื้นเพื่อสามารถช่วยในการปกปิดได้อีกด้วย


ประเภทครีมกันแดด จำแนกตามผิว

ประเภทครีมกันแดด จำแนกตามผิว

  1. Sun Tan คือ ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่หลังจากการทาแล้ว เนื้อครีมจะซึมเข้าไปสู่เซลล์ผิว และจะเปลี่ยนสีผิวให้เข้มขึ้น แต่ประเภทนี้จะไม่เกิดอันตรายต่อเซลล์ผิว 
  2. Sunscreen คือ ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่ทำหน้าที่ในการกรองแสง กรองรังสี ช่วยกระจายและสะท้อนรังสีให้เข้าสู่เซลล์ผิวหนังแบบน้อยที่สุด แถมยังช่วยในการปรับสมดุลสีของผิวอาจจะที่หมองคล้ำลง หลังจากการตากแดดได้อีกด้วย

ประเภทครีมกันแดด จำแนกตามตำแหน่งการทา

ประเภทครีมกันแดด จำแนกตามตำแหน่งการทา

1. ครีมกันแดดทาหน้า

ครีมกันแดดที่ทาใบหน้า ส่วนมากจะมีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์หรือไททาเนียมไดออกไซด์เกือบทั้งหมด เพราะมีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UV ให้ออกไปได้ เหมาะสำหรับการทาผิวในบริเวณที่มีชั้นหนังบาง เช่น ใบหน้า ลำคอ

2. ครีมกันแดดทาลำตัว

ครีมกันแดดที่ทาลำตัว ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมที่เป็นสารเคมีหลายชนิด และจะเกิดการผสมกันระหว่างสารเคมีจึงทำให้เกิดการดูดซับ และสะท้อนรังสี UV โดยประสิทธิภาพการทำงานจะระบุเป็นค่า SPF เสมอ


วิธีเลือกซื้อครีมกันแดด เพื่อการดูแลผิวที่ชัดเจนและตรงจุด

วิธีเลือกซื้อครีมกันแดด เพื่อการดูแลผิวที่ชัดเจนและตรงจุด

ในแสงแดดมีรังสีปะปนอยู่หลากหลายชนิด แต่เราที่รู้จักกันดี และได้ยินกันบ่อยก็คือ อัลตราไวโอเลต (UV)  ซึ่งรังสีตัวนี้จะถูกดูดซับตั้งแต่ชั้นโอโซน ทำให้มีแค่ UVA และ UVB ที่เล็กรอดลงมาที่พื้นโลก 

โดยรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีผลต่อผิวหนังอย่างมาก โดยเฉพาะ UVA ที่มีสามารถทำให้เกิด ริ้วรอย กระ ฝ้า ความแก่ก่อนวัยบนใบหน้าได้ ส่วน UVB จะทำให้เกิดอาการแสบ แดง ไหม้ ของผิวหนังได้ แถมรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้ยังทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ที่จะไปทำลายเซลล์โปรตีนพันธุกรรม ซึ่งจะไปทำให้เกิดเนื้องอกที่ผิวหนังได้

และวิธีที่ดีที่สุดในการพิจารณาว่าครีมกันแดดตัวใดดีที่สุดสำหรับคุณคือการทดสอบก่อนตัดสินใจซื้อ ทาครีมกันแดดที่แขนและขาของคุณ และตรวจดูปฏิกิริยาการถูกแดดเผาในเวลาเพียง 10 นาที หากคุณไม่พบการถูกแดดเผา ครีมกันแดดก็อาจจะใช้ได้


ซื้อ ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี และใช้ครีมกันแดดต้องดูที่อะไรบ้าง?

ซื้อ ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี และใช้ครีมกันแดดต้องดูที่อะไรบ้าง?

  1. ดูที่ SPF ที่จะเป็นตัวบอกกับเราว่า สามารถป้องกัน UVB ได้กี่เท่า ส่วนเจ้า UVA ยังไม่มีค่าที่วัดได้ตามมาตรฐาน โดยปัจจุบันจะนิยมใช้อักษร PA กับเครื่องหมาย + แต่โดยปกติคนไทยจะมีผิวคล้ำ ซึ่งจะมีเม็ดสีที่สามารถป้องกัน UVB ได้ส่วนหนึ่ง ดังนั้นเลือกแบบ SPF ที่มีค่ามากกว่า 15 และเลือก PA++ ขึ้นไปก็พอสำหรับแดดเมืองไทยแล้ว
  2. ดูกิจกรรมที่เราทำทุกวัน ถ้าปกติออกกำลังกลางแจ้งหรือเป็นนักกีฬา มีเหงื่อออกตลอด หรือว่ายน้ำ แม้กระทั่งทำงานในที่กลางแดด ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF ที่สูง และควรเลือกประเภทที่กันน้ำได้จะดีกว่า
  3. ดูที่ปริมาณ ควรเลือกใช้ปริมานที่เหมาะกับเรา ไม่ควรเลือกแบบที่น้อยเกินไป เพราะอาจทำให้ใช้น้อยเกิน และทำให้สารเคมีทำปฏิกิริยากันน้อย ซึ่งจะทำให้ลดคุณภาพผลลัพธ์ลงไป
  4. ดูที่จำนวนครั้งที่ทาต่อวันของเรา ถ้าทำงานอยู่ในออฟฟิศ ในห้องแอร์ ทาวันละครั้งก็เพียงพอ เพราะอาจจะออกแดดบ้าง แต่ถ้าทำงานกลางแดดกลางแจ้ง โดนลมโกรก ควรจะต้องทาเติมบ่อยหน่อย
  5. เมื่อทาแล้วก็ควรอยู่เลี่ยงแดดด้วย อาจจะใส่อุปกรณ์ป้องกันอะไรต่างๆ เนื่องจากครีมกันแดดไม่ได้กันแดดได้ทั้งหมด การป้องกันเสริมก็เป็นเรื่องที่ดี 
  6. ดูครีมที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่ต้องคำนึงถึงยี่ห้อ
  7. ทานอาหารที่สามารถช่วยในการสร้างเซลล์ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระได้ จำพวกวิตามิน เกลือแร่ ซึ่งมีอยู่ในผัก และผลไม้

วิธีเลือกใช้ครีมกันแดดสำหรับผู้ที่ออกแดดประจำ

วิธีเลือกใช้ครีมกันแดดสำหรับผู้ที่ออกแดดประจำ

ในคนเอเชียจะไม่นิยมผิวคล้ำ และไม่นิยมการอาบแดด ดังนั้น การป้องกันอันตรายจากแสงแดดที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงที่ที่มีแสงแดดจัด โดยเฉพาะในช่วงเวลา 13.00-15.00 น.โดยการสวมเสื้อผ้าปกคลุม ใส่แว่นกันแดด สวมหมวกปีกกว้าง หรือกางร่มเสมอ แต่ถ้าใครที่ต้องทำงานกลางแดด หรือเล่นกีฬากลางแจ้ง ควรเลือกวิธีใช้ครีมกันแดดดังนี้ 

  1. เลือกแบบที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป
  2. เลือกแบบที่มีสารเคมีที่สามารถกัน UVA ได้ดี
  3. เลือกสารที่สามารถกันน้ำได้

ก่อนออกแดดควรทากันแดดให้หนาเพียงพอ แต่ก็ไม่ต้องหนาเกินไปเพราะอาจจะทำให้อุดตัน ทาก่อนออกแดดสัก 15 นาที และอาจทาซ้ำทุก 1-2 ชม. ถ้าต้องออกแดดตลอด ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการกันแดดได้มากถึง 2-3 เท่า แต่คนเราส่วนใหญ่จะทาครีมกันแดดในปริมาณน้อยกว่าที่ควรจะเป็นจึงอาจจะทำให้การทากันแดดไม่ได้ประสิทธิภาพ


อ้างอิง

How to Select, Apply, and Use It Correctly. https://www.webmd.com/children/sunscreen-use-correctly

Sunscreen 101: คู่มือเลือกซื้อและวิธีใช้ครีมกันแดด ฉบับคุณหมอขอแนะนำ. https://thestandard.co/sunscreen101/