Category

Skincare

Category

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ ช่วยให้หน้าเนียนใส ปลอดภัย 100%

การดูแลผิวหน้า เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ดังนั้นทุกคนอาจจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิว ปัญหาผิวไม่สม่ำเสมอ ความกระจ่างใสของผิวหน้า ที่ใคร ๆ ก็อยากจะรักษาหรือบำรุงให้สวยงามตามต้องการอยู่ตลอดเวลา แต่ปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามาทำร้ายผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็น อายุ ฮอร์โมน แสงแดด รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมอย่างมลพิษในปัจจุบัน ทำให้ใครหลายคนเกิดภาวะต่าง ๆ บนใบหน้ามากมาย หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของ การเกิดฝ้านั่นเอง แน่นอนเลยว่าวันนี้พวกเราได้รวบรวมเรื่องของ “ฝ้า” ให้คนรักผิวหน้าได้ทำความเข้าใจ พร้อมทั้งอธิบายถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดฝ้า ผลกระทบที่จะตามมาในอนาคต รวมไปถึง คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการรักษาดูแลไม่ให้เกิดภาวะนี้ และที่สำคัญก็คือการป้องกันไม่ให้ภาวะนี้เข้าใกล้ผิวหน้าของคุณ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดจะรวบรวมข้อมูลที่เมื่อได้อ่านแล้วจะทำให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น เพราะนี่คือการ รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ ช่วยให้หน้าใส ปลอดภัย ไร้กังวล


สาเหตุของการเกิดฝ้า

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ

สำหรับ “ฝ้า” คือปัญหาผิวที่มีลักษณะเป็นวงสีน้ำตาลอ่อน ไปจนถึงเข้ม โดยจะปรากฏออกมาเห็นอย่างชัดเจนในจุดต่าง ๆ บนใบหน้า ตัวอย่างเช่น โหนกแก้ม หน้าผาก รวมทั้งคาง โดยจะมีรู้แบบทั้งฝ้าลึก ฝ้าตื้น โดยปัญหาฝ้าบนใบหน้านั้นเป็นปัญหาที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะมีวิธีการรักษาที่ค่อนข้างยาก ใช้เวลานาน ไม่หายขาด อีกทั้งความมั่นใจที่จะสูญเสียไปกับร่องรอยของ “ฝ้า” ที่จะเป็นผลกระทบทางด้านจิตใจด้วย ดังนั้นทุกคนจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดภาวะนี้ซึ่งพวกเราได้สรุปมาแบบสั้น ๆ เข้าใจง่ายถึง 4 ปัจจัยด้วยกันดังต่อไปนี้ 

1.กรรมพันธุ์ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

กรรมพันธุ์ หรือ จะหมายถึง DNA ที่ส่งต่อมาจากพ่อ แม่ ซึ่งจะต้องบอกเลยว่าเมื่อใครเห็นว่าคนในครอบครัวนั้น เป็นฝ้าอยู่แล้ว ก็อาจจะทำให้ตัวของคุณเองมีความเสี่ยงที่จะเกิดฝ้าได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าจะเป็นการส่งต่อจากรุ่น สู่รุ่น นี่จึงเป็นสาเหตุแรกที่คุณอาจจะเลี่ยงไม่ได้ต่อการเกิดฝ้า อย่างไรก็ตามก็ยังมีวิธีที่จะช่วยให้ยับยั้งไม่ให้ภาวะฝ้าถูกมองเห็นได้ง่าย ๆ จากวิธีการรักษาทั้งแบบธรรมชาติ และการรักษาทางการแพทย์ 

2.ฮอร์โมนในร่างกาย 

การดูแลร่างกาย รักษาสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ ยังคงเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงอยู่เสมอ ซึ่งร่างกายหากอ่อนแอ หรือ ทำงานไม่เป็นระบบ ทุกอย่างก็จะเสียสมดุลไปด้วย ดังนั้นจะส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานผิดพลาด ผิดเวลา นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้าบนใบหน้าเช่นเดียวกัน แต่สำหรับบางรายเช่น คุณผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด หรือ ในช่วยที่กำลังตั้งครรภ์ ก็จะมีภาวการณ์เกิดฝ้าบนใบหน้าด้วยเช่นเดียวกัน  ดังนั้นทางออกของเรื่องนี้ก็คือ จะต้องรักษาสมดุลร่างกายให้คงที่อยู่เสมอเป็นทางดีที่สุด ถึงแม้จะเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับฮอร์โมนด้วยเช่นกัน 

3.อายุ และ กาลเวลา

เวลาหมุนเร็วขึ้นทุกวัน ใช่แล้วสิ่งนี้จะทำให้เรามีอายุที่มากขึ้น ดังนั้นเมื่ออายุมากขึ้น การเกิดฝ้าจะเกิดมากขึ้นในกลุ่มของผู้หญิง มากกว่าผู้ชาย เพราะเมื่ออายุมากขึ้นกลไกในการผลัดเซลล์ผิวของร่างกายก็ทำงานช้าลง อีกทั้งกาลเวลาที่ใช้ชีวิตมาอย่างยาวนาน การรับมลภาวะไม่ดี หรือ สิ่งแวดล้อมที่คอยทำร้ายผิว ก็ส่งผลให้อาจจะเกิดภาวะฝ้าบนใบหน้าได้นั่นเอง อีกหนึ่งเรื่องก็คือคอลลาเจนในผิวผลิตออกมาได้น้อยลงตามอายุ ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระไม่เพียงพอต่อการรักษาสภาพผิวนั่นเอง 

4.แสงแดด ตัวร้ายทำลายผิว

สำหรับอันตรายจากแสงแดดนั้น ถือได้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำร้ายผิวในทุกเรื่อง ซึ่งสาเหตุนี้จะนำไปสู่โรคผิวหนังหลายโรคทั้งบนใบหน้า รวมทั้งผิวกาย  ซึ่งใครที่ได้รับแสงแดดบ่อย ๆ ทำงานกลางแจ้ง จะมีรังสี   UVA  กับ UVB  ที่คอยทำร้ายผิวอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ไม่เคยได้ใช้ครีมกันแดดเลยก็มีโอกาสที่จะเกิดฝ้าบนผิวหน้าสูง สำหรับแสงแดดไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวเท่านั้น แต่แสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์ กับ โทรศัพท์ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คอยทำร้ายผิวอยู่เสมอ 

จะเห็นได้เลยว่าทั้ง 4 สาเหตุนี้ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะฝ้าบนใบหน้า โดยการเกิดภาวะนี้ถึงแม้ว่าไม่ใช่โรคอันตรายแต่ค่อนข้างเสี่ยงมากที่ในอนาคตอาจจะมีการสะสมจนเกิดโรคร้ายแรงอย่าง มะเร็ง  หรือ ผิวหนังอักเสบ ซึ่งจะทำไปสู่ภาวะผิวแพ้ง่าย แต่เรื่องใหญ่เลยก็คือริ้วรอยฝ้าที่ยังคงอยู่บนใบหน้าทำให้สาว ๆ สูญเสียความมั่นใจไปอย่างมาก ด้วยภาวะที่รักษายากใช้เวลานาน อาจจะมีค่าใช้จ่ายสูงในระยะยาวนั้นทำให้ใครหลายคนถึงกับเครียดกับเรื่องนี้จนสุขภาพย่ำแย่ไปมากกว่าเดิมด้วย จึงทำให้การเลือกผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดสำคัญเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามการรักษาฝ้ายังสามารถใช้วิธีทางธรรมชาติ ที่คุณเองสามารถทำได้เองที่บ้านด้วยเช่นกัน แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลากับความอดทนสักหน่อย 


รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ ทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ

หลังจากที่พูดถึงเรื่องสาเหตุของการเกิดฝ้าไปแล้ว คราวนี้พวกเราก็จะมาแนะนำ วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ สามารถทำได้เอง ถึงแม้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยากมาก แต่อาจะต้องใช้เวลา ความอดทน รวมทั้งวินัยในการดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้ผิวที่เป็นฝ้าหายขาดได้ แต่จะทำให้ดูจางลง และมีสุขภาพผิวหน้าที่ดีขึ้นนั่นเอง ซึ่งจะมีวิธีการรักษาในแบบออแกนิก ไร้สารเคมี จะเป็นผลดีต่อทุกสภาพผิวหน้า กับ 7 การรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ ไร้สารเคมี 


1.วิตามิน A , C และ E ช่วยลดฝ้าได้

การรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ เริ่มต้นได้จากการกิน ซึ่งแน่นอนเลยว่า วิตามิน A , C และ E จะมีคุณสมบัติอย่างสารต้านอนุมูลอิสระช่วยให้ลดการเกิดฝ้าได้ โดยวิตามินเหล่านี้มาจากผัก ผลไม้  แต่ทว่าจะต้องได้รับในปริมาณที่พอดีต่อวันไม่เช่นนั้นอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ อีกหนึ่งข้อดีของการรับประทานวิตามินก็คือ จะช่วยให้ผิวแข็งแรง ทนต่อแสงแดดได้ดีนั่นเอง นี่จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากเกิดฝ้ากับ วิตามินเอ ซี และ อี ที่จะช่วยในเรื่องนี้ได้แบบธรรมชาติไร้สารเคมี แต่จะเห็นผลมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน เพราะการดูดซึมวิตามินนั้นไม่เหมือนกัน

2.ว่านหางจระเข้ รักษาฝ้า

อีกหนึ่งสูตรธรรมชาติที่จะทราบกันดีก็คือ “ว่านหางจระเข้” ที่จะเป็นยาสมุนไพรขนานดีใช้สำหรับทาภายนอกเกี่ยวกับ แผล หรือ บำรุงผิว ซึ่งแน่นอนเลยว่าเจ้าพืชชนิดนี้สามารถรักษาฝ้าให้จางลงได้เช่นเดียวกัน โดยใช้ 1 ใบชองว่างหาง เลือกใบที่แก่แล้ว นำมาแช่น้ำ 10 นาที ปอกเปลือกออก ล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปปั่นให้ละเอียด ขั้นตอนต่อมาให้พอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาที ทำแบบนี้เป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยให้ผิวหน้าดูมีความกระชับ ชุ่มชื้น ฝ้าที่เป็นอยู่จะจางลง สามารถใช้วิธีนี้เพื่อเป็นการบำรุงผิวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหน้า แต่วิธีนี้อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษา เพราะแต่ละคนอาจจะเห็นผลช้า หรือ เร็วที่ต่างกัน 

3.หัวไชเท้า พอกหน้า

สูตรรักษาฝ้าแบบธรรมชาติอย่างการใช้ หัวไชเท้านั้น ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับวิธีนี้จะช่วยให้ฝ้าดูจางลง พร้อมทั้งยังลดริ้วรอยต่าง ๆ ได้ พร้อมทั้งทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้นอีกด้วย ซึ่งจะต้องนำหัวไชเท้านั้นมาบดหยาบ ๆ ผสมกับน้ำมะนาวเล็กน้อย แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งเอาไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น โดยจะต้องทำแบบนี้เป็นประจำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือ จะทำวิธีนี้วันเว้นวันก็ได้เช่นกัน แต่วิธีรักษาฝ้าด้วยตัวเอง ข้อควรระวังคือสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายนั้นไม่ควรใช้สูตรนี้ เพราะว่ามีมะนาวที่ออกฤทธิ์เป็นกรด อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบได้นั่นเอง 

4.มะขามเปียก ช่วยลดฝ้า 

อีกหนึ่งวิธีธรรมชาติที่หาได้จากก้นครัว นั่นก็คือ การนำมะขามเปียกมาสกัดน้ำข้น ๆ แล้วนำน้ำมาทาบาง ๆ ในบริเวณที่เป็นฝ้า ก่อนจะปล่อยทิ้งเอาไว้ประมาณ 3-5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผลลัพธ์ของวิธีนี้จะส่งผลให้รอยฝ้าดูจางลง อีกทั้งยังช่วยลดรอยด่างดำได้ดีด้วย ด้วยจุดเด่นของมะขามเปียกที่มีกรด AHA  กับคุณสมบัติที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกนั่นเอง

5.ใบบัวบก เช็ดแทนโทนเนอร์

โดยปกติทั่วไปแล้วเราเองจะใช้ โทนเนอร์ เช็ดเครื่องสำอาง ทำความสะอาดผิวหน้า ก่อนนอนเป็นประจำทุกวัน แต่สำหรับในครั้งนี้ใครที่เป็นฝ้าที่ผิวหน้า ให้นำใบบัวบกมาสกัดเช็ดแทน โดยมีวิธีการก็คือ นำใบบัวบกนั้นมาปั่น กรองเอาแต่น้ำ แล้วนำสำลีมาชุบน้ำสกัดใบบัวบก แล้วเช็ดทำความสะอาดแทน ซึ่งทำทุกวันก่อนนอน จะช่วยลดรอยฝ้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังส่งผลให้ผิวเรียบเนียน เป็นสูตรยอดนิยมที่ทำให้หน้าใส ไร้ริ้วรอยด้วย 

6.สูตรน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์

น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์เป็นอีกหนึ่งวิธีธรรมชาติที่จะช่วยลดฝ้า พร้อมทำให้ผิวเนียนนุ่มได้อีกครั้ง วิธีนี้จะต้องนำน้ำของแอปเปิ้ลไซเดอร์ มาผสมกับน้ำเปล่า เพื่อให้ลดกรดจากน้ำแอปเปิ้ล ต่อมาให้นำสำลีมาชุบแล้วเช็ดไปทั่วไปใบหน้า ก่อนจะปล่อยให้แห้งแล้วทำความสะอาดด้วยน้ำเย็น ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะเห็นผลได้ว่ารอยฝ้าดูจางลง อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวให้ดูกระจ่างใสด้วย

7.ไข่ขาว พอกหน้า ลดฝ้า

ประโยชน์ของไข่เรียกได้ว่ามากมายเหลือล้น แต่งานนี้บอกเลยว่าในวงการความงาม ไข่ขาว จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบทางธรรมชาติที่สำคัญมาก เพราะเมื่อนำมาผสมกับน้ำมะนาว จะได้เหมือนครีมพอกหน้าที่ช่วยลดฝ้าได้ โดยให้นำมาทาไปทั่วบริเวณในจุดที่เกิดฝ้า แล้วปล่อยทิ้งเอาไว้ประมาณ 5-10 นาที ก่อนที่จะล้างออกด้วยโฟมล้างหน้าปกติ โดยทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยดูดซับสิ่งสกปรก ลดรอยฝ้า พร้อมทั้งบำรุงให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนมากขึ้น 

ในปัจจุบันมีครีมรักษาฝ้า รวมทั้ง บำรุงผิวมากมาย แต่สำหรับคนแพ้ง่าย หรือ กลัวที่จะเป็นอย่างอื่นร่วมด้วยก็คงต้องลองวิธีการแบบธรรมชาติที่คุณทำเองได้ที่บ้าน ซึ่งนี่ก็คือ 7 การรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ ไร้สารเคมี ซึ่งจะช่วยให้คนที่ผิวหน้าแพ้ง่าย หรือ ยังไม่มั่นใจ ลองวิธีการลดฝ้าแบบธรรมชาติดูก่อนเป็นอันดับแรก เพราะว่าจะเป็นวิธีที่ปลอดภัย 100% ไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมี หรือ สารตกค้างใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้นทั้ง 7 วิธีนี้ยังใช้ได้ผลด้วย แต่สำหรับช่วงเวลาที่จะเห็นผลลัพธ์นั้นจะต้องใช้ความอดทน ความมีวินัยในการรักษา รวมทั้งการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องของผู้ที่เป็นฝ้า จะต้องป้องกันตัวเองในระดับหนึ่งจากสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า ไม่ว่าจะเป็น แสงแดด หรือ สิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เมื่อรู้แบบนี้แล้วคุณเองก็จะต้องรู้จักวิธีป้องกันการเกิดฝ้าด้วยเช่นกัน 


วิธีป้องกันการเกิดฝ้า

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ

ข้อมูลต่อไปนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการป้องกันการเกิดฝ้า ซึ่งผู้ที่อยู่ในภาวะเป็นฝ้าบนผิวหน้า หรือ ผู้ที่ยังไม่ได้เป็น ก็สามารถศึกษาเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันเป็นข้อมูลได้ ยิ่งไปกว่านั้นใครที่กำลังอยู่ในช่วงรักษาฝ้า ก็จำเป็นอย่างมากที่จะต้องเรียนรู้วิธีดูแลตัวเอง วิธีป้องกันตัวเองจากสาเหตุการเกิดฝ้า เพราะไม่เช่นนั้นแล้วการรักษาก็จะไม่ส่งผลต่อตัวเอง อีกทั้งอาจจะทำให้เกิดฝ้าในจุดอื่นบริเวณใบหน้าด้วยเช่นกัน โดยวิธีการป้องกันทั้งหมดจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 

1.หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ตัวการทำร้ายผิว

แสงแดด คือ อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำร้ายผิวเป็นอย่างมาก เพราะว่ารังสียูวีเอ กับ ยูวีบี ทำร้ายผิวโดยตรง นอกจากการเกิดฝ้า กระ หรือ ทำให้ผิวอักเสบแล้ว ก็ยังส่งผลสะสมให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังในอนาคตได้เช่นกัน แต่ทว่าในความจริงเราเองไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ แต่ก็จะต้องขอแนะนำเลยว่าป้องกันด้วยการหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดในช่วงเวลาตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง บ่าย 3 โมงเย็น แต่สำหรับในปัจจุบันแล้วแดดอาจจะจัดไปถึงช่วงเวลา 4 – 5 โมงเย็นเลยทีเดียว อีกทั้งการใส่หมวก หรือ พกร่ม เสื้อแขนยาว ก็จะช่วยให้คุณลดอันตรายจากแสงแดดได้ในระดับหนึ่งเลย 

2.ทาครีมกันแดด อย่างสม่ำเสมอ 

ครีมกันแดด คือ อีกหนึ่งเครื่องสำอางบำรุงผิวที่กลายเป็นหนึ่งในไอเทมสำคัญ สำหรับคุณผู้ชาย กับ คุณผู้หญิงไปแล้ว เพราะว่าเจ้าครีมกันแดดนี่แหละ จะช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีที่อยู่ในแสงแดด รวมทั้งมลภาวะต่าง ๆ ที่ร่างกาย หรือ ผิวหน้าได้รับ ไม่ว่าจะเป็น แสงสีฟ้า หรือ ฝุ่น ควัน ก็จะช่วยเป็นหนึ่งในเกราะป้องกันสิ่งเหล่านั้น ไม่ให้มาทำร้ายผิว สำหรับใครที่ไม่เคยใช้ครีมกันแดดเลย อาจจะเกิดฝ้าฝังลึกจนยากที่จะรักษาในอนาคตด้วยนั่นเอง แน่นอนเลยว่า ครีมกันแดด จำเป็นจะต้องทาทุกวัน หรือ ทุกกิจกรรม ถึงแม้ว่าไม่ได้ออกจากบ้าน ก็ยังมีแสงสีฟ้า พร้อมกับ รังสียูวีที่เข้ามากระทบได้จากทุกที่ ซึ่งการเลือกครีมกันแดด ก็จะต้องเลือกค่า SPF50 ขึ้นไป พร้อมกับ PA++++ จะเป็นค่าที่ดูแลผิวของเราได้อย่างดีที่สุด หากคุณไม่รู้ว่าจะทาครีมกันแดดแบบไหนดี คุณอาจสนใจบทความนี้ รีวิวกันแดดทาหน้ายอดนิยม

3.เลือกครีมบำรุงผิวให้ดี 

ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้า หรือ ผิวกาย ก็ต้องการการดูแลใส่ใจ การเลือกครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับผิว จะช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้น อีกทั้งการเลือกครีมที่ไม่มีส่วนผสมของ แอลกอฮอล์ กับ น้ำหอม ก็จะช่วยให้ผิวของคุณห่างไกลฝ้าได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน การใช้ทาผิวอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยบำรุงผิวให้เรียบเนียน ดูสุขภาพดีได้นั่นเอง 

4.ดูแลสุขภาพ ด้วยอาหาร

หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีส่วนทำร้ายร่างกายทางอ้อม รวมทั้ง ควันบุหรี่ ที่มีสารเคมีที่ทำร้ายผิวได้ด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นแล้วยังส่งผลต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตด้วย ดังนั้นการเลือกทานอาหารจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะป้องกันการเกิดฝ้าด้วยเช่นกัน เพราะการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ รวมทั้งการบำรุงไปด้วยผัก ผลไม้ ที่มีวิตามินซี อี เอ ที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ผิวแข็งแรง ก็จะเกิดฝ้าขึ้นได้ยาก ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระก็จะช่วยให้ริ้วรอยเกิดยาก ซึ่งสุขภาพดีก็มาจากอาหารด้วยส่วนใหญ่ ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยให้คุณห่างไกลฝ้า และ โรคภัยอื่น ๆ ได้นั่นเอง 

5.การออกกำลังกาย ความเครียด 

อีกหนึ่งวิธีป้องกันที่จะช่วยให้ร่างกายแข็ง ห่างไกลฝ้า ถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีอ้อม ๆ ที่อาจจะถูกมองว่าเน้นไปทางผลลัพธ์ทางร่างกายแข็งแรงมากกว่า แต่เชื่อหรือไม่ว่าการออกกำลังกายจะช่วยให้สุขภาพภายในของร่างกายดี ส่งผลให้มีผิวพรรณที่เรียบเนียน เปล่งปลั่ง การทำงานของระบบภายในร่างกายปกติ ลดความเครียด วิตกกังวล มองโลกในแง่ดี ซึ่งใครที่มีภาวะความเครียดเกิดขึ้น ต้องบอกเลยว่าจะมีแต่โรคภัยเข้ามารุมเร้าในช่วงที่ร่างกายกำลังอ่อนแอแน่นอน ดังนั้นการออกกำลังกายควรจะเกิดขึ้นอย่างน้อยวันละ 30 นาที ส่วนความเครียด ใครที่เป็นอยู่ก็ต้องมองหาเรื่องผ่อนคลายทำ เช่น ออกไปเที่ยว หรือ ทำกิจกรรมคลายเครียด 

สำหรับวิธีการป้องกัน จะสอดคล้องกับการรักษา ไม่ว่าคุณเองจะทำการรักษาอยู่หรือไม่ พฤติกรรมเหล่านี้ก็ควรจะต้องยึดเอาไว้เป็นตัวอย่างเพื่อไม่ให้ในอนาคตเป็นฝ้าบนผิวหน้า อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ช่วยทำให้คุณมีสุขภาพดี ทั้งร่างกาย ผิวพรรณ อารมณ์ ซึ่งบอกเลยว่าเป็นข้อดีทั้งหมดถ้าหากว่าคุณเองสามารถทำตามได้ ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ไม่ได้ลดฝ้าเพียงอย่างเดียว


เรียกได้ว่าปัญหาผิวหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับทุกคน เพราะคือจุดที่จะทำให้คุณมีความมั่นใจในการใช้ชีวิต ซึ่งไม่มีใครอยากให้ผิวหน้าตัวเองมีสิว หรือ กระ หรือ เป็นฝ้า เพราะจะทำให้สุขภาพจิตย่ำแย่ตามไปด้วย แน่นอนเลยว่าการดูแล ป้องกัน ด้วยวิธีการที่พวกเราได้รวบรวมข้อมูลมาแนะนำกันในบทความข้างต้น ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยาก แต่จำเป็นจะต้องใช้วินัยสูงในการดูแลรักษาตัวเอง การป้องกัน การบำรุงผิวที่สม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณมีผิวพรรณที่ดี ไม่เป็นฝ้า พวกเราเชื่อเลยว่า 7 วิธี รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ รวมทั้ง สาเหตุ กับ วิธีป้องกันฝ้า จะช่วยให้คุณเข้าใจภาวะนี้มากขึ้น เพราถึงแม้ว่าจะไม่ได้ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่ก็เป็นอีกหนึ่งภาวะที่รักษาให้หายยาก พร้อมทั้งเกิดความวิตกกังวล สุดท้ายนี้ถ้าอยากให้สุขภาพแข็งก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และ ลดความเครียด แล้วชีวิตจะดีขึ้น 


อ้างอิงจาก

5 วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ หน้าเนียนใส หายขาดได้แน่นอน (trueid.net)

6 สูตรรักษาฝ้าจากธรรมชาติ เนรมิตหน้าใส อวดความมั่นใจอีกครั้ง (sanook.com)

8 สูตรรักษาฝ้า กระ จากธรรมชาติ ปลอดภัยและได้ผลจริง – sophistmedic

บอกต่อ! 6 อันดับ ครีมทาฝ้า รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ เห็นผลจริงและเร็วที่สุด (sistacafe.com)

รูขุมขนกว้างทําไงดี ? รวมวิธีบำรุงและดูแลให้ใบหน้ากระชับขึ้น

รูขุมขนกว้างทําไงดี ? รวมวิธีบำรุงและดูแลให้ใบหน้ากระชับขึ้น

ปัญหาเรื่องผิวถือว่าเป็นเรื่องของความมั่นใจในการใช้ชีวิตในประจำวัน ในหลายคนจึงให้ความสำคัญในการดูแลบำรุงผิวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะผิวกายหรือผิวหน้า และอีกหนึ่งปัญหาที่คุ้นเคย ไม่ว่าจะยุคไหนหรือวัยใดคือปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้าง ซึ่งเกิดได้บ่อยมาก ๆ แม้ว่าจะไม่ได้มีโทษหรือสร้างความเจ็บปวด แต่หลายคนก็สูญเสียความมั่นใจไปเลยก็มี วันนี้เราเลยจะพามาไขข้อข้องใจ รูขุมขนกว้างทําไงดี พร้อวิธีบำรุงและดูแลให้ใบหน้ากระชับขึ้น


แล้วรูขุมขนกว้าง ทำไงดี ? สาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่

รูขุมขนกว้างทําไงดี

เคยสังเกตตัวเองไหมว่า เมื่ออายุยังไม่เข้าสู่วัยรุ่นหรือช่วงวัยรุ่นตอนต้น ผิวของเราทุกคนเรียบเนียบและไม่มีรูขุมขนขรุขระเลย จนกระทั่งฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงและสภาพผิวที่เปลี่ยนไป และเมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไปรูขุมขนก็มีโอกาสขยายใหญ่ขึ้นได้อีกตามธรรมชาติ! แค่ฟังก็น่าตกใจแล้วใช่ไหม แล้วยังมีอีกสาเหตุอื่นอีกไหมที่เป็นต้นตอของเจ้ารูขุมขน มาดูกันเลยดีกว่า

เกิดจากพันธุกรรม เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะสายพันธุได้ส่งต่อกันมา การรักษาทำได้เพียงให้ขุมขนไม่ขยายใหญ่ไปมากกว่านี้

ฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะช่วงวุยแตกหนุ่มสาวที่มีการผลิตฮอร์โมนมากจำนวนมาก หน้าจึงผลิตน้ำมัน (เซบัม) มากเกินไป ทำให้ผิวต้องการขับความมันออกมาจากรูขุมขนและทำให้รูขุมขนขยายใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

ผู้มีปัญหาสิว แน่นอนว่าสิวเกิดจากไขมันในรูขุมขนอุดตัน อาจจะเป็นทั้งจากฮอร์โมน หรือสิ่งเร้าต่าง ๆ เมื่อสิวเกิดขึ้นไม่ว่าจะสิวอักเสบ สิวผด สิวเสี้ยน การที่ไขมันอุดตันผสมกับเซบัมส่วนเกินบนใบหน้า หากไม่ได้รับการรักษาสิวอย่างถูกวิธีและต่อเนื่อง ผิวก็สามารถเกิดรูขุมขนกว้างอย่างถาวรได้เช่นกัน

สภาพอากาศ แต่ละคนมีผิวหน้าที่ต่างกัน สภาพอากาศรอบตัวก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดรูขุมขนได้ เช่น สภาพอากาศหนาวเย็น ทำให้ผิวแห้งง่าย หากได้ระบความชุ่มชื้นไม่มากพอก็จะหน้าแห้ง เกิดรูขุมขนกว้าง หรือ สภาพอากาศที่ร้อนจัดเหงื่ออกบ่อย ร่างกายขับน้ำมันเซบัมออกจากผิวทำให้รูขุมขนขยายระบายนำมันและความร้อน เป็นต้น

สภาวะด้านจิตใจ ความเครียด หลายคนคงสงสัยว่าความเครียดเกี่ยวข้องได้อย่างไร เราจะมาไขข้อสงสัยกันที่นี่ ความเครียดหรือ Cortisol คือ ฮอร์โมนความเครียดของร่างกาย เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะผลิตคอร์ติซอลเป็นจำนวนมากส่งผลให้ไปกระตุ้นการสร้างน้ำมันบนร่างกาย โดยเฉพาะใบหน้าของเรา
ดูแลผิวอย่างไม่เหมาะสม กล่าวคือการขัดผิวที่มากเกินไป หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว จนเป็นสาเหตุให้ผิวอ่อนแอ เกิดรูขุมขนอุดตัน หรือผลัดผิวมากเกินไปแต่ขาดความชุ่มชื้นจนเกิดอาการแสบแดง

ทำความสะอาดได้ไม่หมดจดพอ ปัญหานี้เกิดขึ้นได้กับผู้ที่ล้างหน้าไม่สะอาด ล้างเพียงน้ำเปล่า ล้างเครื่องสำอางค์ไม่หมดหรือนอนทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เช็ดเครื่องสำอางค์ จนเกิดสภาวะไขมันอุดตันบนใบหน้า

ไม่ใช้ครีมกันแดด การโดนแสงแดดประจำโดยขาดการป้องกัน ทำให้ชั้นผิวอิลาสตินเสื่อมลง นั่นหมายความว่าคอลลาเจนในผิวก็จะเสื่อมลงไปด้วย ทำให้ผิวเหี่ยวแห้ง หย่อยคล้อย รูขุมขนกว้าขึ้นเพราะการทำงานของคอลลาเจนที่สะสมไว้ใต้ชั้นผิวลดลง ฉะนั้นอย่าลืมทาครีมกันแดดรองพื้นปกปิดเพื่อป้องกันแสงยูวีทำร้ายผิวหนัง รวมถึงยังสามารถช่วยปกปิดรูขุมขนได้อีกด้วย

ไม่ใช้ครีมบำรุงผิว ไม่จำเป็นต้องเป็นเซรั่มหรือโทนเนอร์ราคาแพง การที่ผิวได้รับความชุ่มชื้นจากมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เป็นเรื่องพื้นฐานของผิวที่ดีและมีน้ำ


12 วิธีกระชับรูขุมขน ให้ใบหน้าเนียนใสยิ่งขึ้น

รูขุมขนกว้างทําไงดี

ถึงแม้ว่าสาเหตุที่กระตุ้นการเกิดรูขุมขนกว้างนั้นมีมากมาย หรือใครที่มีรูขุมขนกว้างแล้วก็ตามจงอย่าได้เสียใจไป เพราะเรามีสารพัดวิธีกระชับรูขุมขนให้กลับมาเล็กลงอย่าแน่นอน

1.รักษาความสะอาด

ไม่ว่าจะชำระล้างร่างกายหรือใบหน้าควรใช้เวลาฟอกถูนำสิ่งสกปรกออกไปให้หมด สำหรับคนที่แต่งหน้าควรทำการดับเบิ้ลคลีนซิ่ง (Double Cleaning) ด้วยผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางค์ตามที่คุณประสงค์ เพื่อให้คราบเครื่องสำอางค์ชะล้างออกไปให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะล้างหน้าด้วยคลีนซิ่งโฟมหรืออื่น ๆ ตามปกติ และควรล้างอย่างเบามือ ไม่ขัดถูแรงจนเกินไป

2.ไม่ล้างหน้าบ่อยเกินไป

ควรล้างวันละ 2 ครั้งเท่านั้นจึงจะพอดี เป็นการล้างหน้าแบบถูกวิธี เพราะยิ่งล้างออกมากก็ยิ่งกระตุ้นให้ต่อมรูขุมขนกระตุ้นผลิตน้ำมันออกมากปกป้องรักษาความชุ่มชื้นบนใบหน้า ฉะนั้นแล้วหากคุณเหงื่อไหลออกมากแนะนำว่าให้ซับออกก็เพียงพอ แล้วฉีดสเปรย์น้ำแร่ในบางท่านที่ต้องการความเย็นชุ่มฉ่ำ

3.ใช้โทนเนอร์ปราศจากแอลกอฮอล

ในสภาพผิวหน้าของบางคนมีความมันมากเกินไป โทนเนอร์จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยกำจัดความมันก่อนเตรียมลงผิวในขั้นตอนต่อไป หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่มีแอลกอฮอลจัดเพราะว่ายิ่งทำให้ผิวหน้าระคายเคืองและเกิดสิวขึ้นได้

4.ใช้ครีมบำรุงผิวให้ถูกกับสภาพผิวหน้า

คือการเติมน้ำให้กับผิวนั่นเอง หลายคนที่ผิวมันอาจจะขัดใจว่าผวมันแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงเพิ่มน้ำ เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะไม่ว่าสภาพผิวใดต่างก็ต้องการความชุ่มชื้น และแต่ละผิวต้องการเนื้อครีมที่แตกต่างกันจึงต้องเลือกใช้ครีมให้เหมาะกับผิวหน้าจึงจะสามารถช่วยบำรุงได้อย่างถูกจุด

  • ผิวมัน ใช้มอยซ์เจอร์ไรซ์เซอร์ประเภทเนื้อเจลหรือโลชั่นเนื้อบางเบา จะลงการอุดตันของผิวได้
  • ผิวแห้ง ใช้มอยซ์เจอร์ไรซ์เซอร์ประเภทเนื้อครีม แต่ควรมีการวอร์มอัพที่ฝ่าก่อนลงบนใบหน้าจะดีที่สุด จากนั้นใช้ฝ่ามือที่มีครีมแปะลงบนผิวหน้าให้ทั่วอย่างบางเบา
  • ผิวผสม ใช้มอยซ์เจอร์ไรซ์เซอร์ประเภทเนื้อเจลหรือเนื้อครีมก็ได้

5. ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ

นอกจากความชุ่มชื้นแล้ว ผิวยังต้องการเกราะป้องกันอีกชั้นจากแสงแดด ขึ้นชื่อว่าแสงแดดเป็นศัตรูธรรมชาติร้ายกาจที่ทำลายชั้นผิวของเราได้อย่างรุนแรง ดังนั้นหลีกหลีกผิวมันและแห้งกร้านจากรังสียูวีที่เป็นสาเหตุรูขุมขนกว้าง แนะนำให้ทาครีมกันแดดทุกวัน อย่างน้อย SFP 30 PA++++ และทาซ้ำทุกๆ 3-4ชั่วโมง

6. ลดการรับประทานของทอด

น้ำมันเยิ้ม และอาการเค็มจัด ของทอดกรอบน้ำมันเยิ้มตั่งต่าง นอกจากจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีความสัมพันธ์กับความมันบนใบหน้าอีกด้วย ดังนั้นการรับประทานอาหารที่เกี่ยวข้องกับภายในสำคัญมาก ถ้าหากสุขภาพลำไว้และภายในดี ผิวก็จะเปล่งปลั่งสุขภาพดี คอลลาเจนในร่างกายยังทำงานได้ดี ทำชะลอการเกิดรูขุมขนกว้างเมื่ออายุที่มากขึ้น

7. เลือกเครื่องสำอางค์ประเภทปราศจากน้ำมัน

โดยเฉพาะคนที่มีผิวหน้ามัน ผลิตภัณฑ์ประเภทออยล์เบส (Oil based) ยิ่งเสี่ยงรูขุมขนอุดตันมากยิ่งขึ้นแม้ว่าจะเคลมว่าเนื้อสัมผัสเบาบางและออร์แกนิคมากเท่าไร เนื้อสัมผัสนั้นยังคงเป็นน้ำมันอยู่ดี หากให้แนะนำ ใช้เป็นแป้งรองพื้นที่ควบคุมความมันที่มีส่วนผสมของ Licorice Extract, EGCG (Green Tea Extract), Vitamin B6 (Pyridoxine Hydrochloride), Zinc PCA, Bakuchiol, Copper PCA, Methylsulfonylmethane, Ammonium Glycyrrhizate, Salicylic Acid และ Silicone จะดีกว่า ทริคเพิ่มเติมเกี่ยวกับซิลิโคน (Silicone) ว่าไม่ได้เป็นสารอันตราย หรือกระตุ้นเกิดสิวแต่อย่างใด แต่เจ้าสารเคมีตัวนีจะช่วยกักเก็บน้ำล็อคผิวไว้นั่นเอง

8. ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นยาวิเศษที่ไม่มีราคาต้องจ่าย เมื่อร่างกายได้ออกแรง ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดหมุนเวียนร่างกายได้ดีมากขึ้น เลือดที่หมุนเวียนในบริเวณใบหน้าก็ยิ่งดีมากขึ้นและมีเลือดฝาด รูขุมขนกระชับ และหน้าใสเปล่งประกาย

9. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

เมื่อร่างกายของคุณได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ใบหน้าที่ล้าโ?รมก็จะไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไป เวลานอนนั้นสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับระบบภายในและระบบฮอร์โมนอย่างชัดเจน จะสังเกตได้ว่าเมื่อเวลานอนน้อยคุณจะไม่สดชื่น หิวบ่อย ใบหน้าซีดเซียว ฮอร์โมนที่ทำงานได้ไม่ดีจะส่งผลให้สุขภาพผิวแย่และเกิดการสร้าน้ำมันเซบัมเกินความจำเป็น (เพราะร่างกายเกิดควาวมเครียดและอ่อนล้า) เกิดรูขุมขนกว้างขยายใหญ่ขึ้นตามมาอย่าหลีกเลี่ยงไม่ได้

10. ดื่มน้ำเป็นประจำ

น้ำเป็นสื่งที่หล่อเลี้ยงร่างกายให้สมดุล ดังนั้นหากดื่มน้ำไม่เพียงพอก็สามารถเกิดหลายอาการ เช่น เลือดหมุนไหลเวียนได้ไม่ดี ท้องผูก ผิวแห้ง ไตทำงานาหนักขึ้น อาการต่าง ๆ เหล่านี้เป็นจุดก่อเกิดรูขุมขนที่กว้างบนใบหน้าตามมา ดังนั้นควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 3 ลิตร หรือพยายามจิบน้ำบ่อยให้ได้มากที่สุด เพื่อรักษาความชุ่มชื้นในร่างกายและความดันเลือดอย่างสม่ำเสมอ

11. รับประทานคอลลาเจน

คอลลาเจนไม่ได้ช่วยเพียเรื่องผิวขาวสวยอย่างเดียว แต่รูขุมขนจะกระชับขึ้นเพราะร่างกายได้รับคอลลาเจนได้ปริมาณที่สมควรได้รับและคอลลาเจนส่วนใหญ่ก็จช่วยสร้างสายใยโปรตีนที่เป็นพื้นฐานของการผลิตคอลลาเจนในร่างกายอีกด้วย

12. พิโค่เลเซอร์ (Pico Laser)

เทคโนโลยีล่าสุดและได้ผลไวที่สุดแม้จะต้องแลกการความเจ็บสักเล็กน้อย โดยจะเป็นคลื่น Alexandrite 755 นาโนเมตร (nm) ทำให้เม็ดสีเกิดการสั่นสะเทือนระดับสูง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้รูขุมขนกระชับอย่ารวดเร็ว แต่อย่างไรก็ดีควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง


สรุปได้ว่ามีปัจจัยหลากหลายสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดรูขุมขนกว้าง ไม่ว่าจะพันธุกรรม อาหาร สภาพอากาศ สภาพผิวหรือผลิตภัณฑ์บำรุงใบหน้าที่ใช้เป็นประจำ ดังนั้นเมื่อเราที่มาและสาเหตุกระตุ้นต่าง ๆ ก็จะหลีกเลี่ยงรูขุมขนที่กว้างขึ้นได้เป็นอย่างดี เริ่มตั้งแต่อาหารการกิน การใช้ชีวิตประจำให้ระมัดระวังมากขึ้น และในสำหรับคนที่ใจร้อนแต่ไม่ร้อนเงิน ในปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้เนรมิตรูขุมขนให้จางหายไปในเวลาอันสั้นอย่างง่ายดาย


ที่มา

https://aedit.com/concern/large-pores
https://www.aad.org/public/everyday-care/skin-care-secrets/face/treat-large-pores

10 วิธีแก้ ผิวแห้งเป็นสิว เคล็ดลับสำหรับสาวที่มีปัญหาผิวโดยเฉพาะ

10 วิธีแก้ ผิวแห้งเป็นสิว เคล็ดลับสำหรับสาวที่มีปัญหาผิวโดยเฉพาะ

10 วิธีแก้ ผิวแห้งเป็นสิว เคล็ดลับสำหรับสาวที่มีปัญหาผิวโดยเฉพาะ พื้นฐานของการมีสุขภาพผิวที่ดีก็คือการรักษาความชุ่มชื้นภายในชั้นผิว ด้วยเหตุผลที่ว่าน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญของเซลล์ผิวหนังทั้งหมด หากขาดน้ำหรือความชุ่มชื้นไปเมื่อไร เซลล์ก็เหี่ยวลงและอ่อนแอมากขึ้น สิ่งที่ปรากฏออกมาให้เห็นก็คือผิวแห้ง เป็นสิว มีริ้วรอย และบอบบางมากกว่าปกติ เกิดอาการแพ้เครื่องสำอาง แพ้อากาศ หรือมลภาวะต่างๆ ได้โดยง่าย

หลายคนอาจสงสัยว่าสิวส่วนใหญ่เกิดจากความมัน ฮอร์โมน และสิ่งสกปรกไม่ใช่หรือ ดังนั้น ถ้าผิวยิ่งแห้งก็น่าจะยิ่งเป็นสิวได้ยากขึ้น แต่แล้วทำไมผิวแห้งถึงกลายเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวไปได้ นั่นก็เพราะว่าเมื่อผิวแห้งก็เปรียบเสมือนไม่มีเกราะป้องกันชั้นผิวที่ดี หากมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาเพียงเล็กน้อย ก็เข้าสัมผัสผิวได้โดยตรงและส่งผลให้ระคายเคืองจนเกิดสิวได้

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติมก็คือ ปัญหาผิวแห้งที่ว่านี้ไม่ใช่สภาวะโดยธรรมชาติของผิว และไม่ได้เกิดกับคนที่มีลักษณะของผิวอยู่ในกลุ่มผิวแห้งโดยเฉพาะ แต่สามารถเกิดได้ในผิวทุกประเภท แม้แต่คนที่มีผิวมันมากก็ตามที หากปล่อยปละละเลย หรือดูแลผิวอย่างไม่ถูกวิธีก็เกิดอาการผิวแห้งได้ทั้งนั้น

และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่สิวต่างๆ ที่จะตามมา ยังมีปัญหาผิวเกิดขึ้นได้อีกหลายกรณี เช่น ผิวลอก แสบแดง หน้าเป็นขุย เกิดผื่นแพ้ เป็นต้น ดังนั้นถ้าไม่อยากมีผิวแห้ง เป็นสิว หน้าพัง หันมาฟังเคล็ดลับง่ายๆ ทั้ง 10 ข้อต่อไปนี้ เลือกเอาไปปรับใช้กันได้ตามอัธยาศัยเลย 

1. ดื่มน้ำสะอาดให้มากเข้าไว้

ผิวแห้งเป็นสิว

วิธีแก้ ผิวแห้งเป็นสิว วิธีแรกที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวอย่างง่ายดายที่สุดก็คือ การดื่มน้ำ และนี่ก็เป็นวิธีที่ได้ผลชัดเจนมากที่สุดด้วย เคยมีการเก็บสถิติมาแล้วว่า คนที่ดื่มน้ำสะอาดเป็นปริมาณมากๆ ต่อวันจะมีผิวพรรณที่สดใสและใบหน้าดูอ่อนกว่าวัยหลายสิบปี เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มน้ำไม่เพียงพอ โดยปกติเราจะต้องดื่มน้ำกันประมาณวันละ 8-10 แก้ว

แต่ถ้าอยากเน้นเพื่อบำรุงผิวต้องดื่มมากกว่านั้น อาจจะ 3-4 ลิตรต่อวันเลยทีเดียว ซึ่งไม่ใช่การโหมดื่มคราวละมากๆ แต่เป็นการจิบทีละน้อย ค่อยๆ สะสมไปตลอดทั้งวัน ที่สำคัญให้นับเฉพาะน้ำสะอาดหรือน้ำเปล่าเท่านั้น บรรดาน้ำอัดลม น้ำหวาน ชา กาแฟต่างๆ ไม่นำมารวมด้วย

2. ล้างหน้าเพียงแค่วันละ 2 ครั้ง

ผิวแห้งเป็นสิว

ถ้าหากไม่ได้มีกิจกรรมอะไรที่เลอะเทอะเป็นพิเศษ ก็ให้ขั้นตอนทำความสะอาดผิวหน้ามีเพียงแค่วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็นก็เพียงพอแล้ว เพราะยิ่งล้างหน้าบ่อยก็ยิ่งมีอาการผิวแห้ง เป็นสิวด้วย เพราะว่าน้ำมันตามธรรมชาติที่เคลือบผิวอยู่นั้นถูกชะล้างออกจนหมด ผิวจึงเสียสมดุลไป หรือคุณอาจใช้เจลล้างหน้าลดสิวใช้ดีร่วมด้วยเพื่อลดการเกิดสิว ก็ได้เช่นกัน

ที่สำคัญการล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ ขอให้อยู่ในช่วงเย็นช่วงเดียวพอ ส่วนช่วงเช้าล้างเพียงแค่น้ำเปล่าก็เกินพอแล้ว 

3. ทาครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์

ผิวแห้งเป็นสิว

การทาครีมที่เน้นเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว จะเป็นการล็อกความชื้นในชั้นผิวเอาไว้ พร้อมกับแก้ปัญหาผิวด้านอื่นๆ ไปพร้อมกัน หลังจากที่ชำระล้างผิวพรรณเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผิวจะอยู่ในสภาพที่ไม่สมดุลเล็กน้อย ก่อนจะปรับกลับเข้าสู่ปกติตามเดิม แต่ถ้าผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กระตุ้นให้ผิวเสียสมดุลมากเกินไป

การปรับสภาพกลับมาที่จุดสมดุลใหม่ย่อมเกิดได้ยากกว่า ยิ่งถ้าเป็นผิวบอบบางก็อาจจะปรับไม่ได้จนเกิดความระคายเคืองขึ้นมา ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์จะทำหน้าที่ช่วยเร่งการปรับสมดุลให้แก่ผิวในกรณีนี้ด้วย หากคุณมีใบหน้าที่แห้งมาก คุณอาจสนใจบทความนี้ 10 ครีมบำรุงผิวหน้าแห้ง

4. หลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน

ผิวแห้งเป็นสิว

ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าพนักงานออฟฟิศหรือคนที่ต้องทำกิจกรรมอยู่ในห้องแอร์แทบจะตลอดเวลา มักมีปัญหาผิวแห้ง เป็นสิวมากกว่าคนอื่นๆ นั่นก็เพราะว่าสภาวะของห้องแอร์มีค่าความชื้นในอากาศต่ำมาก ส่งผลให้ผิวของเราถูกดึงความชื้นออกไป แล้วเซลล์ผิวก็ค่อยๆ เหี่ยวแห้งลงเรื่อยๆ ทางที่ดีจึงควรหาจังหวะออกมาจากห้องแอร์เสียบ้าง แต่ถ้าไม่สามารถทำได้เลยก็ต้องใช้โลชั่นทาผิวช่วย พร้อมกับจิบน้ำเปล่าอยู่เสมออย่าได้ขาด 

5. อย่ารบกวนผิวบ่อยครั้ง

ผิวแห้งเป็นสิว

ไม่ว่าอะไรที่มากไปก็ไม่ดีทั้งนั้น เช่นเดียวกันกับกิจกรรมที่เข้าใจว่าช่วยบำรุงหรือฟื้นฟูสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นการสครับ การอบไอน้ำ การอบซาวน่า หรือแม้แต่การทำทรีตเมนท์ก็ตามที เมื่อทำบ่อยครั้ง ผิวก็ไม่มีเวลาพักหรือฟื้นตัวอย่างจริงจัง เหมือนคนเล่นกีฬาที่ไม่เคยพักเลยก็ล้มเจ็บได้ในที่สุด ที่สำคัญต้องเลือกใช้ครีมให้เหมาะกับผิวหน้าด้วย เพื่อให้ครีมทำงานได้อย่างถูกจุดและเต็มประสิทธิภาพ

6. ทานอาหารเสริมเพิ่มเติม

ผิวแห้งเป็นสิว

แน่นอนว่าสารอาหารที่จำเป็นต่อการบำรุงผิวนั้นหาได้จากอาหารที่เราทานกันทั่วไปนี่แหละ เพียงแต่กว่าจะทานให้ได้วิตามินหรือแร่ธาตุเทียบเท่ากับปริมาณที่ผิวต้องการ ก็ต้องทานกันจนท้องแทบแตกนั่นเอง ดังนั้นการเลือกทานอาหารเสริมอย่างเหมาะสมจึงน่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีไม่น้อย

ตัวอย่างของวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นได้แก่ วิตามินซี คอลลาเจน และน้ำมันดอกอีฟนิ่งพริมโรส โดยเฉพาะตัวท้ายสุดที่โดดเด่นในการเติมความชุ่มชื้นให้ผิวค่อนข้างมาก ชนิดที่ว่าทานก่อนนอนแล้วตื่นมาก็รู้สึกได้เลยว่าผิวหน้าดีขึ้นอีกระดับ นอกนั้นก็เป็นส่วนเสริมที่จะทำให้ผิวมีความสามารถในการอุ้มน้ำได้ดีขึ้น 

7. อย่าติดน้ำอุ่นมากเกินไป

ผิวแห้งเป็นสิว

จริงอยู่ว่าการอาบน้ำอุ่นนั้นทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและสบายตัว แต่น้ำที่มีอุณหภูมิสูงจะเร่งให้ผิวแห้ง เป็นสิวได้ง่าย เพราะทันทีที่อาบน้ำหรือล้างหน้าเสร็จ ผิวจะแห้งแบบฉับพลัน และถ้าไม่ได้ทาโลชั่นตามในทันที ผิวก็จะแห้งเป็นขุยในเวลาต่อมา ทางที่ดีที่สุดจึงเป็นการใช้น้ำอุณหภูมิห้องหรือเย็นกว่านั้นสำหรับการล้างหน้า นอกจากผิวจะไม่แห้งแล้วรูขุมขนก็กระชับดีอีกด้วย 

8. พอกหน้าด้วยสูตรธรรมชาติบ้าง

ผิวแห้งเป็นสิว

มีสูตรพอกหน้าหลายสูตรที่หาวัตถุดิบได้ง่าย และเหมาะกับผิวแห้ง เป็นสิวโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง พอกหน้าด้วยน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ เป็นต้น เพียงแค่เอาวัตถุดิบเหล่านี้ติดตู้เย็นไว้ คราวจะใช้ก็แค่หยิบมาพอกไว้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ระยะหนึ่งก่อนล้างออก 

น้ำผึ้งเป็นสุดยอดวัตถุดิบของบ้านเราและเป็นองค์ประกอบสำคัญในวงการความสวยความงามมาโดยตลอด นอกจากช่วยให้ผิวชุ่มชื้นแล้วก็ยังเนียนนุ่มดีด้วย ส่วนน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ก็ไม่น้อยหน้าน้ำผึ้งสักเท่าไร แต่กลิ่นอาจจะไม่ถูกใจใครหลายคนนัก 

9. ใช้สารเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของผิว

ผิวแห้งเป็นสิว

ประเด็นนี้ย้ายไปทางด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์เล็กน้อย เราเรียกเทคนิคนี้ว่า “การฉีดผิวฉ่ำ” ซึ่งเป็นกระบวนการฉีดเติมเต็มเข้าไปในผิวหนังบริเวณที่แห้ง สารที่ใช้ก็คือสารไฮยาลูโรนิคแอซิด (Hyaluronic acid) และเดกซ์แทรน (Dextran) ทำหน้าที่อุ้มน้ำให้แก่ผิว พร้อมดึงดูดความชื้นเข้าสู่ผิว

วิธีนี้ได้ผลแบบทันใจดี แต่ต้องเข้ารับบริการจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะมีข้อกำหนดถึงปริมาณที่ต้องใช้อยู่ หากผิดพลาดไปจะแก้ไขลำบาก อีกอย่างที่ต้องเข้าใจก่อนก็คือ สารเหล่านี้อยู่ได้เพียงชั่วคราว ไม่ใช่การรักษาแบบถาวร เมื่อครบกำหนดแล้วก็ต้องมาฉีดเข้าไปใหม่ 

10. ทาครีมกันแดดอยู่เสมอ

ผิวแห้งเป็นสิว

ต่อให้อยู่ในพื้นที่ร่มตลอดทั้งวัน ก็ต้องทาครีมกันแดดที่มีค่าการปกป้องเพียงพอ เพราะไม่ใช่แค่แสงแดดเท่านั้นที่ทำร้ายผิวของเราได้ ยังมีแสงไฟ แสงจากหน้าจอโทรศัพท์ และอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าถามว่าครีมกันแดดมันเกี่ยวกับผิวแห้ง เป็นสิวอย่างไร คำตอบคือไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง

แต่สัมพันธ์กันในทางอ้อม เนื่องจากครีมกันแดดมีสรรพคุณสำคัญในการป้องกันผิวจากแสงแดด ซึ่งเป็นตัวการร้ายกาจที่สุดสำหรับผิวพรรณแล้ว เมื่อปกป้องได้ เซลล์ผิวก็แข็งแรง ไม่มีอาการไหม้แดด ไม่เกิดการสูญเสียน้ำเกินความจำเป็น หากได้รับการบำรุงก็สามารถรับประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ผิวจึงสวยใสสุขภาพดีอย่างที่ต้องการ


อ้างอิง

9 ways to banish dry skin : https://www.health.harvard.edu/staying-healthy/9-ways-to-banish-dry-skin

How to Treat Acne When You Have Dry Skin : https://www.byrdie.com/dry-skin-acne-5176666

ครีมแบรนด์ไทย ที่ทาผิวแล้วใครๆ ก็ชอบ

ครีมแบรนด์ไทย ที่ทาผิวแล้วใครๆ ก็ชอบ

ครีมแบรนด์ไทย ที่ทาผิวแล้วใครๆ ก็ชอบ หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับครีมทาผิวแบรนด์ต่างๆ ที่เห็นกันได้ทั่วไป แต่จะรู้หรือไม่ว่า คนไทยเราก็ทำครีมบำรุงผิวเองเหมือนกัน และก็ทำเป็นแบรนด์เลยด้วย รับรองว่าคุณภาพคับกระปุกแน่นอน เพราะคนไทยก็ไม่แพ้ชาติใดในโลกอยู่แล้ว แต่จะมี ครีมแบรนด์ไทย อะไรบ้างนั้น ไปดูกัน

1. ครีมบำรุงผิวเอมบลิก้าพลัส สมุนไพรอภัยภูเบศร์

ครีมแบรนด์ไทย

มากับเจ้าแรกที่มีความนิยมอย่างมากกันก่อนเลยกับ สมุนไพรอภัยภูเบศร์ เพราะผู้ผลิตเจ้านี้มีชื่อเสียงเกี่ยวกับสมุนไพรมากทีเดียว ซึ่งรับประกันได้เลยว่าดีสมคำล่ำลือ ใช้แล้วหน้าจะขาว ดูกระจ่างใส เพราะได้สารสกัดจากมะขามป้อมที่จะช่วยกระชับรูขุมขนให้ตื้นขึ้น ลดความหมองคล้ำบนใบหน้า เหมาะสำหรับสาวผิวธรรมดาไปจนถึงสาวผิวมัน รวมทั้งสาวๆ ที่มีปัญหาเรื่องสิวฝ้า เพราะเนื้อครีมซึมเข้าสู่ผิวเร็ว ทำให้ไม่เหนียวเหนอะหนะ และที่สำคัญคือไม่มีน้ำหอม ราคาอยู่ที่ 140 บาท สามารถหาซื้อตามท้องตลาดทั่วไป

2. ครีมแบรนด์ไทย แตงกวาผสมวิตามินอี สมุนไพรอภัยภูเบศร์

ครีมแบรนด์ไทย

แบรนด์เดิมเพิ่มเติมคือเป็นอีกเวอร์ชั่น เพราะได้ผสมสารสกัดจากแตงกวา และสารต่อต้านอนุมูลอิสระอย่างเช่นวิตามินอี ที่ช่วยในการช่วยบำรุงฟื้นฟูผิวให้มีสุขภาพดี ตัวนี้เหมาะกับสาวผิวธรรมดาถึงสาวผิวมันเช่นกัน แต่สำหรับสาวผิวแห้งถึงควรใช้เป็นครีมแตงกวาพลัสจะดีกว่า เพราะจะมีการเพิ่มสารสกัดจากน้ำมันรำข้าว ที่จะไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนังได้มากกว่า ซึ่งเหมาะสำหรับคนผิวแห้งมากๆ ราคาอยู่ที่ 245 บาท

3. BURNOVA GEL PLUS

ครีมแบรนด์ไทย

สำหรับสาวๆ ผิวแพ้ง่าย เกิดรอยแดง เป็นผื่นคันง่าย หรือมีปัญหาสิวเป็นประจำ ตัวนี้ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีมากๆ เพราะได้สารสกัดว่านหางจระเข้ สารสกัดใบบัวบก และแตงกวา ที่จะไปช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง และช่วยให้ชุ่มชื้นหลังจากที่โดนแดดจัดๆ ไม่มีกลิ่นน้ำหอมเช่นกัน โดยเนื้อเจลจะมีความใส และซึมเข้าสู่ผิวได้เร็วมาก โดยทั้งนี้สามารถใช้ได้ทั้งผิวหน้า และผิวกาย ราคาอยู่ที่ 45-200 บาท ตามขนาด

4. ครีมแบรนด์ไทย ว่านหางจระเข้ 100% เขาค้อทะเลภู

ครีมแบรนด์ไทย

มากับว่านหางจระเข้แท้ 100% ที่ใช้ทั้งน้ำและเนื้อว่าน เพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิวที่ต้องออกไปเผชิญกับแสงแดด หรือคนที่ต้องอยู่ในห้องปรับอากาศทั้งวัน แถมยังช่วยชะลอริ้วรอย ลดจุดด่างดำให้จางลง และยังรักษาแผลพุพองตามร่างกายได้อีก เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในครีมรักษาสิวได้ผลดีโดยเนื้อครีมจะเป็นน้ำที่มาพร้อมเนื้อว่านหางจระเข้สดๆ ไม่แต่งสี ไม่แต่งกลิ่น เมื่อทาแล้วผิวจะรู้สึกชุ่มชื้นขึ้นทันที ราคาอยู่ที่ 39 บาท สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ

5. น้ำมันมะพร้าวธรรมชาติ 100% สกัดเย็น ตราฟาร์มดี

ครีมแบรนด์ไทย

น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นที่ใครๆ ก็รู้จัก และเราก็รู้กันดีว่าน้ำมันมะพร้าวมีคุณค่าทางอาหารและประโยชน์มากมายกับร่างกาย เพราะมีสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ แถมยังเต็มไปด้วยวิตามินอีและไขมันดีซึ่งร่างกายต้องการ และน้ำมันมะพร้าวจะมีโมเลกุลที่เล็ก ซึ่งสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้เร็วมาก ทำให้สามารถใช้เป็นคลีนซิ่ง ที่ใช้ทำความสะอาดได้เป็นอย่างดี น้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์กับผิวหน้าคือ จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นเปล่งประกาย ลดความหมองคล้ำบนใบหน้า ซึ่งคนผิวมันก็ใช้ได้ เพราะไม่ทำให้อุดตัน เนื่องจากเป็นสารสกัดจากธรรมชาติแท้ ราคาอยู่ที่ประมาณ 89 บาท สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ

6. ครีมแบรนด์ไทย บำรุงผิวหน้าสารสกัดจากฝักข้าว จากโครงการหลวง

ครีมแบรนด์ไทย

แบรนด์เครื่องสำอางที่เป็นสมุนไพร จากโครงการหลวง โดยวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตจะมาจากโครงการพืชสมุนไพรที่มาจากโครงการหลวง โดยจะรับซื้อสมุนไพรในท้องถิ่นที่ชาวเขาได้เข้าร่วมโครงการ ทั้งนี้การผลิตจะผ่านการวิจัยและการทดลองนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างแน่นอน และมั่นใจได้เลยว่าจะไม่เกิดอาการแพ้.ทำให้สามารถการันตีถึงคุณภาพและความปลอดภัยได้เลยว่าดีแน่นอน โดยครีมหยดน้ำตัวนี้เต็มไปด้วยสารบำรุงจากผลฟักข้าว ซึ่งมีประโยชน์ที่ช่วยลดริ้วรอย ทำให้ผิวไม่แห้งกร้าน และยังช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสดูเป็นธรรมชาติ ราคาอยู่ที่ 499 บาท

7. เซรั่มบำรุงผิวหน้าฟักข้าว และเซรั่มบำรุงผิวหน้าคาเทชินจากใบชาเมี่ยง จากโครงการหลวง

ครีมแบรนด์ไทย

ปิดท้ายด้วยอีกผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวง โดยเซรั่มบำรุงผิวหน้าทั้งคู่นี้เป็นสินค้าใหม่จากโครงการหลวง โดยเซรั่มบำรุงผิวหน้าฟักข้าว จะเต็มไปด้วยไลโคปีน และเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีความสามารถในการช่วยสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ให้ผิวหน้าแข็งแรง ช่วยให้ริ้วรอยจางหายไป ช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิวหน้า หรือจะใช้เป็นไนท์ครีมที่ช่วยบำรุงผิวตอนกลางคืนก็ได้ ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 599 บาท

ครีมแบรนด์ไทย

ส่วนเซรั่มบำรุงผิวหน้าคาเทชินจากใบชาเมี่ยง จะมีส่วนช่วยในการกระชับรูขุมขน ช่วยลดการสร้างเม็ดสีในผิวหนัง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า รอยด่างดำ และความหมองคล้ำ โดยเนื้อเซรั่มจะมีความบางเบา ที่สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญคือทั้งคู่จะไม่มีกลิ่นน้ำหอม ราคาอยู่ที่ 799 บาท ซึ่งถ้าใช้ทั้ง 2 ตัวนี้คู่กันไปแล้ว รับรองว่าปังแน่นอน


ครีมขมิ้นทาหน้า ครีมทาหน้า ที่ใช้ “ขมิ้น”

ครีมแบรนด์ไทย

ครีมขมิ้นทาหน้า : ขมิ้นคือสมุนไพรไทยที่มีมาหลายยุคหลายสมัย มีสรรพคุณมากมายที่จะช่วยทำให้ผิวหน้าสดใส ผิวดูมีชีวิตชีวา ไม่มีจุดด่างดำ มีน้ำมีนวล ผุดผ่องกระจ่างใส และนี่คือ สูตรและวิธีการทำครีมหน้าขาวจากขมิ้น เอาไว้พอกหน้าพอกตัว และยังช่วยบำรุงทำให้ผิวพรรณสวย ผ่องใส สุขภาพผิวดี ด้วยพืชสมุนไพรสดจากธรรมชาติ 100%

ส่วนผสมของ ครีมขมิ้นทาหน้า ที่ใช้พอกหน้า “ขมิ้น” ผิวหน้าสดใส ผิวดูมีชีวิตชีวา ไม่มีจุดด่างดำ มีน้ำมีนวล ผุดผ่องกระจ่างใส ด้วยขมิ้น ประกอบด้วย

  • ขมิ้นสด 1 กำมือ
  • ดินสอพอง 4 เม็ด
  • มะนาว 1 ลูก
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีการทำครีมพอกหน้าด้วย “ขมิ้น”

ครีมแบรนด์ไทย

  • นำขมิ้น มาล้างน้ำให้สะอาด หลังจากนั้นให้หั่นซอยเป็นชิ้นเล็ก ๆ และนำเข้าไปในเครื่องปั่นผลไม้ น้ำมะนาวและน้ำผึ้ง จากนั้นใส่ดินสอพอง จนเนื้อทั้งหมดละเอียดรวมกันเป็นจนมีความข้นและเหนียว
  • ล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเปล่าธรรมดา ไม่ต้องใช้สบู่ใดๆ หรืออะไรใดๆทั้งสิ้น จากนั้นซับผิวหน้าให้แห้ง
  • นำส่วนผสมครีมพอกหน้า “ขมิ้น” ที่ได้มาพอกลงบนใบหน้าทั้งหมด เว้นรอบดวงตาไว้ เว้นรอบริมฝีปาก พอกให้ทั่วใบหน้ารวมถึงลำคอด้วย จากนั้นปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ ให้ตัวขมิ้นแทรกซึมเข้าไปในรูขุมขน รอให้ครีมขมิ้นทำงาน เป็นเวลาประมาณ 15 นาที จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยน้ำเย็น ซับใบหน้าให้แห้งอีกครั้งหนึ่ง
  • ควรพอกหน้าสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง โดยสูตรนี้สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว สิ่งสำคัญคือ ซับเบาๆ ไม่หน้าถูหน้าแรงๆ เพราะจะทำให้หน้าย่นได้ไวขึ้น

เคล็ดลับในการเลือกใช้สมุนไพรพอกหน้า สำหรับคนที่มีผิวหน้ามัน

ครีมแบรนด์ไทย

เลือกที่มีส่วนผสมของผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ซึ่งจะมีความเป็นกรด แต่ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มาก ควรใช้เพียงเล็กน้อยจะได้ผลดีกว่า และต้องดูให้ดีด้วยว่าเป็นผลไม้ชนิดใด เปรี้ยวมากน้อยแค่ไหน ตัวอย่าง เช่น หากใช้น้ำมะนาวอยู่ในส่วนผสม ใช้เพียง 2 หยด ก็พอต่อปริมาณน้ำครึ่งแก้ว ถ้าใช้มะขามเปียกหรือผลไม้ที่เปรี้ยวไม่มาก สามารถใช้ในปริมาณที่มากขึ้นมาได้

ห้ามใช้น้ำมันมะกอกหรือไข่แดงผสมใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวหน้ามันมากขึ้น แต่ก็สามารถใช้ไข่ขาวโดยแนะนำให้เป็นไข่ไก่ มาผสมปนเข้ากับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ได้

สำหรับคนที่หน้ามันแล้วอยากทำความสะอาดผิว ให้นำแตงกวามาหั่นเป็นแว่นๆ จากนั้นมาแปะลงไปที่ผิวหน้าก็ถือว่าเป็นสิ่งที่จะทำให้หน้าสะอาดได้ดีมาก โดยให้ใช้แตงกวาสดๆ หรือไม่ก็นำแตงกวาที่ปั่นแล้วมาพอกหน้าก็ได้ผลดีเช่นกัน เพราะเอนไซม์ที่มีอยู่ในเนื้อแตงกวาจะช่วยชำระทำความสะอาดให้ผิวหน้าสำหรับคนที่มีผิวมันให้เกลี้ยงเกลามากยิ่งขึ้น รวมทั้งทำลายเซลล์ที่ตายไปแล้วออกมาในรูปแบบของขี้ไคล ซึ่งก็จะทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสเปล่งปลั่งนวลเนียนมากขึ้น หากคุณไม่อยากผสมส่วนผสมต่างๆ เองคุณอาจสนใจบทความนี้ ครีมทาหน้าผสมสารสกัดจากผลไม้

เคล็ดลับในการเลือกใช้สมุนไพรพอกหน้า สำหรับคนที่มีผิวหน้าแห้ง

ครีมแบรนด์ไทย

ห้ามนำแตงกวาสดมาใช้ในคนที่มีผิวหน้าแห้งโดยเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้ผิวหน้าที่แห้งอยู่แล้ว แห้งหนักขึ้นไปอีก แนะนำให้หันไปใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ ที่ไม่สร้างอันตรายให้ผิวแห้งทั้งหลายจะดีกว่า ซึ่งก็มีอยู่มากมายหลายชนิดทีเดียว

ห้ามใช้ผลไม้หรือสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยวมากหรือมีกรดมากมาใช้ เพราะจะไม่ถูกกันกับผิวแห้ง แต่ถ้าหากเป็นผลไม้หรือสมุนไพรที่มีกรดอ่อนๆ ก็ไม่เป็นไร อย่างเช่น ส้มเขียวหวาน ส้มเช้ง ฝรั่ง เป็นต้น เพราะรสเปรี้ยวหรือความเป็นกรดมีอยู่น้อยกว่าชนิดอื่นมาก

สำหรับผู้คนที่มีผิวหน้าแห้ง ถ้าหากเอาผลไม้หรือสมุนไพรที่มีกรดน้อยมาใช้เป็นส่วนผสมในการพอกผิวหน้า ควรใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ และต้องใช้เวลาในการพอกหน้าไม่นานจนเกินไป พอกสัก 10 นาทีก็พอแล้ว

สำหรับผู้คนที่มีผิวหน้าแห้ง ถ้าหากเอาไข่แดงที่มาจากไข่ไก่มาเป็นส่วนผสมของสมุนไพรพอกหน้าแล้วจะให้ผลลัพธ์ที่ดีมากๆ เพราะทำให้ผิวหน้ามีความชุ่มชื่นขึ้นได้ แต่ก็ระวังว่าอย่านำเอาไข่ขาวมาผสม เพราะผลลัพธ์จะแตกต่างออกไปแน่นอน


ครีมทองคำ : จริงหรือไม่ที่ครีมผสมทองคำช่วยให้ผิวหน้าเต่งตึงขึ้น

ครีมแบรนด์ไทย

ครีมทองคำ ในส่วนของทองคำเป็นอัญมณีล้ำค่าที่มีมาตั้งแต่อดีต โดยมนุษย์ส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับอัญมณีที่มีมูลค่าและหายากมาสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสุขภาพร่างกายและความงามในตนเองเสมอ และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหรือครีมทาผิวที่มีส่วนผสมของทองคำได้ออกสู่ตลาดโลกในหลายรูปแบบ มาทั้งแบบครีมทาผิว แบบครีมพอกหน้า รวมทั้งแผ่นทองคำเปลวบริสุทธิ์ 24 K ซึ่งใช้เฉพาะการพอกหน้า

การนำทองคำมาใช้กับอาหารและเครื่องดื่ม

ครีมแบรนด์ไทย

จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้มีการพบว่าทองคำบริสุทธิ์ จะไม่สามารถสร้างปฏิกิริยากับสารเคมีใดๆ หรือต่อเซลล์ของร่างกายได้เลย แสดงว่าจะไม่ก่อให้เกิดความอันตรายหรืออาการข้างเคียงภายหลังแน่นอน โดยสหภาพยุโรปได้รับรองและได้อนุญาตให้ทองคำ เป็นสารเติมแต่งที่ผสมในอาหารได้ ในประเทศเยอรมนีและประเทศแถบยุโรปหลายประเทศ ได้มีการนำแผ่นทองคำเปลวหรือในรูปของผงบดละเอียด มาประยุกต์ใช้ผสมในการตกแต่งอาหาร รวมทั้งได้ผสมในเครื่องดื่มยี่ห้อเก่าแก่มานานในยุโรป

ซึ่งส่วนใหญ่ก็จัดอยู่ในประเภทเครื่องดื่มสุขภาพที่มีราคาแพงจัด และในประเทศบาหลี ได้มีการนำทองคำบริสุทธิ์มาผสมในการทำขนมหวาน ซึ่งอย่างไรก็ตามเนื่องจากทองคำมีคุณสมบัติเฉื่อยช้า จึงทำให้ไม่มีปฏิกิริยากับกระบวนการทำงานและอวัยวะในร่างกายใดๆ นั่นแปลว่าทองคำบริสุทธิ์จะไม่มีรสชาติ แถมยังไม่มีคุณค่าทางอาหาร สุดท้ายก็จะถูกขับออกจากร่างกาย โดยที่ยังอยู่ในสภาพเดิม

การนำมาใช้ในวงการแพทย์

ความเชื่อของคนสมัยก่อนเชื่อว่าทองคำมีความสามารถในการสมานโรค ซึ่งช่วยให้สุขภาพกายดีขึ้น ในทางการแพทย์ได้มีการทดลองนำแร่ทองคำบริสุทธิ์มาเตรียมให้อยู่ในรูปแบบของเกลือ จากนั้นได้พบว่าสารดังกล่าวมีฤทธิ์ความสามารถในการต้านอาการอับเสบ และอาการบวมช้ำของโรคเก๊าท์ ซึ่งที่กล่าวมาได้มีการทดลองนำมารักษาโรคดังกล่าวตั้งแต่ 80 ปีที่แล้ว นอกจากนี้ยังเชื่อว่าทองคำบริสุทธิ์มีความสามารถในการต้านสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากข้อกระดูกอักเสบ

ซึ่งทำให้สามารถบรรเทาลดความเจ็บปวดและอาการบวมช้ำได้ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การฉีดทองคำในรูปแบบของเกลือจะก่อให้เกิดความอันตรายข้างเคียงในการยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวได้ แถมยังมีผลกระทบที่จะไปสะสมในตับและสะสมในไตอีกด้วย ดังนั้นผู้ที่ได้รับการรักษาโรคนี้จึงได้รับการตรวจเช็กเลือดอย่างสม่ำเสมอ

ประยุกต์ใช้กับเครื่องสำอางสำหรับลดริ้วรอยที่เหี่ยวย่น

ครีมแบรนด์ไทย

จากการที่แพทย์ได้ค้นพบว่า ทองคำสามารถต้านสารอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดีและยังส่งผลให้เกิดกลไกการทำงานในการต้านอาการอักเสบของข้อกระดูกในโรคเก๊าท์เป็นไปด้วยดี ทำให้นักวิทยาศาสตร์ที่ชำนาญในเครื่องสำอางมีความเชื่อว่ากลไกที่เหมือนกันนี้ ทองคำน่าจะมีประสิทธิภาพต้านสารอนุมูลอิสระในผิวหนังและสามารถต้านอาการอักเสบของผิวหนังที่มาจากการรับรังสียูวีได้ จึงได้มีการนำทองคำมาประยุกต์ใช้ผสมกับเครื่องสำอางที่มียี่ห้องและราคาแพง ในรูปแบบต่างๆ เพื่อประโยชน์ของครีม กับในการยืดอายุผิวให้เต่งตึงนานๆ และช่วยลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่น ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีการพิสูจน์ที่ชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ว่าประสิทธิภาพการชะลออายุผิวของทองคำเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ จะคุ้มค่าตามราคาหรือไม่

ผลเสียและอาการข้างเคียง

ครีมแบรนด์ไทย

อย่างที่บอกว่า ครีมทองคำ ที่เป็นแร่ทองคำบริสุทธิ์จะไม่เป็นพิษและไม่ระคายเคืองต่อเซลล์ในร่างกาย แต่ถ้าแร่ทองคำได้มีเปลี่ยนแปลงทางเคมีจนไปอยู่ในรูปของเกลือ จะทำให้สร้างอันตรายต่อไต ต่อตับ และยังยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการพบว่าแร่ทองคำยังทำให้เกิดอาการแพ้ที่ผิวหนังและระคายเคืองผิวหนังได้


ประโยชน์ของ ครีมหอยทาก ที่คุณควรรู้ก่อนทำการเลือกซื้อ

ครีมแบรนด์ไทย

ประโยชน์ของ ครีมหอยทาก ที่คุณควรรู้ก่อนทำการเลือกซื้อ ผลิตภัณฑ์เสริมความงามและครีมหน้าขาวหลากหลายยี่ห้อได้ใช้ “เมือกหอยทาก” มาเป็นส่วนประกอบที่ใช้เป็นจุดขายให้กับแบรนด์ของตัวเอง แน่นอนว่าจะทำให้สาวๆ หรือผู้ใช้หลายคนเริ่มเกิดความสงสัยที่ว่า “เมือกหอยทากมันมีดีอะไร ทำไมหลายๆ แบรนด์ต้องนำมาเป็นส่วนผสมของครีมบำรุงผิวและครีมหน้าขาว แล้วมันจะมีอันตรายต่อผิวพรรณใบหน้าหรือเปล่า?”

คำตอบวันนี้มีอยู่ที่นี่แล้วไปดูกัน โดยบทความในวันนี้เราจะไม่ได้ระบุเน้นแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง โดยจะเป็นการให้ความรู้มากกว่า ซึ่งก็จะมาเจาะลึกกันว่า ครีมหอยทาก มีที่มาอย่างไรมาจากไหน มีประสิทธิภาพความสามารถในการบำรุงผิวพรรณมากแค่ไหน และมีผลตอบรับกับครีมหน้าขาวชนิดนี้อย่างไรบ้าง

ความเป็นมาของการใช้เมือกหอยทากสำหรับการเสริมความงาม

ประเทศชิลีเป็นประเทศแรกที่มีการค้นพบว่าเมือกหอยทากสามารถนำมาใช้ในการช่วยบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดี ความเป็นมาก็มาจากคนงานในฟาร์มที่เลี้ยงหอยทาก ซึ่งมีหน้าที่ในการขนหอยทากไปให้กับร้านอาหารฝรั่งเศสเป็นประจำทุกวัน กลับมีผิวมือที่นุ่มนวลน่าสัมผัส แถมบาดแผลที่มือที่เกิดจากอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆ ก็สามารถหายได้อย่างรวดเร็วมากกว่าเดิม จึงทำให้นักวิจัยเกิดความสงสัยและได้ตกลงวิจัยหาสรรพคุณของสารในเมือกของหอยทากขึ้นมานั่นเอง

เมือกหอยทากช่วยบำรุงผิวพรรณได้อย่างไร

ครีมแบรนด์ไทย

เมือกหอยทาก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Helix Aspersa Miller Glycoconjugates ซึ่งจากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ทำให้พบว่าผิวของหอยทากและมนุษย์ได้มีองค์ประกอบที่มีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก เพราะแม้แต่ปริมาณของคอลลาเจนและอีลาสตินเองก็มีปริมาณเกือบจะเท่ากัน

เมือกของหอยทาก ที่เราได้นำมาทำการสกัดลงเป็นส่วนประกอบใน ครีมหอยทาก ก็เป็นชนิดเดียวกับเมือกคราบขาวๆ ที่เราเห็นอยู่บนทางที่หอยทากได้เดินผ่านไป ซึ่งเจ้าเมือกของหอยทากนี้จะช่วยปกป้องส่วนท้องและส่วนที่สัมผัสพื้น ในขณะที่หอยทากกำลังเดินนั่นเอง

เมื่อหอยทากไปเจอสภาวะอาจเกิดอันตราย หอยทากจะทำการผลิตเมือกที่ผิวออกมา ซึ่งในเมือกของหอยทากจะเต็มไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ สารต่อต้านการอักเสบของร่างกาย สารปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย เปปไทด์ เอนไซม์และสารที่ติดต่อกับเซลล์ผิว และคุณสมบัติคร่าวๆ ของเมือกหอยทากที่ช่วยในการบำรุงผิว ดังต่อไปนี้

Allantoin นี่เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านของการอักเสบและการระคายเคืองของผิว นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มจำนวนของน้ำให้กับเซลล์ผิว ซึ่งทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้เต่งตึงขึ้น และช่วยลดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยเร่งกระบวนการในการผลัดเซลล์ผิวใหม่ และช่วยควบคุมความมันของใบหน้า

Gluconic Acid เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการช่วยขจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพหรือเซลล์ที่ตายแล้ว และช่วยควบคุมความมันของผิว

Collagen และ Elastin เป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยในการที่จะทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น เปล่งประกาย มีน้ำมีนวล มีความเต่งตึง และช่วยในเรื่องความยืดหยุ่นของผิวให้กระชับขึ้นด้วย

Protein เป็นสารอาหารที่มีคุณสมบัติช่วยเป็นอาหารให้กับผิว และยังช่วยปรับสภาพผิวให้มีความกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น

Vitamin A, C, E วิตามินทั้งหลายจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย

AHA เป็นสารที่ช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมหรือตายแล้ว และยังช่วยควบคุมความมันของผิว


อ้างอิง:

7 Benefits Of Turmeric For Your Skin & How To Use It. https://skinkraft.com/blogs/articles/benefits-of-turmeric-for-glowing-skin

Why gold is good for your skin. https://www.mecca.com.au/the-mecca-memo/the-in-tray/gold-trend.html

Why Snail Skin Care Rocks. https://greatist.com/health/snail-skin-care

อายครีมตัวไหนดี 15 ตัวท็อปสำหรับสาวๆ ทุกคน

อายครีมตัวไหนดี 15 ตัวท็อปสำหรับสาวๆ ทุกคน

สาวๆ หลายคนคงเคยประสบปัญหาที่ว่า ตาคล้ำ ตาดำ ตาแพนด้า อะไรต่างๆ นานา จะใช้ อายครีมตัวไหนดี แต่วันนี้จะบอกว่ามีสุดยอดอายครีมที่บอกได้เลยว่า สาวๆ จะต้องชอบอย่างแน่นอน เพราะสามารถกลบเกลื่อนรอยคล้ำ ด่างดำได้เป็นอย่างดี และยังทำให้ตาดูวิ้งๆ ปิ๊งๆ มากขึ้นอีกด้วย มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

1. LA MER THE EYE BALM INTENSE

อายครีมตัวไหนดี

มากับตัวแรก ที่เป็นอายครีมที่มีความบางเบามากๆ แน่นอนว่าของลาแมร์ เมื่อใช้แล้วจะทำให้ผิวหนังดูชุ่มชื้น ดูมีความเป็นธรรมชาติ และตัวนี้สามารถใช้ได้กับผิวทุกประเภท ประโยชน์ของมันคือ สามารถช่วยลดรอยคล้ำใต้ตาลงไปได้ ให้ความนุ่มนวลกับผิวได้ดี และในกล่องที่แนบมาก็จะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า “ซิลเวอร์ แอพพลิเคเตอร์” มาให้ด้วย ซึ่งก็จะช่วยทำให้เนื้อครีมสามารถซึมลึกเข้าไปสู่เนื้อผิวได้ดีกว่ามือเปล่า ราคาอยู่ที่ประมาณ 8,500 บาท 

2. ARCONA EYE DEW

อายครีมตัวไหนดี

ชื่อแปลกๆ ไม่คุ้นหู แต่แน่นอนว่ายุโรป และอเมริกา รวมทั้งหลายๆ ประเทศจะต้องคุ้นชินกับแบรนด์นี้แน่นอน โดยเฉพาะตัวนี้แหละ เพราะว่าเป็นครีมที่สามารถลดรอยให้ผิวตาได้ดี ซึ่งมีสารสกัดหลากหลายชนิดที่ผสมอยู่ในครีมนี้ จึงทำให้เป็นการบำรุงรอบดวงตาที่เหมือนได้ไปทำสปาเลยทีเดียว ราคาอยู่ที่ 1,400 บาท

3. ENDOCARE EYE & LIP CONTOUR

อายครีมตัวไหนดี

มากับตัวที่เรียกว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะตัวนี้ประกอบไปด้วย 2 การทำงานในขวดเดียว โดยสามารถใช้ทั้งรอบดวงตาและที่ริมฝีปากก็ได้ ซึ่งตัวนี้ก็เป็นเซรั่มหอยทากที่สกัดมาได้อย่างเข้มข้น และได้ผสมลงไปในเนื้อครีม ซึ่งทำออกมาได้บางเบา น่าใช้มาก ประโยชน์คือมีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้ และช่วยลดอาการอักเสบ ช่วยในการฟื้นฟูผิว เรียกว่าตัวนี้ดีมากๆ กับราคา 1,500 บาท

4. BOBBI BROWN EYE REPAIR CREAM

อายครีมตัวไหนดี

นี่คืออายครีม ที่ได้สกัดมาจากน้ำมันธรรมชาติพิเศษจากผลอะโวคาโด ซึ่งตัวนี้สามารถใช้ทารองพื้นก่อนทาคอนซีลเลอร์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็จะช่วยให้การทาครีมดูเรียบเนียนขึ้น ไม่เป็นขุย ไม่หนา ไม่โบ๊ะ เหมือนอายครีมตัวอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของสารสกัดจากว่านหางจระเข้ ซึ่งก็จะเป็นส่วนช่วยในการบำรุงผิว ให้สวยใสเรียบเนียนยิ่งๆ ขึ้นไป ราคาอยู่ที่ 1,900 บาท

5. SKII SKIN SIGNATURE EYE CREAM

อายครีมตัวไหนดี

ตัวนี้เป็นอายครีมที่มีส่วนผสมเข้มข้นพิเศษจากพิเทร่าและโอลิไวทิล ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากในการลดความหมองคลํ้าให้ขอบตา ปรับเปลี่ยนสีผิวรอบตาที่ไม่เท่ากัน ให้สม่ำเสมอกัน และยังช่วยในการบำรุงริ้วรอยต่างๆ ได้ด้วย ซึ่งอายครีมตัวนี้ก็จะเหมาะกันกับสาวผิวแห้งมากกว่า เพราะตัวเนื้อครีมมีความมันและเหลวพอสมควร ราคาอยู่ที่ 3,510 บาท

6. KIEHL’S CREAMY EYE TREATMENT WITH AVOCADO

อายครีมตัวไหนดี

สำหรับเจ้าอายครีมตัวนี้จะไม่ได้ไปเน้นการบำรุงเรื่องของการลดริ้วรอย แต่จะเป็นตัวช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนังมากกว่า เพราะตัวครีมได้สารสกัดจากอะโวคาโด ซึ่งก็สามารถซึมเข้าผิวได้เร็วมากๆ ทาไปเพียงแต่ไม่กี่วินาที ครีมก็สามารถซึมลงสู่ผิวไปหมดแล้ว โดยเทคนิคการใช้ครีมชนิดนี้คือ จะต้องบีบครีมลงบนมือ และทาวนในมือให้ละเอียดเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยทาลงสู่ผิวตา เพื่อการซึมเข้าผิวหนังที่ดีที่สุด ราคาอยู่ที่ 1,400 บาท

7. EMBRYOLISSE SOIN LISSANT CONTOUR DES YEUX

อายครีมตัวไหนดี

นี่เป็นผลิตภัณฑ์จากดินแดนแห่งน้ำหอม ประเทศฝรั่งเศสนั่นเอง ซึ่งนี่ก็เป็นอายครีมที่ช่างแต่งหน้าชั้นนำทั่วโลกนิยมใช้เป็นอย่างมาก จะมีส่วนช่วยในการลดรอบเหี่ยวย่น รอยตีนกาที่ใบหน้า ทำให้เหมาะกับสาวรุ่นใหญ่ แต่สาวรุ่นเล็กที่มีปัญหาก็ใช้ได้เช่นกัน ทั้งยังช่วยลดถึงใต้ตาอีกด้วย ราคาอยู่ที่ 1,350 บาท

8. ORIGINS GINZINGTM REFRESHING EYE CREAM

อายครีมตัวไหนดี

หากถามว่า อายครีมตัวไหนดี  ขอแนะนำอายครีมที่เห็นผลไว ตัวนี้เพราะหลังจากใช้งานเพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้เลย เพราะมีส่วนผสมของสมุนไพรอย่างโสมและสารสกัดจากส้ม ที่มีส่วนช่วยในการฟื้นฟูผิวให้เต่งตึง กระชับ ดูมีชีวิตชีวา และยังช่วยปรับความเรียบเนียนของผิวให้ดีขึ้น ราคาอยู่ที่ 1,500 บาท

9. BORGHESE FLUIDO PROTETTIVO ADVANCED SPA LIFT FOR EYES

อายครีมตัวไหนดี

นี่เป็นเจลอายครีมที่มีเนื้อที่ทั้งบาง ทั้งเบามากๆ แถมยังมีกลิ่นที่ไม่แรงจนเกินไป ทำให้ทาแล้วไม่เกิดผลข้างเคียงแน่นอน ทำให้เหมาะสำหรับสาวผิวบาง แพ้ผิวง่าย โดยตัวนี้เป็นตัวหนึ่งที่มีราคาที่สูงพอสมควร แต่ก็คุ้มค่ามากๆ ถึงขนาด Blogger เครื่องสำอางของต่างประเทศก็ได้รีวิวและบอกเลยว่าดีจริงๆ ราคาอยู่ที่ 2,000 บาท

10. CLARINS DEFINING EYE LIFT

อายครีมตัวไหนดี

มากับอายครีมที่จะมาช่วยในการทำให้เลือดบริเวณใต้ตาไหลเวียนได้ดีขึ้น ช่วยทำให้ผิวสามารถฟื้นฟูได้ไวขึ้น โดยตัวอายครีมจะเป็นเนื้อเจล สีน้ำตาลอ่อนๆ คล้ายเซรั่ม ทำให้ไม่มีความเหนียวเหนอะหนะเหมือนครีมธรรมดา มีกลิ่นหอมนิดๆ พอให้ได้กลิ่น ราคาอยู่ที่ 2,150 บาท

11. DERMALOGICA AGE REVERSAL EYE COMPLEX

อายครีมตัวไหนดี

มาแปลกกับอายครีมตัวนี้ เพราะตัวนี้แนะนำว่าให้ใช้แค่วันละครั้งก็พอ โดยอาจจะเลือกเวลาใดเวลาหนึ่งของวันแค่ครั้งเดียว โดยอายครีมตัวนี้มีคุณสมบัติที่สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว และช่วยบำรุงให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น เนื้อครีมเป็นลักษณะ ขาวๆ ขุ่นๆ แน่นอนว่าต้องวอร์มก่อนทา เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ราคาอยู่ที่ 2,700 บาท

12. CLINIQUE ALL ABOUT EYES SERUM

อายครีมตัวไหนดี

สำหรับอายครีมตัวนี้มาในรูปแบบของลูกกลิ้ง แนะนำว่าใช้นำไปแช่ตู้เย็น จากนั้นจึงนำมาทาที่ขอบตา จะให้ความรู้สึกที่สดชื่นมากๆ ซึ่งก็จะทำให้ผิวดูเรียบเนียน และผ่อนคลายมากขึ้น โดยจะอยู่ในรูปของเซรั่มใสๆ บางๆ จะนำไปใช้ตอนไหนก็ได้ ไม่เลอะเทอะผิวแน่นอน ราคาอยู่ที่ 1,500 บาท

13. SHISEIDO IBUKI EYE CORRECTING CREAM

อายครีมตัวไหนดี

มากับอายครีมอีกตัวที่มีเนื้อครีมที่ไม่ค่อยเข้มข้นเท่าไรนัก แต่มีความยืดหยุ่นสูงมากทีเดียว โดยเนื้อครีมจะมีสีคล้ายสีพีช มีความนุ่ม ลื่นๆ ละมุนสุดๆ มีกลิ่นน้ำหอมเล็กๆ ให้พอได้กลิ่น เนื้อครีมสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ไวมาก เทคนิคคือ ใช้ทาที่เปลือกตาด้านบน และทาที่หางตา เพราะนั่นเป็นจุดที่จะเกิดริ้วรอบได้ง่ายมากๆ ราคาอยู่ที่ 1,250 บาท

14. BENEFIT IT’S POTENT EYE CREAM

อายครีมตัวไหนดี

อาจจะแปลกๆ หน่อยกับอายครีมตัวนี้ เพราะว่าจะมีกลิ่นยาติดมากับตัวครีมด้วย แต่ถ้าได้ใช้แล้วรับรองว่าผิดคาดแน่นอน เพราะสามารถให้ความชุ่มชื้นที่ดวงตาได้ดี โดยตัวเนื้อครีมจะหนักไปทางรองพื้นโทนหนัก ซึ่งก็สามารถเคลือบผิวได้ดีมากที่เดียว เหมาะสำหรับคนที่มีผิวหนังที่แห้ง เพราะสามารถปรับให้ดูชุ่มชื้น เรียบเนียนขึ้นมาได้ ราคาอยู่ที่ 1,300 บาท

15. ESTEE LAUDER ADVANCED NIGHT REPAIR 

อายครีมตัวไหนดี

ตัวสุดท้ายเป็นอายครีมที่มีเนื้อข้นมากๆ ซึ่งก็จะซึมเข้าผิวนานหน่อย แต่รับรองว่าเวิร์คแน่นอน เพราะสามารถลดรอยที่หางตาได้ดี ปรับผิวตาให้ดูเรียบเนียน สม่ำเสมอ แต่ตัวนี้จะนิยมใช้ตอนกลางคืนมากกว่า เพราะจะให้ความรู้สึกที่เหนอะหนะ และมันไปหน่อย ราคาอยู่ที่ 2,600 บาท หรือใครที่มองว่าแบรนด์ต่างประเทศมีราคาที่ค้อนข้างสูง คุณอาจสนใจ ครีมแบรนด์ไทยช่วยผิวสวย ราคาย่อมเยาเหมาะกับคนไทยโดยเฉพาะ


5 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ทาหน้าขาวใสโดยเฉพาะ

อายครีมตัวไหนดี

5 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ทาหน้าขาวใสโดยเฉพาะ นอกจากหาอายครีมตัวไหนดี บำรุงแต่รอยหมองคล้ำใต้ตาอย่างเดียวจนลืมบำรุงผิวหน้าด้วยนะ ที่สำคัญก่อนลงสกินแคร์ก็อย่าลืมทำตามขั้นตอนการทาสกินแคร์รูทีนที่ถูกต้องเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้ได้ผลดีที่สุดด้วย วันนี้จึงมี 5 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ทาหน้าขาวใสโดยเฉพาะ มาฝากกัน มีอะไรบ้างไปดูเลย  

1. LA ROCHE-POSAY EFFACLAR DUO +

อายครีมตัวไหนดี

นี่เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่จะมาช่วยในการบำรุงผิวหน้าให้ดูสดใสขึ้น ช่วยลดสิวอุดตันได้ ลดรอยดำรอยแดง และช่วยไม่ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน โดยตัวนี้จะเหมาะมากๆ สำหรับคนที่มีผิวหน้าที่มัน ราคาอยู่ที่ 900 บาทเท่านั้น คุ้มสุดๆ

2. HADA LABO SUPER HYALURONIC ACID MOISTURIZING LOTION

อายครีมตัวไหนดี

มากับโลชั่นเนื้อบางเบา ที่เป็นคล้ายเจลใสๆ โดยโลชั่นตัวนี้จะให้ความชุ่มชื้น และช่วยเติมเต็มผิวหน้าให้ดูกระจ่างใสขึ้น และยังไม่ทำให้เกิดคราบ และอาการเหนียวเหนอะหนะอีกด้วย ซึ่ง Hada labo เองก็ได้ทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสกินแคร์อยู่เยอะเหมือนกัน ลองไปหาดูกันได้ส่วนราคาตัวนี้อยู่ที่ 495 บาท

3. NATURE REPUBLIC ALOE VERA 92 SOOTHING GEL

อายครีมตัวไหนดี

นี่เป็นเจลที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่น ซึ่งได้ทำมาจากว่างหางจระเข้ ที่สำหรับเมืองไทยมันคือสมุนไพรชนิดหนึ่งที่สามารถรักษาแล้วช่วยแก้ไขอาการได้เยอะมาก โดยคุณสมบัติของเจล ตัวนี้คือ ซึมเข้าสู่ผิวได้เร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ สามารถทาได้ทั้งผิวกายและใบหน้า จะนำมาทาหน้า หรือพอกหน้าก็ได้ เหมาะสำหรับคนที่ชอบลุยๆ ไปผ่านอะไรมาเยอะแล้วก็มาจบที่ตัวนี้ โดยราคาอยู่ที่ 290 บาท

4. NEUTROGENA HYDRO BOOST WATER GEL

อายครีมตัวไหนดี

มากับเจลที่ช่วยในการเพิ่มเติมความชุ่มชื้นให้ผิว และยังช่วยกักเก็บน้ำให้ผิวได้อีกด้วย ตัวนี้เป็นเจลที่หลายคนใช้แล้วชอบมากๆ ถึงกับบอกต่อกันเลยทีเดียว ซึ่งการทำงานของมันคือ จะไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ซึ่งถ้าผิวมีความชุ่มชื่นที่มากพอ ก็จะทำให้ความมันที่มีอยู่ลดน้อยลงได้ และคุณสมบัติที่น่าสนใจของตัวนี้คือ สามารถซึมซับเข้าสู่ผิวได้เร็ว รับรองว่าต้องชอบกันแน่นอน ราคาอยู่ที่ 499 บาท

5. GARNIER DARK SPOT CORRECTOR SERUM

อายครีมตัวไหนดี

ตัวนี้ก็เป็นเซรั่มที่สามารถแก้ปัญหาจุดด่างดำที่อยู่บนใบหน้า ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน ขาวกระจ่างใสได้ โดยตัวนี้สามารถทาได้ทั้งตอนเช้าและตอนเย็น คือไม่จำกัดเวลาทา แล้วความสะดวกเลย ซึ่งตัวนี้ก็สามารถไปวัดกับรุ่นพี่ตัวแรกอย่าง La Roche Posay Effaclar Duo+ ได้สบายๆ แต่ตัวนี้จะเป็นเวอร์ชั่นราคาประหยัด ยังไงก็ไปลองใช้กันดู ราคาอยู่ที่ 299 บาท


อ้างอิง

The 15 Very Best Eye Creams. https://nymag.com/strategist/article/best-eye-creams.html

ครีมทาหน้าขาวใส 10 ส่วนผสมสารสกัดจากผลไม้ และให้คุณประโยชน์

ครีมทาหน้าขาวใส 10 ส่วนผสมสารสกัดจากผลไม้ และให้คุณประโยชน์

ครีมทาหน้าขาวใส 10 ส่วนผสมสารสกัดจากผลไม้ต่างๆ และให้คุณประโยชน์ วันนี้เราจะมาทำการเจาะลึกกันว่า การใช้ ครีมทาหน้าขาวใส ที่ผสมสารสกัดจากผลไม้ชนิดต่างๆ นั้น มีประโยชน์และคุณสมบัติที่แตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้คุณเลือกใช้ครีมทาหน้าที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากผลไม้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ  

ครีมทาหน้าขาวใส

1. ครีมทาหน้าขาวใส ที่ผสมสารสกัดแอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลนั้นมีวิตามินซีอยู่เป็นจำนวนมาก และยังมีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวสดใสมากขึ้น ปรับสภาพผิวให้นุ่มเนียน และมีคอลลาเจนกับอีลาสตินที่ช่วยลดริ้วรอยต่างๆ อีกด้วย

ครีมทาหน้าขาวใส

2. ครีมทาหน้าที่ผสมสารสกัดแบล็กเบอร์รี่

แบล็กเบอร์รี่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น แอนโธไซยานิน วิตามินอี และกรดเอลลาจิก ทั้งยังมีสารที่มีคุณสมบัติอันช่วยเรื่องผิวอย่างมากเช่น โฟเลต กรดฟีโนลิก และวิตามินซี ซึ่งช่วยให้ผิวตึงกระชับ และดูอ่อนกว่าวัย

ครีมทาหน้าขาวใส

3. ครีมทาหน้าขาวใส ที่ผสมสารสกัดแครนเบอร์รี่

แครนเบอร์รี่ เป็นผลไม้อีกชนิดที่มี วิตามินซีสูงมาก ซึ่งจะช่วยในเรื่องชะลอการเสื่อมสภาพของผิวได้เยี่ยม

ครีมทาหน้าขาวใส

4. ครีมทาหน้าที่ผสมสารสกัดบลูเบอร์รี่

บลูเบอร์รี่ เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ทำให้ร่างกายลดการทำลายเซลล์ต่างๆ ได้มากขึ้น ทำให้ผิวและร่างกายดูอ่อนกว่าวัย

ครีมทาหน้าขาวใส

5. ครีมทาหน้าขาวใส ที่ผสมสารสกัดบลูราสเบอร์รี่

บลูราสเบอร์รี่ ผลไม้อีกชนิดของตระกูลเบอร์รี่ ซึ่งแน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แต่นอกจากนี้บลูราสเบอร์รี่ยังอุดมไปด้วยวิตามิน A และ B ซึ่งจะแตกต่างจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ชนิดอื่น เพราะว่าช่วยในเรื่องของการสมานแผลอีกด้วย

ครีมทาหน้าขาวใส

6. ครีมทาหน้าที่ผสมสารสกัดเชอร์รี่

เชอร์รี่เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่นิยมนำมาผสมในครีมทาหน้าชนิดต่างๆ เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยซ่อมแซมเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยสังเคราะห์คอลลาเจน ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยให้ผิว ดูกระจ่างใส และเนียนนุ่มอย่างตรงจุด ช่วยให้ผิวขาวใสได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ครีมทาหน้าขาวใส

7. ครีมทาหน้าขาวใส ที่ผสมสารสกัดสตรอว์เบอร์รี่

สตรอว์เบอร์รี่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่มีประโยชน์มาก ช่วยในเรื่องของผลัดเซลล์ผิวเก่า ทำให้ผิวกระจ่างใส หลายคนนิยมมาพอกหน้าแบบสดๆ ซึ่งสามารถใช้ได้ทุกสภาพผิว ทุกอายุ ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น

ครีมทาหน้าขาวใส

8. ครีมทาหน้าที่ผสมสารสกัดโกจิเบอร์รี่

โกจิเบอร์รี่ถือว่าเป็นผลไม้ที่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ค่อยรู้จักกันสักเท่าไหร่ แต่ว่ามันได้ถูกนำมาผสมในครีมทาหน้า เพราะว่ามีส่วนช่วยให้ผิวกลับคืนสภาพ ขาวใส ยกกระชับส่วนที่เหี่ยวย่น บางคนนิยมนำมาพอกหรือขัดบริเวณที่มีความดำด้าน ตาตุ่ม หัวเข่า หรือว่าข้อศอก

ครีมทาหน้าขาวใส

9. ครีมทาหน้าขาวใส ที่ผสมสารสกัดมะละกอ

ในมะละกอมีเอนไซม์ที่มีคุณสมบัติชัดเจนในเรื่องการช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า และช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี รักษาสิว ช่วยให้ผิวขาวขึ้น และป้องกันแดดได้ นอกจากนี้ยังสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดีมากกว่ากรดน้ำนมถึง 5 เท่า ทำให้รอยแผลเป็นจะดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด

ครีมทาหน้าขาวใส

10. ครีมทาหน้าที่ผสมสารสกัดส้มยูซุ 

ผลไม้ตระกูล Citrus ส้มสายพันธุ์จากประเทศญี่ปุ่น อุดมไปด้วยคุณประโยชน์และวิตามินต่างๆ มากมาย สารอาหารที่สำคัญที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเบต้าแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ทำให้ผิวหนังยืดหยุ่นและสว่างกระจ่างใส ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังด้วย

สารสกัดจากผลไม้ชนิดต่างๆ นั้นมีประโยชน์มหาศาลต่อผิว ซึ่งนอกจากนี้ยังมีผลไม้อีกมากมายหลายร้อยชนิดที่ให้คุณประโยชน์ต่อผิว และนิยมนำมาผสมในครีมทาหน้าชนิดต่างๆ แต่ในบทความนี้อาจจะไม่ได้นำมาแนะนำกันได้ครบทุกชนิด ดังนั้น ก่อนเลือกซื้อใช้ครีมอย่าลืมศึกษาและดูส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ของครีมทาหน้าที่ต้องการซื้อให้ดี ก่อนการตัดสินใจเพื่อช่วยให้บำรุงผิวและดูแลได้อย่างตรงจุดมากที่สุด หากคุณอยากมีใบหน้าที่ขาวใส คุณอาจสนใจบทความนี้ ครีมกลูต้าไวท์ที่ใช้ได้ผลจริง


ทํา ครีมทาหน้าขาวใส ใช้เองง่ายๆ ต้องใช้อะไรบ้าง

ครีมทาหน้าขาวใส

ทําครีมใช้เองง่ายๆ แน่นอนว่าสาวๆ หลายคนคงจะชอบใช้ครีมกันแน่ๆ แต่ก็ด้วยราคาของครีมหน้าขาวที่แพงหรือไม่ก็การทำงานของครีมที่ไม่ได้ดั่งใจ แถมครีมหน้าขาวใสบางตัวยังทำให้ผิวแพ้ง่ายอีกด้วย ทำให้บางคนมีความคิดว่าอยากจะทำครีมใช้เอง ซึ่งก็เป็นความคิดที่ดี แต่ก็อาจจะคิดว่า ทำได้จริงเหรอ ปลอดภัยเหรอ 

วันนี้ก็จะมาคุยกันว่าทำครีมใช้เองจะทำได้อย่างไร ซึ่งการ ทําครีมใช้เองง่ายๆ จะไม่ใส่สี ใส่กลิ่น หรือใส่สารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ใดๆ ทั้งสิ้น น่าจะเหมาะกันสาวๆ ผิวมัน และเป็นสิวง่าย ได้เป็นอย่างดี และผลลัพธ์เป็นยังไงไปดูกัน

ครีมทาหน้าขาวใส

โทนเนอร์

การทำโทนเนอร์เองนั้น สามารถทำได้ง่ายมากๆ เพราะไม่ได้มีขั้นตอนอะไรยุ่งยาก การเตรียมของทำโทนเนอร์นั้นก็มีน้ำกลั่น โดยขอแนะนำให้ใช้น้ำกลั่นจะดีกว่า เพื่อความสะอาด อีกอย่างหนึ่ง คือ กรดอ่อน โดยในที่นี้เราจะใช้วิตามินซี เพราะเป็นกรดที่อ่อนที่หาง่าย ราคาถูก และที่สำคัญคือไม่มีกลิ่น แถมยังช่วยผิวกระจ่างใสได้ด้วย

วิธีทำ ใช้น้ำกลั่นจำนวนร้อยละ 90 ผสมกับวิตามินซี หรือกรดอ่อนชนิดอื่นร้อยละ 10 หรืออาจจะผสมกลีเซอลีนไปสักกหน่อยก็ได้ เพื่อไม่ให้ระเหยออกไปได้ง่าย โดยวิตามินซีสามารถหาซื้อได้ตามร้านอาหารเสริม และกลีเซอรีนก็สามารถซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายยาบางที่ก็สามารถซื้อได้ แต่การใช้งานเน้นว่าต้องใช้ภายใน 1 อาทิตย์เท่านั้น เพราะการทำงานของวิตามินซีจะหมดลงไป ซึ่งหากใช้ไปจะทำให้ผิวขาวขึ้น ดังนั้น ทำแค่พอใช้จะดีที่สุด

เซรั่มทาหน้า

การทำเซรั่มเองก็จะช่วยประหยัดเงินไปได้เยอะ โดยใช้ส่วนผสมจากวิตามินบี เพราะจากงานวิจัยจะใช้วิตามินบีจำนวนร้อยละ 4 ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ทำให้ขาวได้ โดยตัวที่มีผลดีที่สุดคือ B2 เพราะจะทำให้ขาวมากและเห็นผลได้ชัดที่สุดแล้ว

ครีมทาหน้าขาวใส

ครีมทาผิว

บอกก่อนว่าครีมหน้าขาวที่มาจากตามท้องตลาดเป็นครีมที่มีแต่น้ำมันมิเนอรัล ซึ่งใช้แล้วก็จะทำให้ผิวอุดตัน และยังเต็มไปได้ด้วยสารกันบูด น้ำหอมและสีสังเคราะห์อีกด้วย หากทำใช้เองสามารถใช้ส่วนผสม ดังนี้

  1. บีแวกซ์ สำหรับสร้างเนื้อครีม 4-8 กรัม ถ้าอยากให้ครีมข้นก็ใส่มากหน่อย  อยากให้ครีมอ่อนก็ใส่น้อยหน่อยตามความสะดวก
  2. Carrie oil อาจจะใช้เป็นน้ำมันมะกอก น้ำมันมะรุม น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันอะไรก็ได้ที่ทาแล้วมีประโยชน์ต่อผิว โดยส่วนใหญ่ก็หาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ
  3. ผสมด้วยน้ำมันทานตะวัน น้ำมันเมล็ดองุ่น หรือน้ำมันดอกคำฝอย
  4. ผสมให้ได้ 75 มิลลิกรัม
  5. น้ำกลั่น 125 มิลลิกรัม
  6. วิตามินอี 5 มิลลิกรัม สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา อาจจะเป็นแบ่งผงหรือแบบเม็ดก็ได้
  7. กลีเซอรีน
  8. อัลฟ่าอาร์บูติน ตบท้ายด้วยตัวการใหญ่ที่ทำหลายหน้าที่ ซึ่งใช้ใส่เป็นร้อยละ 2 ของทั้งหมด ราคาจะอยู่ที่ประมาณหลักร้อยถึงพัน สามารถสั่งซื้อได้ในเว็บนอกหรือร้านเคมีภัณฑ์

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีทางเลือกในการ ทําครีมใช้เองง่ายๆ ที่สามารถหาซื้อส่วนประกอบต่างๆ นำมาผสมกันได้และปรับสูตรตามใจชอบเอง แต่ถ้าใครไม่สะดวกทำก็ใช้ผลิตภัณฑ์ครีมต่างๆ ที่วางขายตามร้านค้าชั้นนำได้เลย แต่อย่าลืมเลือกให้เข้ากับปัญหาและสภาพผิวของตัวเองเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และเลือกใช้ครีมที่ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หากคุณแพ้ครีมทาหน้าคุณอาจสนใจบทความนี้ วิธีรักษาหน้าแพ้ครีมเป็นผื่น


4 ประโยชน์ของครีมบำรุงผิว ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ควรมีคุณสมบัติอะไรบ้าง

ครีมทาหน้าขาวใส

4 ประโยชน์ของครีม บำรุงผิว ครีมหน้าขาว ครีมหน้าใส ควรมีคุณสมบัติอะไรบ้าง เชื่อว่าหลายท่านที่อยากให้ผิวหน้ากระจ่างใสนั้น ต่างก็ตามหาครีมทาหน้า ที่มีคุณสมบัติอันน่าพึงพอใจ แต่ว่าสำหรับครีมทาหน้าที่ดีนั้นมันควรจะมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ถึงจะเป็นครีมที่มีประสิทธิภาพเยี่ยมและได้มาตรฐาน 

ครีมทาหน้าขาวใส

1. สามารถช่วยป้องกันสิ่งสกปรกได้

ครีมต่างๆ มากมายที่นิยมขายในท้องตลาดนั้น หากว่ามีความสามารถช่วยป้องกันสิ่งสกปรกได้จะเป็นครีมที่มีคุณภาพเยี่ยม เพราะว่าทั้งวันเราต้องพบเจอกับสิ่งสกปรกมากมาย เราไม่สามารถล้างหน้าได้บ่อยตลอดทั้งวัน เพราะฉะนั้นแล้วคุณสมบัติของครีมทาหน้านั้น นอกจากการช่วยบำรุงผิวหน้าแล้วยังต้อง สามารถป้องกันสิ่งสกปรกได้อีกด้วย

2. ผลัดเซลล์ผิวเก่า

โดยปกติแล้วในช่วงอายุระว่างวัยเด็กจนถึงวัยรุ่นนั้น จะมีการผลัดเซลล์ผิวเป็นเรื่องปกติของร่างกายที่จะทำงานโดยอัตโนมัติ แต่ว่าในช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มไม่ผลัดเซลล์ผิวเก่า เซลล์ผิวเก่าคือชั้นผิวรอบนอก พวกขี้ไคลธรรมดาแล้วจะผลัดเซลล์ผิวเหล่านี้ด้วยการอาบน้ำหรือการขัดถูนั่นเอง แต่หากว่าเมื่ออายุ 30 ปี ขึ้นไปแล้ว ร่างกายจะไม่ทำงานอัตโนมัติ เราจึงอาจจะใช้ตัวช่วยจากการทาครีม เพราะหากร่างกายไม่ผลัดเซลล์ผิว จะเป็นสาเหตุของการเกิดสิวอุดตัน เกิดร่องหลุมบริเวณใบหน้า และครีมบำรุงผิวที่ดีควรเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเรื่องการผลัดเซลล์ผิวด้วย

3. การบำบัดผิว

ครีมทาหน้าที่ดีต้องสามารถทำได้ตามวัตถุประสงค์ของมันอย่างชัดเจน นั่นคือการบำบัดผิว ช่วยทำให้ผิวขาวขึ้น บำรุงให้มีสุภาพที่ดี สีผิวหน้าเรียบเสมอกัน ป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย และสามารถป้องกันสิวได้ ช่วยกระชับรูขุมขนที่กว้าง และลดปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวหน้าอย่างเห็นได้ชัด

4. เพิ่มความชุ่มชื่น

ในส่วนของครีมทาหน้าที่มีส่วนผสมของ Moisturize จะช่วยทำให้ผิวหน้าได้รับความชุ่มชื่นได้ดีกว่า ซึ่งหลายคนนั้นเข้าใจผิดว่าการใช้ครีมทาหน้าที่มีส่วนผสมของ มอยส์เจอร์ไรเซอร์จะทำให้ผิวมันมากขึ้น แท้จริงแล้วมันคือการบำรุงให้ผิวชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา ช่วยลดความมันบนใบหน้า ทำให้เป็นครีมของคนหน้ามันอย่างแท้จริง โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้งควรจะใช้ครีมทาหน้าที่ผสมมอยส์เจอร์ไรเซอร์อย่างมาก เพราะมันคือเกราะชั้นแรกที่ป้องกันการเสื่อมสภาพของผิวอย่างมีประสิทธิภาพ

หากว่าครีมทาหน้าที่คุณใช้มีคุณสมบัติครบทั้ง 4 ข้อที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ก็เท่ากับว่าครีมทาหน้าที่คุณกำลังใช้อยู่เป็นครีมทาหน้าที่มีประโยชน์และช่วยบำรุงผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ


อ้างอิง:

Fruit Extracts in Skin Care. https://thedermreview.com/fruit-extracts-skin-care/

สารสกัดจากธรรมชาติ. https://www.ananindustry.com/health-extract.html

10 อันดับ โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก ยี่ห้อไหนดีที่สุด

10 อันดับ โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก ยี่ห้อไหนดีที่สุด

10 อันดับ โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก ยี่ห้อไหนดีที่สุด หากใครไม่ได้เกิดมาเป็นสาวผิวแห้งคงไม่เข้าใจปัญหาที่สาวผิวแห้งต้องเผชิญ เพราะไม่ว่าฤดูกาลไหน จะร้อน หนาว หรือฝนตกแบบไม่ลืมหูลืมตา ผิวเจ้ากรรมก็ยังคงแห้งอยู่เหมือนเดิม ซึ่งปัญหาผิวแห้งไม่ใช่แค่ทำให้ผิวแห้ง เป็นขุย ลอกเป็นแผ่นๆ เท่านั้น แต่สำหรับสาวๆ อย่างเราทุกครั้งที่แต่งหน้ายังลำบากเพราะเครื่องสำอางติดทนยากขึ้นไปอีก!

ฉะนั้น สาวคนไหนอยากบอกลาผิวแห้งเสีย เชิญตามมาทางนี้ วันนี้เรามี 10 โลชั่นขั้นเทพ ที่จะมาช่วยกู้ชีพฟื้นฟูผิวแห้งเสีย ให้กลับมาปังเนียนนุ่มน่าสัมผัส ดูมีชีวิตชีวา แลดูสุขภาพดี แถมขาวกระจ่างใส จนหนุ่มๆ ต้องมองเหลียวหลังคอเคล็ดกันไปเลย 

1. YVES ROCHER HYDRATATION MOISTURIZING LOTION – ALOE VERA PULP

โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก

สรรพคุณของว่านหางจระเข้ที่ผสมอยู่โลชั่นบำรุงผิวเข้มข้นของ Yves Rocher ที่สามารถเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวแห้งเสียขาดน้ำ ให้กลับมาเนียนนุ่ม ด้วยสูตรอ่อนโยนจากธรรมชาติ จึงมั่นใจได้ว่าใช้แล้วปลอดภัย เพราะกว่า 96% ในโลชั่นไม่มีส่วนผสมจากมิเนอรัลออยล์ สารแต่งสีสังเคราะห์ และสารกันเสียพาราเบน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอากาศหนาวเย็นหรือสาวๆ ที่ต้องอยู่ในห้องแอร์ตลอดทั้งวัน รับรองว่าโลชั่นตัวนี้เอาอยู่ 

2. โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก VASELINE Intensive Care ADVANCED REPAIR

โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก

สำหรับโลชั่นบำรุงผิวตัวนี้ของวาสลีนได้ผลิตสูตรออกมาเอาใจสาวผิวแห้งโดยเฉพาะ ด้วยสรรพคุณของโลชั่นพร้อมช่วยปรนนิบัติผิวที่แห้งกร้าน ให้ฟื้นฟูกลับมาเนียนนุ่มชุ่มชื้นขึ้นอีกครั้ง เนื้อครีมมีลักษณะเข้มข้น แต่กลับให้สัมผัสที่บางเบา ซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว สามารถทาได้ทั้งแบบครีมบำรุงมือและผิวกาย เพราะไม่ทิ้งคราบเหนียวเหนอะหนะ ข้อดีอีกอย่างคือปราศจากน้ำหอม แถมยังอ่อนโยนต่อผิวแบบสุดๆ เลยล่ะ 

3. BEAUTY BUFFET MADE IN NATURE GOAT MILK UV BODY LOTION

โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก

ประโยชน์ของนมแพะนอกจากจะดีต่อร่างกายแล้ว ยังเป็นสารอาหารบำรุงผิวอย่างยอดเยี่ยม โดยโปรตีนจากนมแพะเต็มไปด้วย Vitamin A, B6, B12, E ซึ่งโลชั่นผิวแห้งเข้มข้นตัวนี้ มีผสมของสารสกัดสมุนไพรจากประเทศเกาหลี ช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่ม ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้เร็ว และยังมีกลิ่นหอมของน้ำนมให้รู้สึกสดชื่นตลอดเวลาอีกด้วย 

4. โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก ST.ANDREWS DAISY BODY LOTION 

โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก

โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก ที่อุดมไปด้วยสารสกัดของชาเขียวและทับทิม ช่วยเข้าไปเติมเต็มความชุ่มชื้น ส่งผลให้ผิวของสาวๆ เรียบเนียน แลดูสุขภาพดี แถมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกเดซี่ยังมีคุณสมบัติในการช่วยบำบัดให้คุณรู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า ที่มาพร้อมกับสารสกัดจาก Acerola Cherry ยิ่งเข้าไปเสริมทัพฟื้นฟูให้ผิวกลับมาสดใสเปล่งปลั่งอย่างมีชีวิตชีวาจนคุณเองก็รู้สึกได้ 

5. BEAUTY BUFFET SCENTIO COCONUT & CO-Q10 BODY LOTION

โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก

เมื่อเอ่ยถึง โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก ถ้าไม่พูดถึงโลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าวคงไม่ได้! เพราะในมะพร้าวเต็มไปด้วยคุณประโยชน์ในเรื่องการดูแลผิว ซึ่งในโลชั่นตัวนี้นอกจากจะมีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าวแล้ว ยังอุดมไปด้วยโคเอนไซม์ คิวเทน และวิตามินอี ที่พร้อมจะช่วยคืนความเนียนนุ่มมาสู่ผิว และคุณสมบัติพิเศษในการเก็บกักความชุ่มชื้นไว้กับผิวได้อย่างยาวนาน 

6. โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก JERGENS Shea Butter 

โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก

อีกหนึ่งโลชั่นที่ได้รับความนิยมจากสาวๆ ว่าเป็นสุดยอดโลชั่นที่ผลิตขึ้นสำหรับคนผิวแห้ง ด้วยตัวเนื้อครีมมีความเข้มข้นแบบสุดๆ จึงช่วยทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น พร้อมฟื้นฟูผิวที่แห้งกร้าน แตกเป็นขุย ให้กลับมาเนียนนุ่มสุขภาพดี น่าสัมผัส ดังนั้นสาวผิวแห้งมากๆ คนไหนกำลังมองหาตัวช่วย บอกเลยว่าโลชั่นตัวนี้จะตอบโจทย์ให้กับสาวๆ อย่างแน่นอน 

7. ELIZABETH ARDEN GREEN TEA HONEY DROP Body cream

โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก

ถ้าสาวๆ คนไหนกำลังมองหาโลชั่นบำรุงผิวแห้งแบบมอยส์เจอร์ไรเซอร์เข้มข้น แนะนำโลชั่นตัวนี้ที่ดีงามมากเลย เพราะนอกจากเนื้อครีมจะเข้มข้นแล้ว ยังมีส่วนผสมของน้ำผึ้งแท้ผสมผสานกับสารสกัดจากชาเขียวและส้มแมนดาริน ทำให้ครีมมีความหอมบางเบาธรรมชาติ ที่พร้อมจะเติมเต็มความชุ่มชื้น บำรุงผิวอย่างมีประสิทธิภาพ แถมไม่ทิ้งความเหนอะหนะไว้บนผิวอีกด้วย 

8. โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก PAULA’S CHOICE CLINICAL ULTRA-RICH SOOTHING BODY BUTTER 

โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก

คุณสมบัติพิเศษของโลชั่นผิวแห้งตัวนี้สามารถลดความหยาบกร้านของผิว และยังช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นยาวนานถึง 12 ชั่วโมงด้วยกัน ด้วยสรรพคุณของ Shea Butter ที่พร้อมจะช่วยปกป้องผิวให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ตัวเนื้อครีมก็ไม่เหนียวเหนอะหนะ ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้รวดเร็ว ทำให้ผิวที่แตกราบลื่น แลดูสุขภาพดีอ่อนเยาว์ และปราศจากจากน้ำหอม รวมทั้งสารปรุงแต่งอื่นๆ 100% 

9. DHC OLIVE BODY BUTTER

โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก

โลชั่นผิวแห้งสูตรเข้มข้นอุดมไปด้วยคุณค่าจากน้ำมันธรรมชาติที่เต็มไปด้วยสารพัดประโยชน์ ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันอะโวคาโด น้ำมันมะพร้าว น้ำมันสวาเลน น้ำมันอาร์แกน เชียร์บัตเตอร์ และโกโก้บัตเตอร์ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น เนื้อครีมมีความนุ่มลื่น แต่ไม่เหนียวเหนอะหนะ รับรองว่าสาวผิวแห้งถูกใจอย่างแน่นอน 

10. โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก SOAP & GLORY THE RIGHTEOUS BUTTER BODY LOTION 

โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก

ขึ้นชื่อว่า Soap & Glory แล้ว หลายคนคงจะนึกถึงกลิ่นหอมหวานอันแสนโดดเด่น สำหรับโลชั่นผิวแห้งตัวนี้ ยังมีเนื้อครีมที่เข้มข้น แต่ทว่าไม่เหนียวเหนอะหนะ พร้อมจะให้ความชุ่มชื้นกับผิว และในระหว่างวันยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส

ถึงแม้ว่าเกิดมาเป็นสาวผิวแห้งจะค่อนข้างลำบากไปสักหน่อย จึงจำเป็นต้องใส่ใจดูแลตัวเองเป็นพิเศษ การทาโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้นถึงจะสำคัญ แต่การบำรุงจากภายในก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่น การทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว เรียกได้ว่าสวยจากภายในมาสู่ภายนอก เพียงเท่านี้ก็บอกลาปัญหาผิวแห้งไปได้เลย หรือสาวๆ คนไหนที่อยากมีผิวขาวสวย คุณอาจสนใจบทความนี้ แบรนด์โลชั่นทาผิวขาว


10 วิธีแก้ หน้าแห้งลอกเป็นขุย ที่ดีที่สุด พร้อมวิธีป้องกันแบบได้ผล

โลชั่นสําหรับผิวแห้งมาก

10 วิธีแก้ หน้าแห้งลอกเป็นขุย ที่ดีที่สุด พร้อมวิธีป้องกันแบบได้ผลดี เชื่อได้ว่าเข้าสู่หน้าหนาวทีไร สาวๆ หลายคนที่ประสบปัญหาเรื่องผิวแห้ง แตก ลอกเป็นขุย คงกลุ้มอกกลุ้มใจไม่ใช่น้อย เพราะเมื่อสัมผัสไปที่ผิวบริเวณไหนก็รู้สึกแห้ง ไม่เนียนนิ่ม เหมือนดั่งเคย ซึ่งสาเหตุมาจากในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็นร่างกายของเราก็จะขาดความชุ่มชื้น

แต่ทว่าถ้าสาวๆ หมั่นดูแลผิวและบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยบรรเทาอาการผิวแห้งไปได้ มาลองดูกันดีกว่า 10 วิธีที่จะช่วยให้ผิวของสาวๆ เนียนสวย แม้จะเป็นช่วงหน้าหนาวก็ตาม 

1. ละเว้นการอาบน้ำอุ่น

ละเว้นการอาบน้ำอุ่น

ทุกครั้งที่อากาศหนาวเย็น สาวส่วนมากเลือกที่จะอาบน้ำอุ่นแต่ทราบหรือไม่ว่าเจ้าน้ำอุ่นเนี่ยล่ะที่ดึงความชุ่มชื้นออกจากผิวของเรา โดยน้ำอุ่นจะเข้าไปล้างไขมันในเซลล์ชั้นผิวของเรา ส่งผลให้ผิวไม่สามารถที่จะกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ จึงเป็นเหตุให้เราผิวแห้ง แตก ลอกเป็นแผ่นๆ ตามมา กรณีที่ตัดใจอาบน้ำเย็นไม่ได้อนุโลมให้อาบน้ำอุ่นขัดถูตัวให้สะอาดแล้วค่อยใช้น้ำอุณหภูมิปกติตบท้ายทีหลังก็ได้ 

2. ล้างหน้าวันละ 1-2 ครั้ง

ล้างหน้าวันละ 1-2 ครั้ง

ถึงแม้ว่าการล้างหน้าจะช่วยชะล้างสิ่งสกปรกบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าสะอาด และยังช่วยลดการอุดตันที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว แต่ไม่ใช่สำหรับในหน้าหนาวเพราะการที่เราล้างหน้าบ่อยๆ ผิวหน้าของเราจะไม่มีไขมันในการเก็บกักความชุ่มชื้นเอาไว้ ฉะนั้น ใน 1 วันจึงควรล้างหน้าเพียงวันละ 1-2 ครั้ง คือ ช่วงเช้าและช่วงเย็นก็เพียงพอแล้ว 

3. หมั่นทาเบบี้ออยล์หลังอาบน้ำเสร็จทุกครั้ง

หมั่นทาเบบี้ออยล์หลังอาบน้ำเสร็จทุกครั้ง

ทุกครั้งหลังจากอาบน้ำเสร็จให้เช็ดตัวพอหมาดๆ แล้วนำเบบี้ออยล์มาทาให้ทั่วผิวหน้าและผิวกาย เพราะเบบี้ออยล์จะช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นได้ยาวนานขึ้น แถมยังช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส นอกจากนั้นเบบี้ออยล์ยังนำมาหมักผมก่อนสระผมได้ด้วย โดยใช้เบบี้ออยล์ชโลมไปที่เส้นผมให้ทั่วทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที จะทำให้ผมมีน้ำหนัก ลดอาการแห้งเสียและแตกปลายได้ดี 

4. ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เป็นประจำ

ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เป็นประจำ

หลังจากทาเบบี้ออยล์เรียบร้อยแล้ว สาวๆ จะรู้สึกว่าตัวลื่นๆ มันๆ แนะนำว่าควรทามอยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงเข้าไปให้ทั่วร่างกายทับไปอีครั้ง รวมทั้งที่บริเวณผิวหน้าด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงผิวให้ดีมากยิ่งขึ้นแบบคูณ 2 เลยทีเดียว 

5. ว่านหางจระเข้ช่วยให้ชุ่มชื้น

ว่านหางจระเข้ช่วยให้ชุ่มชื้น

อย่างที่ทราบว่าว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ขนาดที่ผิวได้รับความร้อนมากๆ จนถึงขั้นไหม้ เมื่อนำว่านหางจระเข้ไปทาถูที่บริเวณรอยไหม้ ยังทำให้รอยไหม้ดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และยังรู้สึกว่าผิวดูชุ่มฉ่ำ อิ่มน้ำ ส่วนวิธีการให้นำเอาวุ้นว่านหางจระเข้บดละเอียดมาทาไปจนทั่วผิวหน้า ทาซ้ำๆ แบบนี้ทุกวัน ผิวหน้าที่แห้งลอกก็จะค่อยๆ ดีขึ้น หรือใครที่ไม่อยากใช้ว่านหางจระเข้สดก็อาจเลือกใช้เป็นครีมบำรุงผิวหน้าแห้งแทนก็ได้เช่นกัน

6. พอกหน้าด้วยน้ำผึ้งผสมไข่แดง

พอกหน้าด้วยน้ำผึ้งผสมไข่แดง

สาวๆ อาจจะเลือกใช้น้ำผึ้งทาหน้าอย่างเดียวก็ได้ แต่เพื่อให้ผิวหน้าเนียนนุ่มชุ่มชื้นมากขึ้นกว่าเดิม แนะนำว่าให้นำไข่แดงเข้ามาเสริม โดยนำน้ำผึ้งมา 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับไข่แดงสด 1 ฟอง ตีจนส่วนผสมทั้งสองเข้ากันเป็นอย่างดีแล้วก็นำไปทาผิวหน้าจนทั่ว หลังจากนั้นปล่อยทิ้งไว้ 10-15 นาทีค่อยล้างออก สูตรพอกหน้านี้จะช่วยรักษาผิวหน้าแห้งที่ลอกให้ค่อยๆ ดีขึ้น 

7. ทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน

ทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้านแสงแดดจัดได้ว่าเป็นตัวการที่ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นและทำให้ผิวหน้าเสื่อมสภาพและผิวลอกได้นั่นเอง ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันทุกครั้งก่อนออกจากบ้านควรทาครีมกันแดด ด้วยการเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30+ PA+++ ขึ้นไป รวมทั้งแม้อากาศจะหนาวมากแค่ไหนก็ตามก็ควรทากันแดด อย่าพยายามเอาหน้าหรือตัวไปสัมผัสแดด เพราะหวังว่าจะอุ่นขึ้น เพราะแดดก็คือแดดวันยันค่ำ 

8. ปิโตรเลียมเจลลี่ช่วยผิวที่ลอกได้

ปิโตรเลียมเจลลี่ช่วยผิวที่ลอกได้

ถ้าพูดถึง “วาสลีน” เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะสรรพคุณที่ไม่ธรรมดา อาทิ ทาริมฝีปากช่วยลดปากลอกปากแตกได้ เมื่อนำไปทาผิวบริเวณที่แห้งกร้าน แตกเป็นขุย คุณจะสัมผัสได้ว่าผิวบริเวณนั้นกลับมาชุ่มชื้น เนียนนุ่มขึ้น

และหากสาวๆ คนไหนทาแป้งแล้วยังเห็นผิวเป็นขุยๆ ที่ใบหน้า แนะนำให้ทาวาสลีนลงไปเสียก่อน แล้วค่อยทาแป้งทับลงไป รับรองว่าจะช่วยกลบร่องรอยขุยๆ ได้เป็นอย่างดีเชียวล่ะ 

9. ดื่มน้ำให้ได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 8 แก้ว

ดื่มน้ำให้ได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 8 แก้ว

วิธีง่ายๆ ที่สามารถทำได้เองนั่นก็คือ “ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว” เพราะเพียงเท่านี้ผิวของเราก็สามารถชุ่มชื้นขึ้นจนเรารู้สึกได้ เพราะน้ำคือส่วนประกอบสำคัญของร่างกาย เมื่อเราดื่มน้ำในปริมาณเพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ แน่นอนว่าผิวของเราก็จะมีสุขภาพแข็งแรงดีขึ้น 

10. เสริมความแข็งแรงของผิวด้วยอาหารที่มีประโยชน์

เสริมความแข็งแรงของผิวด้วยอาหารที่มีประโยชน์

การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างผักผลไม้เป็นประจำ จะช่วยรักษาเซลล์ผิวของสาวๆ ให้มีความแข็งแรง ชุ่มชื้น เปล่งปลั่งและกระจ่างใส เรียกได้ว่าเป็นการบำรุงจากภายใน ฉะนั้น ไม่ว่าอากาศจะหนาวเย็นแค่ไหนก็ไม่สะเทือนผิวของคุณอย่างแน่นอน

เป็นอย่างไรกันบ้างกับเคล็ดลับการดูแลผิวพรรณที่จะช่วยให้คุณสาวๆ หมดกังวลกับปัญหา ผิวแห้ง ผิวแตก ผิวลอก และผิวลอกเป็นขุย ฉะนั้น หนาวนี้สาวๆ ก็กล้าที่จะเผยผิวสวยอวดสายตาใครๆ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาเหล่านี้ได้แล้ว


อ้างอิง:

รู้ลึก “ผิวแห้ง” ปัญหาหน้าขุยสุดเบื่อหน่าย ทาครีมอะไรก็ไม่ติด!.  https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/1490523

What Causes Dry Skin and How to Treat It. https://www.healthline.com/health/dry-skin

ครีมบํารุงมือ และครีมบำรุงผิวกาย ที่ใช้แล้วดี เผยผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส

ครีมบํารุงมือ และครีมบำรุงผิวกาย ที่ใช้แล้วดี เผยผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส

ครีมบํารุงมือ 10 ยี่ห้อแนะนำใช้แล้วดี มือเนียนนุ่มน่าสัมผัส การใช้ครีมทาผิว ไม่จำเป็นว่าจะต้องใช้ทาที่แขน ขา หรือใบหน้าเท่านั้น การทาที่มือก็สำคัญ เพราะบางคนอาจจะทำงานหนัก หรืออยู่ในสภาพเวลาที่ทำให้มือเหี่ยวย่นได้ไว ทำให้ต้องมีการบำรุงอยู่ตลอดเวลา และวันนี้เราก็มี 10 ครีมบํารุงมือ ที่ใช้แล้วมือนุ่มน่าสัมผัสแน่นอน อย่ารอช้าไปดูว่ามีอะไรบ้าง 

1. THANN Eden Breeze Hand Cream

ครีมบำรุงมือ

ตัวแรกเป็น ครีมบํารุงมือ ที่มีเนื้อบางเบา นิ่มละมุน ทำให้ซึมซับเข้าสู่ผิวได้ดี โดยครีมนี้จะเหมาะกับทุกสภาพผิว แถมยังอุดมด้วยกรดไขมันที่จำเป็นต่อผิวหนัง ซึ่งจะไปช่วยรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของผิวหนังได้ดี และมีน้ำมันสกัดจากธรรมชาติ 7 ชนิด ที่ช่วยชะลอการเหี่ยวย่นของผิว ช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้น ให้กับผิวได้อยู่ตลอด ช่วยลดการระคายเคืองในผิวได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งยังมีกลิ่นหอมเล็กๆ ซึ่งสามารถช่วยปรับสมดุลระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้สามารถคลายความเครียด และช่วยบำบัดอาการนอนไม่หลับ ราคาอยู่ที่ 790 บาท 

2. ครีมบํารุงมือ BURT’S BEES Ultimate Care Hand Cream

ครีมบำรุงมือ

เป็นครีมบํารุงมือที่มีความเข้มข้น แต่ก็ไม่เหนียวเหนอะหนะ ซึ่งสามารถเติมความชุ่มชื่นให้ผิวได้ดี แม้ผิวจะแห้งมากสักเท่าไร โดยจะไม่มีกลิ่นน้ำหอมให้ได้กลิ่นเลย และยังถนอมผิวหนังให้เรียบเนียน น่าสัมผัสด้วยส่วนผสมจากน้ำมันธรรมชาติ ซึ่งจะอุดมไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น และยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่จะไปบำรุงผิว ซึ่งทำให้ผิวมีความชุ่มชื่น  และสามารถซึมได้เร็ว ทำให้ไม่ทิ้งคราบมันบนผิวมือหลงเหลือ ราคาอยู่ที่ 1,130 บาท

3. SUQQU Scented Moisturizing Hand Cream WT

ครีมบำรุงมือ

เนื้อครีมมีความบางเบา เรียบเนียน ละเอียด ไม่เหนียวมือ เพราะครีมมีส่วนผสมของ Emollient Oils ที่จะทำให้มือเนียนนุ่มชุ่มชื่น ดูมีสุขภาพดี และยังให้ความยืดหยุ่น และเติมเต็มความชุ่มชื้นได้ดี แถมยังช่วยต่อต้านริ้วรอย จุดด่างดำ ทำให้ผิวหนังมีความสว่างกระจ่างใส มากับกลิ่นหอมสดชื่นของชาขาว มะกรูด มะนาว ที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนน่าใช้ ราคาอยู่ที่ 1,500 บาท

4. ครีมบํารุงมือ THE BODY SHOP Almond Hand & Nail Cream

ครีมบำรุงมือ

มาช่วยคืนความแข็งแรงให้ผิวหนังที่มือ ความแข็งแรงที่เล็บ โดยครีมนี้จะให้การบำรุงที่มากับกลิ่นหอมอัลมอนด์ และยังอุดมไปด้วยส่วนผสมสูตรเข้มข้นของเชียบัตเตอร์ เป็นหนึ่งใน โลชั่นสำหรับผิวแห้งมาก ที่ถ้าได้ใช้แล้วละก็วางไม่ลงแน่นอน ราคาอยู่ที่ 250 – 500 บาท 

5. HOHM Skin + Senses Hand Cream

ครีมบำรุงมือ

ครีมบํารุงมือ ตัวนี้เป็นครีมที่บางเบา ไม่เหนียวมือ ซึ่งก็จะบำรุงผิวมือให้มีความชุ่มชื้นขึ้น ลดเลือนริ้วรอยที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้นุ่มนวลน่าสัมผัส แถมยังกำจัดปัญหามือแห้งหรือมือหยาบกร้านได้ดี เพราะตัวครีมจะมีสารสกัดจากธรรมชาติเข้มข้น ซึ่งเป็นทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื่น ดูกระจ่างยาวนานตลอดทั้งวัน และยังมากับกลิ่นที่หอม และมีให้เลือกถึง 5 กลิ่น ตามการใช้งาน ราคาอยู่ที่ 290 บาท

6. ครีมบํารุงมือ Galanaan Hand Perfume Lotion

ครีมบำรุงมือ

โลชั่นน้ำหอมที่ใช้สำหรับมือและแขนโดยเฉพาะ มีเนื้อครีมที่สัมผัสแล้ว อ่อนนุ่ม และยังเติมความชุ่มชื้นให้ผิว โดยการเติมน้ำและลดอาการแสบระคายเคืองผิว ด้วยสารสกัดจากอโลเวรา ผสมผสานคุณค่าสารสกัดจากจมูกข้าวสาลี และถั่วเหลือง ที่เต็มไปด้วยวิตามินอี ซึ่งจะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยบนใบหน้า และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย รวมทั้งสารที่ช่วยขจัดสารพิษ ทำให้ผิวดูเรียบเนียน ดูมีสุขภาพดี ราคาอยู่ที่ 249 บาท

7. HARNN Cymbopogon Hand Cream

ครีมบำรุงมือ

มากับ ครีมบํารุงมือ และเล็บโดยเฉพาะ ที่มาจากสารสกัดธรรมชาติหลากหลายชนิด ทั้งเชียบัตเตอร์ โกโก้บัตเตอร์ และน้ำสกัดจากผลองุ่น ที่ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่น กระจ่างใส ช่วยลดอาการแสบระคายเคือง และช่วยลดริ้วรอย และความเหี่ยวย่นอันไม่ถึงประสงค์ออกไป ราคาอยู่ที่ 790 บาท

8. ครีมบํารุงมือ PAÑPURI Hand Cream

ครีมบำรุงมือ

ตัวนี้เป็นครีมแบรนด์ยุโรปที่ช่วยปกป้องผิวมือ ที่มีความหอมของกลิ่นดอกลาเวนเดอร์ออร์แกนิก และวานิลลามาดากัสการ์ ทำให้มีประสิทธิภาพในการปกป้องมือและช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวได้ดียิ่งขึ้น แถมครีมตัวนี้ยังสกัดจากพืชธรรมชาติมากถึง 95% ทำให้มีผิวที่เนียนนุ่ม อ่อนเยาว์ น่าสัมผัส ราคาอยู่ที่แค่ 75 บาท เท่านั้น 

9. NIVEA Hand Cream Q10 3in1

ครีมบำรุงมือ

แฮนด์ครีมจากแบรนด์ดังอย่าง NIVEA ครีมบํารุงมือ ตัวนี้จะช่วยเติมน้ำพร้อมกักเก็บความชุ่มชื่นให้ผิวมืออย่างยาวนานตลอดทั้งวัน แบบไม่ทิ้งคราบความเหนียวเหนอะหนะให้กวนใจแล้ว ยังช่วยปกป้องผิวจากรอยเหี่ยวย่น ริ้วรอย ด้วยสารสกัดจาก Q10 Plus Anti-oxidation Repair และปกป้องผิวจากอันตรายของแสงแดดได้อีกด้วย 

10. Vaseline Healthy Hands Nails Conditioning Pink

ครีมบำรุงมือ

ครีมบำรุงมือ ที่ทั้งราคาถูกและมีคุณภาพ ครีมทามือและเล็บจากแบรนด์วาสลีนก็ถือว่าตอบโจทย์ เพราะตัวนี้มีเนื้อสัมผัสที่บางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ อุดมด้วยคุณค่าจากเคราตินและมอยส์เจอร์ จึงช่วยบำรุงให้มือเนียนนุ่ม เติมเต็มความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก และยังช่วยบำรุงเล็บให้แข็งแรงขึ้นกว่า ทั้งยังมีกลิ่นหอม ๆ อ่อน ๆ ติดมือด้วย 

ครีมบํารุงมือ ก็เป็นอีกสิ่งที่ควรจะพกไว้ติดกระเป๋าเหมือนกัน เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มือแห้งหรือลอก เชื้อโรคก็จะเข้ามาสู่ร่างกายได้ง่ายยิ่งขึ้น รวมถึงหลายคนอาจจะเน้นการบำรุงผิวกายหรือผิวหน้า แต่อาจจะละเลยการบำรุงมือและเล็บไป ดังนั้น อย่าลืมมองหาครีมทามือดีๆ  กลิ่นหอมๆ สักตัวมาลองใช้จะได้สวยทั้งตัวจรดปลายเล็บกันเลยทีเดียว


10 อันดับ ครีมบำรุงผิวกาย ยอดนิยม ที่คนรักคนหลงทั่วประเทศ

ครีมบำรุงมือ

นอกจาก ครีมบํารุงมือ แล้ว การบำรุงผิวกายก็สำคัญไม่แพ้กัน ครีมบำรุงผิวกาย 10 อันดับ ยอดนิยม ที่คนรักคนหลงทั่วประเทศ สำหรับทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวที่กำลังมีปัญหาเรื่องผิวหยาบแห้งเสีย และดูไม่สดใส หรือสำหรับใครที่กำลังมองหาครีมบำรุงผิว เพื่อช่วยให้ผิวพรรณได้รับการดูแลที่ดียิ่งขึ้น มาที่บทความนี้กันได้เลย เพราะเรากำลังจะบอกถึง 10 อันดับ ครีมบำรุงผิวยอดนิยมที่คุณไม่ควรพลาด 

1. CUTE PRESS IDEAL WHITE BRIGHTENING BODY LOTION

ครีมบำรุงมือ

ครีมบำรุงผิว ซึมซาบเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ ผสานคุณค่าด้วยวิตามินบี 3 ช่วยลดรอยหมองค้ำ ฟื้นฟูผิวที่แห้งกร้านให้กลับมาชุ่มชื้น และสดใสอ่อนกว่าวัย ราคาเบาๆ สบายกระเป๋าเพียง 199 บาท ปริมาณ 220 มล.

2. VASELINE HEALTHY WHITE UV LIGHTENING

ครีมบำรุงมือ

เห็นผลไวภายใน 2 สัปดาห์ทำให้ครีมบำรุงผิวตัวนี้เข้ามาติดในอันดับยอดนิยมของเรา เรียกได้ว่าสาวๆ หลายคนยกให้เป็นหนึ่งใน ครีมกลูต้าไวท์ที่ใช้ได้ผลจริง เพราะนอกจากจะมีวิตามินบี 3 ที่ช่วยบำรุงผิวอย่างล้นเหลือแล้ว ยังมีทริปเปิลซันสกรีนที่ช่วยปกป้องรังสียูวีจากแสงแดดได้ดีมากอีกด้วย 

3. NIVEA BODY LOTION UV WHITENING EXTRA CELL REPAIR & PROTECT

ครีมบำรุงมือ

ครีมทาผิวอีกตัวที่มาพร้อมกับการผสมสารกันแดด ให้เราได้บำรุงผิว และปกป้องผิวไปพร้อมกัน มีวิตามินซีสูงถึง 50 เท่า แหล่งรวมสารสกัดจากผลไม้นานาชนิด เช่น เซโรล่า เชอร์รี่ และคามู คามู บำรุงผิวได้ 8 ประการ ช่วยฟื้นผิวจากแสงแดดและธรรมชาติ สีผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ ลดรอยดำ เพิ่มความชุ่มชื้น และประโยชน์อีกมากมาย ราคา 225 บาท ขนาด 500 มล.

4. ORIENTAL PRINCESS BODY LOTION

ครีมบำรุงมือ

เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็ว ไม่เหนียว ไม่มัน แถมยังผสมความหอมที่อ่อนละมุม จนทำให้เกิดความผ่อนคลายได้ตลอดทั้งวัน

5. JERGENS ORIGINAL SCENT

ครีมบำรุงมือ

กลิ่มหอมบำบัดจากเชอร์รี่อัลมอนด์ ที่ถูกผสมเข้าไปทำให้ครีมบำรุงผิวตัวนี้ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ช่วยเรื่องผิวแห้งได้ทันที พร้อมสดชื่นตลอดทั้งวันไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไร ก็มีผิวที่เนียนนุ่มได้ตลอดเวลา

6. CITRA PEARLY WHITE UV EXTRA

ครีมบำรุงมือ

Citra ชื่อนี้การันตีคุณภาพในเรื่องของครีมบำรุงผิว ตัวนี้มาพร้อมการผสมสารจากบัวหิมะ ที่ช่วยให้ผิวดูมีออร่าเหมือนดารา ช่วยฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำ และป้องกันไม่เกิดปัญหาผิวเสียอย่างตรงจุดกับส่วนผสมของ UV Protection ป้องกันได้หมดทั้ง UVA และ UVB

7. CeraVe Daily Moisturizing Lotion

ครีมบำรุงมือ

โลชั่นบำรุงผิวกาย ตัวนี้เหมาะมากกับคนที่ผิวแห้งกร้าน รวมไปถึงผิวแพ้ง่าย ขาดความชุ่มชื้น ประกอบไปด้วย เซราไมด์ที่จำเป็นต่อผิว  3  ชนิด โดยสกัดจากพืชธรรมชาติ พร้อมผสานด้วยไฮยาลูรอนิกแอซิด ช่วยชดเชยความชุ่มชื้น และเสริมสร้างปราการปกป้องผิวให้ผิวแข็งแรงมากขึ้น

8. Garnier Light Complete Extra Whitening Repairing Milk Lotion

ครีมบำรุงมือ

โลชั่นที่ช่วยบำรุงผิวเพื่อผิวกระจ่างใสเป็นธรรมชาติ ช่วยลดเลือนจุดด่างดำและขจัดความหมองคล้ำบนผิวกายด้วยสารสกัดบริสุทธิ์จากมะนาว พร้อมกรองรังสียูวีเอและยูวีบี ให้คุณอวดผิวสวยอย่างมั่นใจ เป็นครีมทาผิวที่กลิ่นจะออกไปทางเลม่อนหอมอ่อนๆ ไม่ฉุน เนื้อซึมไว ใช้เป็นกันแดดทาในช่วงเช้าของวันได้ด้วย

9. BHAESAJ Extra Whitening Lotion

ครีมบำรุงมือ

ครีมทาผิวจากเภสัช อีกหนึ่งโลชั่นในตำนาน อุดมไปด้วยส่วนผสมเพื่อบำรุงผิวให้กระจ่างใสแบบจัดเต็ม แต่ตัวที่โดดเด่นที่สุดของสูตรนี้คงไม่พ้นอัลฟ่าอาร์บูตินที่มีส่วนช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ช่วยเคลียร์ปัญหาจุดด่างดำและผิวหมองคล้ำ ทำให้ผิวแลดูสดใสสุขภาพดี และยังมีผสมสารกันแดดมาให้ในตัว เรียกได้ว่าเป็น ครีมแบรนด์ไทยช่วยผิวสวย ในราคาย่อมเยาจริงๆ

10 Clarins Renew-Plus Body Serum

ครีมบำรุงมือ

โลชั่นบำรุงผิวเนื้อเซรั่ม จากแบรนด์ Clarins ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก มีส่วนผสมจากสารสกัดของพืชพรรณธรรมชาติ อ่อนโยนต่อผิว มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าเผยผิวใหม่ ลดเลือนจุดด่างดำ กระ บำรุงผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื่น ผิวขาวกระจ่างใสเป็นธรรมชาติ 

หมดห่วงเรื่องแดดเมืองไทย เพียงแค่ทา ครีมบำรุงผิวกาย แล้วสบายใจก็กล้าโชว์ความขาวใสของผิว ให้หลายคนต้องตกหลุมกับเสน่ห์ของผิวคุณที่ส่องสว่าง ขาวเนียน แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าจะมีอะไรดีๆ มาแนะนำกันอีก อย่าลืมมาติดตามกันนะ


อ้างอิง

แนะนำ 10 “โลชั่นผิวขาว” ยิ่งทา ยิ่งออร่าพุ่ง!!. https://www.wongnai.com/highlight-products/whitening-cream-aura

หน้าแห้งใช้อะไรดี 10 อันดับ ครีมแก้ผิวหน้าแห้งได้ผลดีที่สุด

หน้าแห้งใช้อะไรดี 10 อันดับ ครีมแก้ผิวหน้าแห้งได้ผลดีที่สุด

หากว่าสาวๆ คนไหนที่มีผิวหน้าปกติก็ถือได้ว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง แต่สำหรับสาวผิวหน้าแห้งที่ต้องผจญกับความแห้งกร้าน ไม่ชุ่มชื่น ก่อให้เกิดผิวแพ้ง่าย บางคนถึงกับผิวหน้าลอกเป็นขุย แต่งหน้าไม่สวยงาม ที่สำคัญเมคอัพไม่ติดทนต้องหมั่นเติมเครื่องสำอางบ่อยๆ คิดแล้วคงปวดหัวแทนไม่ใช่น้อยเลยใช่มั้ยคะ โดยเฉพาะใกล้ถึงหน้าหนาวแล้วสาวผิวแห้งคงจะวิตกกังวลว่า หน้าแห้งใช้อะไรดี และจะแก้ปัญหาได้อย่างไร

ซึ่งปัญหาของสาวผิวแห้งจะหมดไปเมื่อได้รับการดูแลและรักษาอย่างถูกวิธีเพราะสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวหน้าแห้งเพราะดูแลผิวหน้าไม่ตรงกับสภาพของผิวหน้านั่นเอง วันนี้เราเลยจะมาแนะนำ 10 อันดับ ครีมแก้ผิวหน้าแห้งได้ผลดีที่สุด

1. THE BODY SHOP Body Butter

หน้าแห้งใช้อะไรดี

สำหรับ The Body Shop Body Butter ขึ้นชื่อว่าเป็นไอเทมเด็ด สาวๆ หลายคนที่เคยใช้ต่างชื่นชอบด้วยเนื้อครีมที่มีความเข้มข้น ไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ และเมื่อทาก่อนนอนเวลาที่ตื่นขึ้นมาสามารถสัมผัสได้ว่าผิวเนียนนุ่มสุดๆ

ในส่วนของกลิ่นก็มีให้เลือกหลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่จะออกแนวธรรมชาติเบาๆ แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน ราคาอาจจะแรงไปเสียหน่อย แต่รับรองว่าหนึ่งกระปุกสามารถใช้งานได้นานถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว บอกเลยว่าครีมตัวนี้เป็นอีกหนึ่งไอเทมที่สาวๆ ต้องมี!

2. L’OCCITANE ALMOND MILK CONCENTRATE

หน้าแห้งใช้อะไรดี

สาวๆ คนไหนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ L’Occitane คงทราบดีว่าครีมตัวนี้ ข้อดีคือมีกลิ่นหอมมากโดยเฉพาะกลิ่นหอมของ Almond และตัวของเนื้อครีมที่ไม่หนักเกินไป

แต่สรรพคุณแน่นไปด้วยสูตรเข้มข้นที่บำรุงผิวได้อย่างล้ำลึกช่วยทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นยาวนาน พร้อมด้วยส่วนผสมของสารสกัดจากอัลมอนด์และวอลนัท ยิ่งช่วยให้ผิวเต่งตึง กระชับ ผิวเฟิร์มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เหมาะสำหรับสาวๆ ที่มีปัญหาผิวหน้าแห้งอย่างมาก

3. PHARMACOK’F BURNOVA GEL PLUS

หน้าแห้งใช้อะไรดี

เจลว่านหางจระเข้ตัวนี้สาวๆ หลายคนยกให้เป็นไอเทมโปรดในการแก้ปัญหาสิว รอยสิว และสาวผิวหน้าแห้งก็สามารถนำไปใช้ได้ดีเช่นเดียวกัน ด้วยเพราะเจลว่านหางจระเข้ตัวนี้นำไปใช้ทาบำรุงผิวหน้า ช่วยให้ผิวหน้าที่แห้งอยู่ให้ชุ่มชื้นขึ้น แถมยังลดอาการแพ้หรือคันได้อีกด้วย

4. JERGENS ULTRA HEALING EXTRA DRY SKIN MOISTURIZER

หน้าแห้งใช้อะไรดี

ครีมนำเข้าจากต่างประเทศยอดนิยมมาหลายยุคหลายสมัย เรียกได้ว่าเป็นไอเทมเด็ดที่ใช้กันมาตั้งแต่รุ่นคุณแม่เลยทีเดียว โดยเฉพาะครีมรุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นมาสำหรับเป็นโลชั่นสำหรับผิวแห้งสำหรับสาวๆ โดยเฉพาะ

เมื่อใช้ไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง คุณก็จะพบความเปลี่ยนแปลงของผิวได้อย่างชัดเจน ผิวของคุณจะเนียนนุ่มชุ่มชื้นขึ้น แต่กระซิบก่อนว่าครีมตัวนี้จะค่อนข้างหนืดพอสมควรถ้าอยากสวยคงต้องทนหน่อยนะจ๊ะ

5. SKINFOOD QUINOA RICH BODY CREAM

หน้าแห้งใช้อะไรดี

แบรนด์ชื่อดังสัญชาติเกาหลียอดนิยมของสาวไทย ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของสกินแคร์ เครื่องสำอาง รวมทั้งครีมบำรุงผิวก็เป็นหนึ่งในไอเทมเด็ดที่น่าใช้มากๆ และสำหรับสาวผิวแห้งก็ต้อง Quinoa Rich Body Cream ตัวนี้ เนื้อครีมมีลักษณะคล้ายๆ มูส นุ่มๆ กลิ่นข้าวหอมอ่อนๆ เมื่อใช้แล้วสัมผัสได้ว่าผิวนุ่มชุ่มชื้นแบบสุดๆ สาวๆ คนไหนที่สนใจก็ไม่ต้องบินไกลถึงเกาหลีแล้ว เพราะในไทยก็มีช้อปให้เลือกซื้อกันแล้วจ้า

6. CETAPHIL MOISTURIZING CREAM

หน้าแห้งใช้อะไรดี

แบรนด์ดังที่ไม่ได้มีดีแค่สบู่เพียงอย่างเดียว ตัวครีมบำรุงผิวผสมมอยส์เจอไรเซอร์ก็ถือว่าเริ่ดเหมือนกัน ยิ่งครีมตัวนี้ที่ผลิตมาให้เฉพาะสาวผิวแห้งและแพ้ง่าย ฉะนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องของความเข้มข้น

เพราะครีมมีความเข้มข้นมาก ที่สำคัญคือกระปุกใหญ่มากๆ อีกด้วย ใช้แล้วคุ้มสุดๆ แถมสาวที่พบปัญหาผิวแห้งมากและมีอาการคัน ตกสะเก็ด เป็นขุย ครีมตัวนี้สามารถช่วยได้อย่างยอดเยี่ยม 

7. NEUTROGENA HYDRO BOOST GEL CREAM

หน้าแห้งใช้อะไรดี

สาวคนไหนที่รู้สึกว่าตัวเองหน้าแห้งหรืออยู่ในที่ที่มีอากาศเย็นตลอดเวลา เจลตัวนี้สามารถเข้าไปช่วยฟื้นบำรุงผิวที่แห้งกร้านและขาดน้ำได้ แถมยังช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นยาวนานได้ถึง 2 เท่า และมีสารสกัดจาก Olive ที่จะส่งผลให้หน้าเด้ง เนียนใสน่าสัมผัส

 8. LANEIGE WATER SLEEPING MASK

หน้าแห้งใช้อะไรดี

สุดยอดครีมที่ขึ้นชื่อเรื่องความสดชื่นและชุ่มชื้นของเกาหลีใต้ เป็นครีมบำรุงผิวหน้าและสลีปปิงมาส์ก เมื่อทาผิวหน้าไว้ตอนกลางคืนแล้วนอน ตื่นขึ้นมาจะรู้สึกว่าหน้าอิ่มน้ำ สัมผัสได้ว่าหน้าเด้งใสเนียนนุ่ม ตัวเนื้อครีมค่อนข้างบางเบา ทำให้ซึมเข้าสู่ผิวได้ง่ายและยังเย็นสบายผิว เมื่อได้ลองตัวนี้แล้วบอกเลยว่าติดใจแน่นอน! 

9. EUCERIN PH5 SKIN-PROTECTION LOTION F

หน้าแห้งใช้อะไรดี

Eucerin สูตรนี้ เป็นสูตรพิเศษที่มีส่วนผสมของน้ำมันช่วยหล่อเลี้ยงสูงมากกว่าสูตรอื่นๆ ฉะนั้นสาวผิวแห้งจึงไม่ควรพลาดที่จะนำมาใช้บำรุงผิวหน้า หรือคนที่ต้องอยู่ในที่อากาศเย็นบ่อยๆ เช่น ในห้องแอร์ ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน รับรองว่าผิวของคุณจะนุ่มชุ่มชื้นเนียนน่าสัมผัสอย่างแน่นอน 

10. PHYSIOGEL SOOTHING CARE CREAM

หน้าแห้งใช้อะไรดี

สาวผิวแพ้ง่ายหลายคนคงจะรู้จักแบรนด์นี้อย่างแน่นอน เพราะครีมตัวนี้ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องผื่นแพ้หรือผื่นคันเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความแห้งของผิวให้ชุ่มชื้นขึ้นทันทีหลังใช้งาน และที่สำคัญมีความปลอดภัย 100% เพราะตัวครีมปราศจากสารกันเสีย น้ำหอม สี จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่ทำให้ผิวแห้งลงกว่าเดิม

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 10 ครีมแก้หน้าแห้งที่จะช่วยบำรุงผิวหน้าของคุณให้กลับคืนสู่สภาพเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ครีมบางตัวยังมีสรรพคุณให้หน้าขาวกระจ่างใส ฉะนั้นหน้าหนาวที่จะถึงนี้คงมีคำตอบสำหรับ หน้าแห้งใช้อะไรดี กันแล้ว แต่นอกเหนือจากครีมที่กล่าวมาครีมแบรนด์ไทยก็มีดีหลากหลายยี่ห้อที่ช่วยบำรุงผิวให้คุณได้เช่นกัน


ผิวหน้าแห้งมาก 10 วิธีแก้ผิวหน้าแห้ง หยาบกร้าน ที่คุณควรรู้

หน้าแห้งใช้อะไรดี

ผิวหน้าแห้งมาก 10 วิธีแก้ผิวหน้าแห้ง หยาบกร้าน ที่คุณควรรู้ สำหรับคนที่มีผิวหน้าแห้งอย่านิ่งนอนใจเป็นอันขาด หลายๆ คนอาจจะคิดว่าผิวหน้าแห้งนิดหน่อยนั้นดี เพราะไม่ต้องเผชิญกับสิวและความมันเยิ้ม

แต่ความจริงแล้วผิวหน้าแห้งก็เป็นผิวหน้าที่มีปัญหาและยังจะทำให้เกิดริ้วรอยและความแก่ของผิวหน้าตามมาได้ในภายหลัง ยิ่งใครที่มีผิวหน้าแห้งมากๆ ก็จะเกิดความหยาบกร้านขึ้นกับผิวหน้าอีกด้วย

เวลาที่แต่งหน้าก็จะเกิดเป็นขุย บางคนถึงกับผิวลอกในบางบริเวณ ไม่น่าดู แล้วผิวแห้งเกิดจากอะไรและมีวิธีแก้ไขให้ผิวสุขภาพดีขึ้นสวยเด้งขึ้นได้อย่างไรบ้าง? นั่นไม่ยากเลย เริ่มจากเรามารู้วิธีเคล็ดลับแก้ผิวแห้งเป็นสิวพร้อมทราบสาเหตุที่ทำให้ผิวหน้าแห้งกันก่อน

สาเหตุที่ทำให้เกิดผิวหน้าแห้ง 

1. ผิวสูญเสียน้ำได้ง่าย

หน้าแห้งใช้อะไรดี

ผิวหน้าสูญเสียน้ำได้ง่ายก็เพราะผิวชั้นปกป้องเกิดความอ่อนแอ เพราะไขมันที่ควรมีในชั้นผิวลดลงทำให้สารให้ความชุ่มชื่นผิวสูญเสียไปกับน้ำหล่อเลี้ยงผิว ในผิวของเรามีประตูน้ำที่อยู่ภายในผิว เรียกว่า อควอพอรีน น้ำจึงไม่สามารถส่งผ่านจากเซลล์ผิวหนึ่งไปสู่อีกเซลล์ผิวหนึ่งได้อย่างราบรื่น เราจะเห็นว่ายิ่งอายุมากขึ้นก็มักจะประสบปัญหาผิวหน้าแห้งได้มากขึ้นด้วย 

2. การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

หน้าแห้งใช้อะไรดี

ช่วงที่อากาศร้อนจัดหรือมีลมแรงร่างกายจะสูญเสียน้ำจากผิวออกไปกับเหงื่อและจากลมที่สัมผัสผิว เมื่ออากาศเย็นในช่วงฤดูหนาวความชื้นในอากาศต่ำยิ่งทำให้ผิวหน้าแห้งเป็นขุย เมื่อนั้นเซลล์ผิวสูญเสียน้ำ ทำให้ผิวแห้ง หยาบกร้าน เกิดร่องริ้วรอยลึกขึ้น 

3. แสงแดด

หน้าแห้งใช้อะไรดี

แสงแดดเป็นศัตรูที่ร้ายกาจกับผิวหน้าโดยเฉพาะคนที่มีสภาพผิวหน้าแห้ง แสงแดดจะทำให้คุณยิ่งสูญเสียความชุ่มชื่นและยังทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ง่าย 

4. การล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและล้างหน้าบ่อย

หน้าแห้งใช้อะไรดี

หลายคนอาจคิดว่าเมื่อผิวแห้งก็แก้ด้วยการล้างหน้าบ่อยๆ ทำให้ผิวได้รับน้ำจะดูชุ่มชื่น แต่ในความจริงแล้วการล้างหน้าบ่อยๆ ไม่ได้ช่วยให้ผิวแห้งกลับชุ่มชื่นแต่อาจทำให้ผิวหน้าแห้งมากขึ้นไปอีก ยิ่งการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจะเป็นการทำลายผิวและยังเป็นการเปิดรูขุมขนให้กว้าง ผิวหน้าไม่กระชับ หย่อนคล้อยง่ายด้วย 

5. การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และเครื่องสำอาง

หน้าแห้งใช้อะไรดี

เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ที่คนผิวหน้าแห้งใช้ หากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมจะยิ่งเป็นการทำร้ายผิวให้สูญเสียน้ำและความชุ่มชื่นมากขึ้นไปอีก เช่น การใช้โฟมล้างหน้า การใช้เครื่องสำอางที่เป็นชนิดเนื้อแมตต์ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์มาก 

6. โรคจากพันธุกรรม

หน้าแห้งใช้อะไรดี

ผิวหน้าแห้งอาจจะเกิดจากพันธุกรรม คนบางคนมีลักษณะผิวหน้าแห้งมาตั้งแต่เริ่มต้น บางครอบครัวจะสังเกตได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีผิวแห้ง หน้ามีริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย จึงต้องให้ความสำคัญกับการบำรุงผิวให้ไม่ขาดน้ำและมีความชุ่มชื่นอยู่เสมอ 

7. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

หน้าแห้งใช้อะไรดี

ผิวหน้าก็เช่นเดียวกับผิวกายคือมีการสูญเสียความชุ่มชื่นตามธรรมชาติจากการที่ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงไป เช่น ในตอนที่ตั้งครรภ์ หรือช่วงวัยหมดประจำเดือนของผู้หญิง 

8. อายุที่เพิ่มมากขึ้น

หน้าแห้งใช้อะไรดี

เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากมาก เมื่อคนเราอายุมากขึ้นความชุ่มชื่นตามธรรมชาติของผิวหน้าก็ลดลง ทำให้ผิวหน้าแห้งเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและหยาบกร้าน แต่เราสามารถชะลอให้ผิวหน้าแห้งช้าลงได้ 

9. รับประทานอาหารไม่เหมาะสม

หน้าแห้งใช้อะไรดี

สารอาหารที่ขาดไปในการรับประทานอาหารเพียงบางชนิดกระทบต่อผิวหน้าได้ ทำให้ผิวหน้าแห้งมากและเป็นคนมีสภาพผิวหน้าแห้งจากพฤติกรรมและนิสัยในการกิน

10. ร่างกายขาดวิตามิน

หน้าแห้งใช้อะไรดี

นอกเหนือไปจากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หน้าแห้งได้ก็เกิดจากการที่ร่างกายขาดวิตามินจำพวก วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี เป็นต้น ทำให้ผิวหน้าแห้งลอกได้ง่าย


วิธีแก้ผิวหน้าแห้งมากและหยาบกร้าน 10 วิธี 

1. ดูแลผิวหน้าด้วยการดื่มน้ำสม่ำเสมอและเพียงพอ

หน้าแห้งใช้อะไรดี

วิธีง่ายๆ ที่มักถูกมองข้ามไปสำหรับการดูแลผิวหน้าแต่มักถูกมองข้ามไปก็คือการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันและดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ การดื่มน้ำที่เพียงพอต่อผิวหน้าและผิวกายก็คือควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร และวิธีการดื่มน้ำก็คือค่อยๆ ดื่มในปริมาณไม่มากแต่ดื่มให้บ่อย เพราะการดื่มน้ำครั้งละมากๆ เร็วๆ ร่างกายก็ดูดซึมน้ำไม่ทันอยู่ดี น้ำที่ควรดื่มควรเป็นน้ำเปล่าบริสุทธิ์ 

2. เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่เหมาะสม

หน้าแห้งใช้อะไรดี

ผิวหน้าแห้งไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีแอลกอฮอล์ผสมในปริมาณมาก ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไร้แอลกอฮอล์จะดีที่สุด ผิวหน้าแห้งไม่เหมาะกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมแรงๆ และไม่ควรใช้โฟมล้างหน้า แนะนำให้ใช้เป็นครีมล้างหน้าหรือเจลล้างหน้าจะเหมาะและดีต่อผิวหน้าแห้งมากกว่า 

3. บำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื่นสม่ำเสมอ

หน้าแห้งใช้อะไรดี

ผิวหน้าแห้งจะต้องบำรุงด้วยการใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์เข้มข้นจะดีที่สุด ในตอนเช้าควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงหลังล้างหน้าทันทีเพื่อช่วยกักเก็บน้ำไว้ใต้ผิวหน้าและเพิ่มความชุ่มชื่นใต้ผิวหน้า และไม่ควรลืมที่จะใช้ครีมกันแดดด้วย ในช่วงเย็นหรือค่ำก็ควรทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ก่อนนอน

เพราะช่วงเวลากลางคืนผิวหน้าเสี่ยงต่อการสูญเสียน้ำ ยิ่งหากนอนในห้องแอร์ก็ยิ่งสูญเสียความชุ่มชื่นของผิวหน้ามาก สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศที่ทำงานในห้องแอร์ตลอดวัน หรือคนที่ต้องเผชิญแดดตลอดวันผิวหน้าก็สูญเสียความชุ่มชื่นง่ายเช่นกัน อาจใช้วิธีทาครีมส่วนผสมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ระหว่างวันด้วยก็จะเป็นการดี 

4. หลีกเลี่ยงการล้างหน้าบ่อย

หน้าแห้งใช้อะไรดี

การล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้ผิวหน้ายิ่งสูญเสียน้ำ สำหรับคนที่มีผิวหน้าแห้งต้องหลีกเลี่ยงการล้างหน้าบ่อยๆ ควรล้างหน้าเฉพาะตอนเช้าและเย็นอาจจะล้างในช่วงระหว่างวันได้บ้างในบางครั้ง 

5. เลือกใช้เครื่องสำอางแต่งหน้าที่เหมาะกับผิว

หน้าแห้งใช้อะไรดี

เครื่องสำอางแต่งหน้าก็มีส่วนทำให้ผิวหน้าแห้งมากขึ้นอีกได้และยังจะเน้นในจุดที่หน้าแห้งเป็นขุย หน้าเป็นริ้วรอยร่องลึกอันเกิดจากผิวหน้าแห้ง ความกร้านหมองไม่นุ่มชุ่มชื่น เครื่องสำอางที่เหมาะใช้ในการแต่งหน้าของสาวๆ ที่มีผิวหน้าแห้งก็คือ เครื่องสำอางที่เป็นครีมชุ่มชื่น เครื่องสำอางชนิดเจลและชนิดที่มีประกายมันวาวทำให้หน้าดูชุ่มชื่นและไม่ดูกร้านหมองหรือแห้ง 

6. ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น

หน้าแห้งใช้อะไรดี

การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิห้องจะทำให้ผิวหน้าสามารถกักเก็บความชุ่มชื่นได้ดีขึ้น น้ำเย็นยังไม่ทำลายเซลล์ผิวที่อ่อนแออยู่แล้วของคนผิวหน้าแห้งเสื่อมไปด้วย แต่น้ำเย็นกลับช่วยให้ผิวชุ่มชื่นและกระชับรูขุมขน ทำให้เซลล์ผิวเต่งตึงขึ้นได้ 

7. ไม่มาส์กหน้าบ่อยๆ

หน้าแห้งใช้อะไรดี

การมาส์กหน้าบ่อยๆ อาจจะเหมาะสำหรับคนที่มีผิวหน้ามันและคนที่มีผิวหน้าปกติ ไม่มีปัญหาผิวหน้ามากนัก แต่สำหรับคนที่มีผิวหน้าแห้งมาก ไม่ควรมาส์กหน้าบ่อยเพราะจะทำให้มาส์กดูดความชุ่มชื่นของผิวออกไป 

8. หลีกเลี่ยงการขัดผิวแรงๆ หรือบ่อย

หน้าแห้งใช้อะไรดี

ผิวหน้าของคนผิวแห้งเป็นผิวที่ไม่แข็งแรงและพร้อมที่จะเสียหายได้ง่าย เนื่องจากเซลล์ผิวอ่อนแอเปราะขาดได้ง่าย การขัดผิวหน้าบ่อยๆ จะยิ่งเป็นการทำร้ายผิวหน้าโดยไม่จำเป็น ดังนั้น คนที่มีผิวหน้าแห้งไม่ควรขัดผิวหน้าบ่อยๆ หรือขัดถูหน้าแรงเกินไป 

9. บำรุงผิวด้วยน้ำผึ้งและน้ำมันมะกอก

หน้าแห้งใช้อะไรดี

น้ำผึ้งดีต่อผิวหน้า ให้ใช้น้ำผึ้งมาส์กหน้าสักเดือนละ 1-2 ครั้งและใช้น้ำมันมะกอกนวดผิวหน้าให้ทั่วเบาๆ น้ำผึ้งจะผสานเซลล์ผิวและมีวิตามินที่ทำให้ผิวหน้าแข็งแรง น้ำมันมะกอกช่วยเคลือบผิวไม่ให้แห้งแตกเป็นขุยง่าย

10. รับประทานอาหารที่มีวิตามินสูง

หน้าแห้งใช้อะไรดี

การเลือกรับประทานอาหารที่บำรุงผิวหน้าแห้งเป็นวิธีแก้ปัญหาผิวหน้าแห้งมากที่ตรงจุดและยั่งยืนที่สุด โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินซีสูง วิตามินเอสูง แมกนีเซียมสูง และเบต้าแคโรทีนสูง

การดูแลผิวหน้าแห้งทั้ง 10 ประการอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ปัญหาผิวแห้งลดน้อยลง ผิวชุ่มชื่นและสวยขึ้นได้อย่างแน่นอน


อ้างอิง

https://www.rama.mahidol.ac.th/th/knowledge_awareness_health/26dec2019-1601

https://allwellhealthcare.com/dry-skin-dermatitis/

10 วิธี คุมหน้ามัน แดดร้อนแบบนี้ต้องอ่าน ถ้าคุณไม่อยากหน้าเยิ้ม!

10 วิธี คุมหน้ามัน แดดร้อนแบบนี้ต้องอ่าน ถ้าคุณไม่อยากหน้าเยิ้ม!

10 วิธี คุมหน้ามัน แดดร้อนแบบนี้ต้องอ่าน ถ้าคุณไม่อยากหน้าเยิ้ม! ไม่ว่าจะฤดูกาลไหน เอกลักษณ์ของอากาศบ้านเราก็ยังคงร้อนอยู่วันยังค่ำ แม้ว่าในฤดูอื่นๆ จะไม่ได้อุณหภูมิสูงสุดๆ เฉกเช่นหน้าร้อนก็ตามที แต่ก็ยังทำให้เราต้องหาเสื้อผ้าบางๆ มาสวมใส่กันอยู่เสมอ

นอกจากอาการไม่สบายตัวเพราะเหงื่อออกบ่อย หรือแสบผิวจากแสงแดดแล้ว ก็ยังมีปัญหาหน้ามันนี่แหละที่กวนใจอยู่ตลอดเวลา บรรดาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่หมั่นเคลมว่าใช้ดีใช้เด่น คุมมันกันเต็มพิกัดก็ไม่อาจให้ผลลัพธ์อย่างที่โฆษณาไว้ได้จริง จนต้องเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ไปเรื่อยๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุด นั่นก็เพราะปัญหาหน้ามันไม่ได้แก้ด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพียงอย่างเดียว ยังมีปัจจัยอื่นที่เราต้องทำร่วมด้วยเพื่อเป็นวิธีช่วยลดหน้ามัน ทำให้หน้าลดการผลิตน้ำมันลงนั่นเอง

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจสาเหตุของความมันกันก่อนเลย ไม่ใช่แค่คนผิวมันเท่านั้นที่จะมีอาการหน้ามันได้ คนผิวแห้งและผิวผสมก็มีโอกาสเจอภาวะที่ว่านี้ได้เหมือนกัน เพราะผิวหน้าของเรามีต่อมไขมันจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณทีโซน คือ ช่วงกลางหน้าผากไล่ลงมาตามแนวสันจมูก ตรงนี้มีเหงื่อออกง่ายกว่าส่วนอื่นและแน่นอนว่าเกิดความมันได้ง่ายกว่าด้วย

แต่ละคนจะมีอัตราการผลิตน้ำมันที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ อารมณ์ ความเครียด อากาศ การสัมผัส ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ดังนั้น หากจะหลีกเลี่ยงความมันบนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องเข้าใจผิวของตัวเองอย่างลึกซึ้ง แล้วค่อยเลือกวิธีการดูแลที่เหมาะกับสภาพผิว เพราะถ้าทำไปสุ่มสี่สุ่มห้าก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไร ทั้งยังอาจเป็นการทำร้ายผิวทางอ้อมอีกด้วย และนี่คือ 10 วิธี คุมหน้ามัน ที่น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับรับมือในทุกช่วงอากาศร้อน

1. ดื่มน้ำให้มากเข้าไว้

คุมหน้ามัน

วิธี คุมหน้ามัน วิธีแรกง่ายๆ เลย ลองดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิปกติ เพราะว่าน้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการดูแลร่างกายและผิวพรรณ น้ำเป็นองค์ประกอบที่มีปริมาณมากที่สุด ระบบต่างๆ ในร่างกายต้องการน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงให้สามารถทำงานได้ตามปกติ เราจึงต้องดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในทุกๆ วัน 

หากเจาะประเด็นในเรื่องของความมันบนใบหน้า ก็พบว่าเซลล์ผิวจะชุ่มชื้นเปล่งปลั่งได้ก็ต่อเมื่อมีน้ำในเซลล์ หากสูญเสียน้ำไป เซลล์ผิวจะเหี่ยวลงและเริ่มมีความแห้ง ระบบร่างกายก็ต้องการที่จะรักษาสมดุลความชุ่มชื้นที่เซลล์ผิวเอาไว้ จึงเร่งผลิตน้ำมันออกมาเคลือบชั้นผิว ทำให้เราหน้ามันมากกว่าปกติ นั่นหมายความว่า ถ้าเราหมั่นเติมน้ำให้เซลล์ผิวอยู่เสมอ ต่อมไขมันก็จะผลิตน้ำมันออกมาน้อยลงนั่นเอง ดังนั้น ในระหว่างวันให้คอยจิบน้ำสะอาดตลอดเวลา โดยดื่มทีละนิดและรวมให้ได้สักวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย

2. เลือกทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามิน

คุมหน้ามัน

การได้รับวิตามินที่จำเป็นอย่างเพียงพอ เป็นการลดปัญหาผิวมันจากภายใน เพราะจะช่วยลดกระบวนการผลิตน้ำมันของร่างกายลงได้ วิตามินเหล่านั้นได้แก่ วิตามินเอ และวิตามินบี 2 ซึ่งสามารถหาทานได้ง่ายในอาหารกลุ่มผัก ผลไม้ ถั่ว และธัญพืชทั่วไป พร้อมกับพยายามหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกของทอดและอาหารที่มีรสชาติเผ็ดร้อน เนื่องจากจะยิ่งกระตุ้นให้ร่างกายขับเหงื่อ ตามมาด้วยการขาดน้ำและทำให้ผิวมันตามลำดับ 

3. ใช้กระดาษซับมันเท่าที่จำเป็น

คุมหน้ามัน

หลายคนพกกระดาษซับมันติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลา พอหน้าเริ่มมันก็หยิบขึ้นมาซับจนแห้ง ทำให้ร่างกายยิ่งต้องเร่งผลิตน้ำมันออกมาอีก เรียกว่ายิ่งซับก็ยิ่งหน้ามันมากขึ้น ไม่ได้ช่วยคุมมันอย่างที่เข้าใจ ยิ่งถ้าเป็นกระดาษประเภทที่ใส่น้ำหอมหรือแอลกอฮอล์มาด้วยแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะทำให้ผิวระคายเคืองมากขึ้นไปอีก ดังนั้น ถ้ายังติดการใช้กระดาษซับมันอยู่ก็ให้ซับเฉพาะช่วงที่หน้ามันเยิ้มมากจริงๆ ก็พอ 

4. ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีค่า PH เหมาะสม

คุมหน้ามัน

ความจริงแล้วผิวหน้าของเรามีค่า pH อยู่ในช่วงของกรดอ่อน เพราะเป็นสภาวะที่แบคทีเรียชนิดดีเจริญเติบโตได้ แต่ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าส่วนมากทำออกมาให้มีค่า pH อยู่ในช่วงเบสอ่อน มุ่งเน้นการทำความสะอาดเป็นสำคัญ หลายครั้งหลังจากล้างหน้าเราจึงรู้สึกว่าผิวแห้งตึง ซึ่งเป็นตัวการกระตุ้นให้เกิดความมันบนใบหน้าในเวลาต่อมา เราจึงต้องมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีค่า pH เป็นกลางหรือค่อนมาทางกรดอ่อนเล็กน้อย เพื่อให้ผิวไม่ต้องปรับสมดุลค่า pH มากนัก ทั้งยังเป็นผลดีต่อชั้นผิวในระยะยาวอีกด้วย 

5. ใช้ครีมกันแดดแบบ OIL FREE

คุมหน้ามัน

ครีมกันแดดเป็นของที่ต้องใช้อย่าได้ขาด ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้อน หน้าฝนหรือหน้าหนาว เพราะเป็นตัวปกป้องผิวจากความเสื่อมโทรมแทบทุกอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าหากต้องการคุมมันก็ต้องเลือกใช้ครีมของคนหน้ามัน แบบที่ไม่มีน้ำมัน อาจจะผสมรองพื้นด้วยหรือไม่ก็ได้

วิธีสังเกตง่ายๆ ก็คือ ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของน้ำมันน้อยหรือไม่มีเลย มักจะเป็นเนื้อเจลหรือแบบน้ำ มันอาจจะปกป้องผิวไม่ได้ยาวนานเท่ากับแบบครีมข้น ก็ให้ใช้วิธีทาเพิ่มระหว่างวันแทน หมายความว่าเราต้องเลือกเป็นแบบที่ทาทัพเมคอัพได้ด้วย 

6. ปรับเปลี่ยนเครื่องสำอางยกเซต

คุมหน้ามัน

จากที่เคยใช้เครื่องสำอางประเภทหน้าเงาฉ่ำวาวแบบสาวเกาหลี คงต้องเก็บเอาไว้ก่อน แล้วเปลี่ยนมาเป็นเซตที่ช่วยลดความมันแทน โดยเฉพาะในส่วนของรองพื้นและคอนซีลเลอร์ที่จะเป็นตัวหลักในการคุมมันบนใบหน้า

ซึ่งลุคที่น่าจะเหมาะมากสำหรับร้อนนี้ก็คงหนีไม่พ้นลุคแบบแมตต์ จะใช้รองพื้นที่เป็นชนิดแป้งผงหรือเนื้อครีมก็ย่อมได้ ขอแค่ทาแล้วติดผิวดี ไม่เยิ้ม ไม่มัน เป็นอันใช้ได้ ลองสังเกตดูคำว่า Oil Free ที่ตัวผลิตภัณฑ์แล้วทดสอบดูว่าเหมาะกับผิวของเราหรือไม่

7. ใช้โทนเนอร์เป็นประจำ

คุมหน้ามัน

โทนเนอร์คือผลิตภัณฑ์เช็ดผิวหลังจากขั้นตอนทำความสะอาดด้วยโฟมล้างหน้าหรือสบู่ต่างๆ เพื่อจัดการกับสิ่งสกปรกที่ยังตกค้างอยู่ และปรับสภาพผิวให้พร้อมสำหรับการบำรุงต่อไป ประเด็นคือโทนเนอร์ในท้องตลาดนั้นมีหลายประเภท ซึ่งก็สามารถเลือกใช้ได้ตามใจชอบ เพียงแต่ต้องงดเว้นโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เอาไว้

เนื่องจากแอลกอฮอล์นั้นจะทำให้ผิวแห้งแบบเฉียบพลัน จึงมีการเร่งผลิตน้ำมันออกมาอย่างรวดเร็ว ยิ่งถ้าเป็นผิวบอบบางด้วยแล้ว ก็ยิ่งเกิดการระคายเคืองมากขึ้นไปอีก แม้ว่าโทนเนอร์จะดูเหมือนไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรนัก เพราะเป็นเพียงน้ำสำหรับเช็ดหน้าธรรมดา อยู่บนผิวเพียงชั่วอึดใจเท่านั้นเอง แต่หากเลือกให้เหมาะกับผิวแล้วจะส่งเสริมการดูแลผิวอย่างดีมาก ช่วยในเรื่องการเติมน้ำให้ผิว ลดการเกิดสิว และกระชับรูขุมขนได้ด้วย

8. มาส์กหน้าลดความมัน

คุมหน้ามัน

อย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า การมาส์กหน้านั้นคือการบำรุงผิวขั้นสุดที่ให้ผลลัพธ์ดีกว่าการทาครีมบำรุงเพียงอย่างเดียวหลายเท่า ด้วยความเข้มข้นที่ถูกผลักผ่านชั้นผิวเข้าไปนั่นเอง แต่ส่วนมากพอนึกถึงการมาส์กหน้า เราก็จะนึกถึงการลดความหมองคล้ำ กำจัดรอยแดงจากสิว และลดจุดด่างดำจากฝ้า กระ เสียมากกว่า ไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญกับการมาร์คเพื่อคุมมันกันเท่าไรนัก

ซึ่งถือว่าพลาดหนักมากจริงๆ เพราะการมาส์กหน้าด้วยส่วนผสมของ AHA หรือ BHA เป็นการช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิว และกำจัดของเสียที่สะสมตกค้างอยู่บนผิว เช่น เซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว เป็นต้น ทำให้ผิวหน้าสะอาดเรียบเนียนและลดอัตราการผลิตน้ำมันโดยธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีมาร์คในกลุ่มโคลนที่ดูดซับความมันอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย 

9. ออกกำลังกายขับเหงื่อเป็นประจำ

คุมหน้ามัน

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการออกกำลังกายนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายในแทบจะทุกด้านจริงๆ อย่างการคุมมันบนใบหน้านี้ก็มีส่วนช่วยได้ไม่น้อยเลย หากเราออกกำลังกายช่วยขับเหงื่อเป็นประจำอย่างเช่น แอโรบิก วิ่ง ปั่นจักรยาน ฟุตบอล เทนนิส เป็นต้น

จะทำให้ร่างกายได้ขับของเสียออกมา ทำให้เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกายอย่างสะดวก พร้อมกับปรับสมดุลฮอร์โมนและต่อมต่างๆ ในร่างกาย จึงไม่มีการผลิตน้ำมันส่วนเกินออกมา เรียกว่าได้ทั้งสุขภาพดีและผิวพรรณสวยใสไปพร้อมกัน 

10. พึ่งพานวัตกรรมทางการแพทย์

คุมหน้ามัน

หากลองทำดูทุกอย่างแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าความมันจะบอกลาไป ก็คงต้องงัดไม้ตายออกมาใช้ นั่นคือพึ่งพานวัตกรรมทางการแพทย์เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนต่อมเหงื่อและต่อมไขมันแทน เดี๋ยวนี้มีสถานเสริมความงามจำนวนไม่น้อยที่ให้บริการกำจัดปัญหาเกี่ยวกับอาการเหงื่อออกมากเกินไป จนเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวัน

โดยจะเป็นการรักษาด้วยเลเซอร์แบบต่างๆ ทำหน้าที่เข้าไปลดการทำงานของต่อมเหงื่อกับต่อมไขมันใต้ผิวหนัง บางครั้งก็กำจัดต่อมเหล่านั้นทิ้งไปเลย ส่งผลให้ไม่มีเหงื่อและความมันในระยะยาว แต่ทั้งนี้ก็ต้องทำการรักษาอยู่หลายครั้ง ราวๆ 3-5 ครั้งโดยเฉลี่ย


10 วิธีแก้ จมูกมัน ง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำเองได้ ต้องลอง!

คุมหน้ามัน

10 วิธีแก้ จมูกมัน ง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำเองได้ ต้องลอง! จมูกอวัยวะเล็กๆ ที่มีเนื้อที่ไม่มากบนใบหน้าแต่มีความสำคัญมากๆ เพราะจมูกอยู่ตรงกึ่งกลางของใบหน้าคนเราพอดี จมูกจึงเป็นจุดเด่นที่ผู้คนมองเห็นก่อนสิ่งอื่นๆ เมื่อมองมาที่หน้าของเรา จมูกสวยก็ทำให้ใบหน้าดูสวย ดูหล่อไปทันที ในขณะเดียวกันแม้ว่าคุณอาจจะเป็นเจ้าของจมูกที่สวยได้รูปแต่กลับมีความมันระดับสูง จมูกมันต่อให้มีรูปจมูกสวยแค่ไหน จมูกโด่งแค่ไหนก็อาจจะทำให้เสียบุคลิกได้ 

คุณอาจจะมีผิวหน้าที่สวย หล่อ ดูดีเนื้อผิวละเอียด หรือสาวๆ ที่แต่งหน้ามาเป๊ะ ปัง ฉ่ำเด้ง พอจมูกมันเท่านั้นก็คะแนนติดลบและดูดรอปลงมาได้ทันที นอกจากนั้นจมูกมันอาจจะก่อให้เกิดปัญหาตามมานั่นก็คือสิวที่เกิดขึ้นบริเวณจมูก โดยเฉพาะถ้าสิวที่ขึ้นมาเป็นสิวอักเสบคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ปัญหาจมูกมันจึงเป็นปัญหาที่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยจริง ๆ

สาเหตุที่ทำให้ จมูกมัน ส่วนใหญ่แล้วมาจากการที่เราเป็นคนมีผิวหน้าอยู่ในสองประเภทนี้ก็คือ เป็นคนมีผิวหน้าแห้งทำให้ผิวเลยมีการขับน้ำมันออกมาหรืออาจจะเป็นคนมีผิวผสมที่มีความมันมากเฉพาะบริเวณทีโซน หากคุณเป็นคนที่มีหน้าแห้งก็ควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวหน้าแห้งเพื่อลดการขับน้ำมันออกมาด้วย

สำหรับบางคนอาจเกิดปัญหาผิวหน้าที่ยุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปอีกเมื่อผิวหน้าบริเวณทีโซนหรือบริเวณจมูกมันมาก แต่บริเวณโหนกแก้ม ข้างแก้ม หน้าผากและคางกลับแตกแห้งเป็นขุย จมูกมันจึงเป็นปัญหาผิวที่ต้องรีบอก้ไขไม่ควรปล่อยเอาไว้อย่างเด็ดขาด วิธีแก้ จมูกมัน ไม่ยากเลยคุณเองก็สามารถทำเองได้ตามวิธีที่นำมาฝากทั้ง 10 วิธีดังนี้! 

1. ล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์แบบอ่อนโยน

คุมหน้ามัน

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้จมูกมันเกิดจากการใช้คลีนเซอร์ล้างหน้าแบบที่มีสูตรเข้มข้นรุนแรง คลีนเซอร์ประเภทดังกล่าวจะทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันหล่อเลี้ยงทั้งใบหน้าและบริเวณผิวจมูก ร่างกายจึงขับน้ำมันออกมาทดแทนที่สูญเสียไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงบริเวณจมูก จึงทำให้จมูกมันมากอยู่ตลอดเวลา 

2. สครับผิวจมูก

คุมหน้ามัน

การสครับผิวก็ช่วยได้ เพราะการสครับจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกต่างๆ ที่อุดตันอยู่ตรงบริเวณผิวจมูก ช่วยให้จมูกลดความมันลง แต่การสครับก็ไม่ควรทำจนบ่อยเกินไป อาจจะสครับบริเวณจมูกสักสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็เพียงพอ 

3. ทาซันบล็อกที่จมูก

คุมหน้ามัน

ซันบล็อกที่เราทาเพื่อกันแดด สำหรับบางคนอาจจะคิดว่าจมูกมันอยู่แล้วถ้าทาซันบล็อกไปก็กลัวว่าจะยิ่งทำให้จมูกเกิดความมัน แต่ในความจริงแล้วเป็นการเข้าใจผิด เนื่องจากแสงแดดที่กระทบโดนผิวจมูกก็เป็นสาเหตุหลักอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จมูกมันและมีน้ำมันมาหล่อเลี้ยงตรงบริเวณผิวจมูกมากเกินไป

เนื่องจากเมื่อแดดกระทบแผดเผาบริเวณจมูก ผิวก็สูญเสียน้ำมันเคลือบผิวจึงผลิตน้ำมันเคลือบผิวบริเวณจมูกขึ้นมา การทาซันบล็อกช่วงบริเวณจมูกช่วยป้องกันผิวจากแสงแดดและรังสีได้อย่างดีในระหว่างวัน 

4. มาส์กหน้าและจมูก

คุมหน้ามัน

การมาส์กหน้าและเน้นการมาส์กบริเวณจมูกด้วยจะดีที่สุด การมาส์กบริเวณจมูกช่วยสมานผิวบริเวณจมูกให้เกิดความสมดุลชุ่มชื่นขึ้นและยังช่วยลดขนาดรูขุมขนบริเวณจมูกให้เล็กกระชับลงได้ เมื่อรูขุมขนบริเวณจมูกเล็กลงน้ำมันก็จะออกมาได้น้อยลงและลดความมันบริเวณจมูกได้มากเช่นกัน 

5. ใช้กระดาษซับมัน

คุมหน้ามัน

กระดาษซับมันเป็นสิ่งที่คนมีจมูกมันจะต้องพกพาไว้เสมอ เมื่อจมูกมันระหว่างวันก้ให้ใช้กระดาษซับมันวางลงที่บริเวณผิวจมูกส่วนที่มัน แต่อย่าถูลงไปเพราะจะยิ่งทำให้น้ำมันออกมามากขึ้นและผิวจมูกอาจเกิดการระคายเคืองและเกิดสิวอักเสบตามมาได้ กระดาษซับมันผิวหน้านั้นก็มีหลายเกรด ให้เลือกชนิดที่เป็นเกรดที่ดี เพราะจะช่วยซับมันได้ดีและไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ที่ผิวด้วย 

6. ใช้มะนาวและน้ำตาลขัดจมูก

คุมหน้ามัน

นำน้ำมะนาวและน้ำตาลทรายมาผสมกันในอัตราส่วนที่ไม่เหนียวหนืดไม่และเหลวจนเกินไปถูวนบริเวณจมูกเน้นตรงส่วนผิวปลายจมูกจะช่วยให้ผิวบริเวณนี้สะอาดขึ้นและลดความมันระหว่างวันได้ สามารถทำได้ทุกวันถ้าสะดวก 

7. สูตรอัลมอนด์บด

คุมหน้ามัน

อีกสูตรการลดความมันของจมูกและช่วยทำให้ผิวบริเวณจมูกมีสุขภาพดีและสมดุลขึ้นก็คือ ให้ใช้เมล็ดอัลมอนด์นำมาบดละเอียด นำน้ำผึ้งมาผสมเล็กน้อย จากนั้นให้ทาไว้ตรงบริเวณจมูก ทิ้งไว้สักประมาณ 15-20 นาที จากนั้นก็ล้างออก จะลดความมันลงได้หากทำเป็นประจำ 

8. น้ำส้มสายชูช่วยได้

คุมหน้ามัน

นำน้ำส้มสายชูมาผสมเข้ากับน้ำเปล่าโดยให้มีสัดส่วนที่เท่าๆ กัน แล้วคนให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน นำสำลีแผ่นมาชุบแล้วแปะไว้บริเวณจมูกส่วนที่มัน ทิ้งไว้สักประมาณ 15 นาทีจึงค่อยเอาออก คุณสมบัติของความเปรี้ยวและกรดจากน้ำส้มสายชูช่วยลดความมันของจมูกและช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันออกไปได้อย่างดี 

9. หลีกเลี่ยงการทาครีมและแต่งหน้าบางๆ บริเวณจมูก

คุมหน้ามัน

การทาครีมบำรุงผิวต่างๆ และการแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางสารพัดชนิดเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้จมูกมันได้ง่าย เคล็ดลับก็คือให้หลีกเลี่ยงการทาครีมบำรุงผิวหน้าบริเวณจมูกหรือทาแต่น้อย การแต่งหน้าให้เลือกแต่งบริเวณจมูกแต่เพียงบางๆ จะช่วยลดจมูกมันระหว่างวันไปได้มาก 

10. ดูแลการรับประทานอาหาร

คุมหน้ามัน

การรับประทานอาหารก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับผู้ที่มีผิวจมูกมัน อาหารที่มีสรสจัดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลต่อผิวให้มันขึ้น รวมไปถึงผิวบริเวณจมูกด้วย หากลดการรับประทานอาหารรสจัดและลดการดื่มแอลกอฮอล์ลงก็จะมีส่วนช่วยลดความมันบริเวณจมูกได้เช่นกัน

ทั้งหมดนี้คือวิธีแก้ หน้ามัน และ จมูกมัน ที่เป็นปัญหากวนใจสำหรับหลายๆ คนและเป็นปัญหาเส้นผมบังภูเขาที่เราสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเราเอง ที่สำคัญอย่าลืมรักษาความสะอาดของผิวหน้า และบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นได้


อ้างอิง

https://www.acseine.in.th/campaign/blog/6/ปัญหาผิวมันเกิดจากอะไร%3F

https://www.pobpad.com/หน้ามัน-กับการแก้ปัญหาใ