Category

Skincare

Category

10 วิธีลดหน้ามัน ให้หน้าไม่เยิ้ม และกลับมาเนียนใสด้วยสูตรนี้

10 วิธีลดหน้ามัน ให้หน้าไม่เยิ้ม และกลับมาเนียนใสด้วยสูตรนี้

วิธีลดหน้ามัน ให้หน้าไม่เยิ้ม และกลับมาเนียนใสด้วยสูตรนี้… หน้ามัน เชื่อผิวของคนไทยส่วนใหญ่ต้องเจอกับปัญหานี้อย่างแน่นอน และด้วยความที่เป็นเมืองร้อนปัญหานี้จึงแก้ได้ยาก และน่ารำคาญมากที่สุด

แต่วันนี้เรามีเรื่องดีๆ มาบอก เพราะว่าคุณจะสามารถหา วิธีลดหน้ามัน ให้น้อยลงไปได้ด้วย 10 วิธีเหล่านี้

1. เลือกรับประทานอาหาร

วิธีลดหน้ามัน

เรื่องอาหารการกินก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อผิวโดยตรง อย่างของทอด ของมันทั้งหลาย จะไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้ผิวหน้ามันเพิ่มขึ้น แถมทำให้สิวขึ้นง่ายด้วย

สารอาหารสำหรับคนที่หน้ามันหรือผิวมันควรจะได้รับมากที่สุด คือ วิตามินเอ และวิตามินบี 2 เพราะว่าหากขาดสองตัวนี้ผิวของคุณจะเพิ่มความมันมากขึ้นไปอีก วิตามินเอจะช่วยให้ร่างกายลดกระบวนการผลิตความมัน อยู่ในอาหารประเภท แครอท แคนตาลูป ผักโขม และควรงดรับประทานของมัน ของทอด รวมถึงน้ำตาล น้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารที่มีรสจัด ส่วนวิตามินบี 2 จะอยู่ในอาหารประเภท ถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี

เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มการขยายตัวของหลอดเลือด ให้ร่างกายขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ และร่างกายเกิดการขาดน้ำ ผิวของคุณจะมัน ไม่สดใส หมองคล้ำ หันมาเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจะดีกว่า

2. ดื่มน้ำสะอาด

วิธีลดหน้ามัน

การดื่มน้ำบ่อยเป็นอีกวิธีคุมหน้ามันไม่ให้เยิ้มที่ได้ผลอย่างมาก แต่ไม่ใช่ดื่มทีละเยอะๆ ในครั้งเดียว คุณควรจิบบ่อยๆ ตลอดวัน จะทำให้ผิวเกิดความชุ่มชื่น ช่วยในการขับของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ดีขึ้น

3. อย่าให้อะไรมาบดบังใบหน้า

วิธีลดหน้ามัน

เพราะสิ่งเหล่านี้อาจจะสกปรก เช่น เส้นผมโดยเฉพาะคนที่นิยมใส่เจลหรือน้ำมันใส่ผม จะยิ่งทำให้ไปโดนหน้า และอาจทำให้เกิดสิวได้ง่าย เวลานอนก็เช่นกัน ควรปัดผมไว้ด้านหลัง ยิ่งถ้าคุณไม่ค่อยสระผม รับรองว่าตื่นมาหน้าของคุณต้องมันแน่นอน

4. หลีกเลี่ยงแสงแดด

วิธีลดหน้ามัน

พยามยามหลีกเลี่ยงแสงแดดให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะแดดเมืองไทยที่ร้อนมาก หากว่ามีกิจกรรมที่ต้องออกแดดจริงๆ แนะนำว่าควรทาครีมกันแดดทุกครั้ง แต่ควรเลือกใช้สูตรบางเบาซึมซาบเร็ว เพื่อช่วยลดความมันบนใบหน้า

5. ทำความสะอาด

วิธีลดหน้ามัน

ความมันเกิดจากการสะสมของสิ่งสกปรกต่างๆ เราควรล้างทำความสะอาดผิวหน้า แต่ว่าไม่ต้องบ่อยเกินไปและต้องทำตามการล้างหน้าที่ถูกต้องของคนหน้ามันแบบปกติทั่วไปอย่างล้างเช้าและเย็น การล้างหน้าบ่อยเกินไปจะไปกระตุ้นให้ผิวขับความมันออกมามากขึ้น

6. เลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าช่วยลดหน้ามัน

วิธีลดหน้ามัน

สำหรับคนที่มีผิวหน้ามันกว่าคนปกติทั่วไป การเลือกโฟมล้างหน้าควรเลือกที่มีค่า pH เป็นกลาง หรือไปทางกรดเล็กน้อย หรือเลือกที่เป็นสูตรเย็น ช่วยกระชับรูขุมขน สำหรับใครที่ใช้สบู่ล้างหน้าขอให้เลิกเสีย เพราะว่าสบู่มีฤทธิ์เป็นด่าง และไม่ควรใช้โฟมล้างหน้าที่มีสครับทุกวัน เพราะว่าจะไปกระตุ้นให้หน้าผลิตน้ำมันตลอด

7. ใช้โทนเนอร์หลังล้างหน้า

วิธีลดหน้ามัน

ใครที่ต้องการใช้โทนเนอร์หลังล้างหน้า ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะหน้ายิ่งแห้ง ซึ่งจะยิ่งขับน้ำมันออกมากขึ้นกว่าเดิม และควรโทนเนอร์หลังล้างหน้าทั้งเช้าและเย็น เพื่อช่วยควบคุมความมัน

8. ใช้ครีมบำรุงผิวที่ปราศจากน้ำมัน

วิธีลดหน้ามัน

ไม่ว่าคุณจะใช้บำรุงอะไรก็ตาม สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างแรกคือต้องไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ควรเลือกครีมบำรุงสำหรับคนหน้ามันและมอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดบางเบาที่ซึมเข้าสู่ผิวอย่างเร็วไม่เหนอะหนะ

9. เครื่องสำอางลดหน้ามัน

วิธีลดหน้ามัน

การเลือกเครื่องสำอางประเภทคุมมันก็เป็นวิธีที่ดี อย่างรองพื้นควรใช้สูตรน้ำหรือรองพื้นสูตรเจล และทั้งหมดต้องไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ยิ่งถ้ารองพื้นของคุณมีส่วนผสมของแร่ธาตุ และวิตามินจะดีมาก โดยเฉพาะซิงค์ ออกไซด์ และวิตามินซี เพราะว่าแร่ธาตุเหล่านี้จะช่วยควบคุมความมันให้คุณได้อีกระดับ

10. มาส์กแก้หน้ามัน

วิธีลดหน้ามัน

การเลือกมาส์กหน้า ควรเลือกประเภทที่มีสาร AHA หรือ BHA เพราะจะช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิวและกระชับรูขุมขน ผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว แต่ไม่ควรใช้มากจนเกินไป ควรใช้แค่สัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะเลือกสมุนไพรก็ได้เช่นกัน ได้แก่ ขมิ้น และมะขามเปียก เป็นต้น หรือเลือกใช้เป็นมาส์กแผ่นสำเร็จรูปเลยก็ได้เช่นกัน

วิธีจัดการปัญหาหน้ามันอาจขึ้นอยู่กับสาเหตุต่างๆ ซึ่งปัญหาหน้ามันอาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์หรือฮอร์โมนก็ทำให้แก้ไขได้ยาก รวมถึงสภาพผิวที่แตกต่างกันของแต่ละคนก็มีส่วนที่ทำให้ดูแลผิวหน้าได้ยากหรือง่ายแตกต่างกัน 

แต่เราก็มีอีกวิธีมาแนะนำ นั่นก็คือ สูตรมาส์กหน้าจากธรรมชาติที่ทำได้ด้วยตัวเอง อีกวิธีที่ช่วยจัดการหน้ามันได้แบบง่ายๆ และสามารถลองไปทำตามดูได้


แนะนำ 10 วิธีแก้หน้ามัน รูขุมขนกว้าง ด้วยสูตรมาส์กหน้าที่ทำได้ด้วยตัวเอง

วิธีลดหน้ามัน

10 วิธีแก้หน้ามัน รูขุมขนกว้าง ด้วยสูตรมาส์กหน้าที่ทำได้ด้วยตัวเองและสามารถทำได้เองง่ายๆ ที่บ้าน เพราะบางทีการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางตัวก็อาจจะมีส่วนผสมของสารเคมีที่รุนแรง ฉะนั้นนี่จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งก็คือสูตรมาส์หน้าจากธรรมชาติ ที่ช่วยลดความมันได้ง่ายๆ และช่วยบำรุงผิวด้วย

1. สูตรมาส์กหน้าด้วยไข่ขาว

วิธีลดหน้ามัน

สูตรนี้คุณสามารถทำเองได้ง่ายๆ เพียงนำส่วนผสมต่างๆ มาผสมให้เข้ากัน ไข่ขาว 1 ฟอง, น้ำมะนาว 1 ช้อนชา, แตงกวา 1 ลูก และใบสะระแหน่ แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

2. สูตรมาส์กหน้ามะเขือเทศ

วิธีลดหน้ามัน

บดมะเขือเทศจนละเอียดแล้วนำมาทาหน้าทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นล้างออก จะช่วยควบคุมความมันได้ดี และผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส สามารถทำได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

3. สูตรแก้หน้ามันด้วย มะนาว + มะเขือเทศ + ข้าวโอ๊ต

วิธีลดหน้ามัน

นำ มะนาว + มะเขือเทศ + ข้าวโอ๊ต มาผสมให้เข้ากัน ทาทิ้งไว้บนหน้าประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

4. สูตรแก้หน้ามันด้วย ข้าวโอ๊ต + น้ำมันมะกอก + น้ำมะนาว

วิธีลดหน้ามัน

ใช้ข้าวโอ๊ตบด ตามด้วยน้ำมะนาว และน้ำมันมะกอกนิดหน่อยเพียงแค่หยดสองหยดก็พอ คนให้ทุกอย่างข้นเข้าที่ จากนั้นนำมาขัดหน้าเบาๆ แล้วล้างออกให้สะอาด

5. สูตรมาส์กหน้าด้วยมะนาว

วิธีลดหน้ามัน

สามารถใช้น้ำมะนาวสดๆ ได้เลย นำสำลีมาชุบแล้วทาบริเวณใบหน้าได้ แต่ยกเว้นบริเวณรอบดวงตา หากว่าใครมีอาการแสบให้เจือจางด้วยน้ำอุ่น ทำได้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ระวังอย่าทิ้งไว้นานเพราะน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด

6. สูตรคุมหน้ามันด้วย น้ำเกลือ + เปลือกมะนาว

วิธีลดหน้ามัน

อีกหนึ่งสูตรเจือจางสักหน่อยและยังคงใช้น้ำมะนาวเช่นเดิม โดยในสูตรนี้เราจะใช้น้ำเกลือด้วย โดยต้มน้ำเกลือให้เดือดได้ที่ รอให้เย็น เอาหน้าไปอังไอน้ำเกลือเพื่อให้รูขุมขนเปิด จากนั้นเอาน้ำเกลือมาเช็ดหน้า รอจนแห้งแล้วใช้เปลือกมะนาวขัดหน้าเบาๆ จากนั้นใช้นำเกลือล้างหน้าอีกครั้ง แล้วตามด้วยโฟมล้างหน้าที่ใช้ปกติ

7. สูตรลดหน้ามันด้วย แอปเปิ้ล + น้ำผึ้ง

วิธีลดหน้ามัน

สูตรนี้ก็หาส่วนผสมไม่ยาก ใช้ แอปเปิ้ล 1 ผล + น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ นำแอปเปิ้ลมาปั่น ใช่ๆ อย่าลืมปลอกเปลือกก่อนแล้วล้างให้สะอาดนะ เมื่อได้แอปเปิ้ลละเอียดแล้ว ให้เอามาผสมกับน้ำผึ้ง พอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นก็ล้างออกให้สะอาด จบพิธี

8. สูตรมาส์กหน้าด้วยว่านหางจระเข้

วิธีลดหน้ามัน

ให้นำว่านหางจระเข้มาปลอกเปลือกออกให้เหลือแต่วุ้น ล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาหั่นเป็นแผ่นบางๆ แล้วนำมาพอกไว้ที่หน้า ว่านหางจระเข้จะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น และช่วยลดความมันบนใบหน้าได้

9. สูตรมาส์กหน้าด้วยดินสอพอง

วิธีลดหน้ามัน

ดินสอพองนั้นมีสรรพคุณในการช่วยดูดซับความมัน โดยสามารถนำไปผสมกับมะนาวและน้ำผึ้งร่วมด้วยก็ได้ จากนั้นนำมาพอกหน้าทิ้งไว้สัก 15 นาที แล้วล้างออก จะทำให้ผิวเนียนนุ่มขึ้นได้

10. สูตรมาส์กหน้าด้วยกล้วยหอม

วิธีลดหน้ามัน

สูตรนี้ทำง่ายๆ ด้วยการนำกล้วยหอม 1 ลูก ผสมน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ มาปั่นผสมให้เข้ากันและนำไปพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้จะช่วยทำให้หน้าใสไกลสิวและลดความมันได้

สกินแคร์บางตัวก็อาจจะไม่เหมาะกับสภาพผิวของเรา รวมไปถึงการใช้ยาบางชนิดก็มีส่วนทำให้ผิวมันมากขึ้นได้เช่นกัน การแก้ไขปัญหาผิวมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ วิธีลดหน้ามัน ที่เรานำมาฝากกันนั้นก็เป็นวิธีที่ทำตามกันได้และยังมีสูตรมาส์กหน้าจากธรรมชาติ หากลองทำตามดูก็อาจจะช่วยลดความมันของผิวไปได้บ้าง ที่สำคัญการแก้ไขปัญหาผิวต่างๆ อาจจะไม่สามารถแก้ไขได้อย่างทันที ทุกอย่างต้องใช้เวลาและหาวิธีที่เหมาะสมกับผิวของเราจึงจะมีประสิทธิภาพที่สุด


อ้างอิง

A Skin Care Routine for Oily Skin : https://greatist.com/health/skin-care-routine-for-oily-skin

https://women.kapook.com/view239880.html

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน ให้สิ้นซาก พร้อมสูตรลอกสิวเสี้ยน กระชากถึงต้นตอ

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน ให้สิ้นซาก พร้อมสูตรลอกสิวเสี้ยน กระชากถึงต้นตอ

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน ให้สิ้นซาก พร้อมสูตรลอกสิวเสี้ยน กระชากถึงต้นตอ วันนี้เราจะมาดูเรื่องสิวๆ โดยเฉพาะเรื่องสิวเสี้ยวรับรองว่าละเอียดยิบ จนคุณอ่านจบแทบจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องสิวเสี้ยนได้เลย

สิวเสี้ยน เวลาที่มีมันเกิดขึ้น มันจะเกิดเยอะมากๆ คล้าย ๆ กับสิวอุดตัน แต่ว่าในไขมันนั้นมักจะมีขนรวมอยู่ด้วย และแค่แค่สิวเพียงหัวเดียวอาจมีขนมากถึง 50 เส้น ซึ่งขนเหล่านี้แหละคือตัวการ เพราะว่าเมื่อมันขดรวมกันจำนวนมาก จะอุดตันรูขุมขนจนทำให้เกิดความสกปรก เป็นปัญหาเริ่มต้นของการเกิดสิวต่างๆ 

สิวเสี้ยน มีชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ ว่า Trichostasis spinulosa พบได้ในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นจะพบมากเป็นพิเศษ เมื่อรูขุมขนเกิดความผิดปรกติ จะเกิดเป็นสิวเสี้ยน มีลักษณะคล้ายกับสิวหัวดำ และอาจะมีขนเล็กแทรกอยู่ สังเกตเห็นได้ตามจุดำเล็กๆ บนใบหน้า มีความแหลมของหัวสิว เกิดมากบริเวณ ปลายจมูก หน้าผาก ข้างแก้ม หรือแม้แต่บริเวณคอ และหลัง สรุปง่ายๆ คือมันสามารถเกิดได้ทุกที่ ลองมาดูวิธีรักษาสิวและจุดด่างดำ รวมถึงวิธีกำจัดสิวเสี้ยน ปราบให้สิ้นซาก พร้อมสูตรลอกสิวเสี้ยน ที่กระชากถึงต้นตอ

1. ดูแลตัวเอง

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

การดูแลตัวเองพูดแล้วมันจะกว้างมากเกินไป เพราะฉะนั้นเราจะมาเฉพาะเจาะจงกัน นั้นคือการรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ หากว่าหน้ามันระหว่างวันเราสามารถใช้กระดาษซับมันได้ หรือล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าก็ได้ นี่ก็เป็น วิธีกำจัดสิวเสี้ยน ง่ายๆ และได้ผลดี

แต่การล้างหน้านั้นก็มีข้อจำกัดเช่นเพราะว่าการล้างหน้าบ่อยเกินไปจะยิ่งทำให้เกิดสิวผดได้ง่าย เพราะฉะนั้นล้างแค่วันละ 2 ครั้งก็พอร่วมกับการใช้เจลล้างหน้าลดการเกิดสิว ใครที่ชอบใช้ครีมบำรุงขอให้ใช้ครีมที่มีเนื้อบางเบา และไม่สารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ และเน้นทานอาหาร เช่น ผัก ผลไม้เป็นพิเศษ หรือหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน แล้วดื่มน้ำให้มากๆ อย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน

2. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยง

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

มีอะไรบ้างที่เป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดสิวเสี้ยน อย่างแรกคือหน้ามัน เพราะจะกระตุ้นให้รูขุมขนกว้าง เกิดจากอะไร เพราะว่าเราใช้ครีมที่ความมันมากเกินไป เกิดจากการกดสิว บีบสิว เช็ดหน้าแรงๆ บ่อยๆ ระวังอย่าทำ ที่สำคัญการใช้คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอางที่ถูกต้องก็เป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยลดการเกิดสิวได้เช่นกัน

3. ใช้เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

ยาที่สามารถช่วยเรื่องปัญหาของสิวเสี้ยนได้ดี ล้างหน้าให้สะอาดแล้ววันละ 2 ครั้ง เช้า และก่อนนอน โดยทาทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์จะช่วยลดไขมันที่ผิวหนัง ครั้งแรกที่ใช้หลายคนอาจจะกลัวแพ้ ควรใช้ที่ความเข้มข้นต่ำก่อนหรือขนาด 2.5% จากนั้นหากไม่แพ้ก็ค่อยปรับเพิ่มมาเป็น 5% หรือ 10% ได้

4. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภท AHA และ BHA

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

ยาชนิดนี้จะช่วยให้ไขมันสลายและสามารถเอาสิวเสี้ยนออกมาได้ง่ายมากขึ้น จากนั้นเราต้องบำรุงด้วยโทนเนอร์เพื่อกระชับรูขุมขน แต่ยาตัวนี้หายากพอสมควร บนฉลากจะเขียนว่า Salicylic acid แต่ว่าบางทีอาจจะเห็นผลช้า ใครที่อยากได้แบบรวดเร็ว แนะนำตัวนี้ เรตินอยด์

5. ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเรตินอยด์

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเรตินอยด์จะช่วยสลายไขมันได้เช่นกัน ลดการเกาะตัวของเซลล์ผิวหนัง ป้องกันการเกิดสิวเสี้ยน มีหลายแบบให้เลือกใช้ ทั้งแอลกอฮอล์เบสและวอเตอร์เบส เวลาใช้เสร็จก็อย่าลืมบำรุงด้วยโทนเนอร์ และถ้าจะให้เห็นผลไว ชัดเจน ควรใช้คู่กับมาส์กลอกสิวเสี้ยน

6. ครีมกำจัดสิวเสี้ยน

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

ในบ้านเรามีครีมประเภทนี้ขายอยู่มากมาย หาซื้อง่าย ส่วนมากจะเป็นครีมที่ลอกหน้าด้วยกรดผลไม้ ช่วยให้เซลล์ผิวหลุดลอกออกมา และรวมทั้งไขมันที่อุดตัน แต่ว่าได้ผลแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้ลดการเกิดสิวเสี้ยนได้ถาวร หากจะให้ดีใช้ควบคู่กับยาที่แนะนำจะดีที่สุด

7. ใช้เครื่องมือกดสิว

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

อันนี้ใครหลายๆ คนชอบ เพราะว่าตรงไหนที่มีสิวเสี้ยนหัวดำ เราสามารถกดให้หัวมันออกมาได้ แต่ต้องทำอย่างระมัดระวังนะ เพราะว่าอาจทำให้เกิดการอักเสบ หรือผิวหนังระคายเคืองได้

8. แผ่นลอกสิวเสี้ยน

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

มีขายเยอะมาก ใน 7-11 หรือร้านค้าชั้นนำก็ยังมีขาย พวกนี้จะเคลือบสารทำให้ติดแน่น พอนำมาแปะบริเวณใบหน้าเอาไว้สักพักแล้วดึงออกมา สิวเสี้ยนก็จะหลุดออกมาด้วย ราคาไม่แพง เห็นผลทันที

แต่ข้อเสียคือมันดึงสิวเสี้ยนออกมาได้เฉพาะที่ไขมันเกิดการละลายแล้วเท่านั้น พวกสิวเสี้ยนบางตัวมันดึงหลุดยาก และระวังเวลาใช้อย่าใช้บ่อย เพราะว่ามีสารเคมีที่อาจทำให้ผิวหน้าแพ้ได้ อย่างมากควรใช้สัก 2 สัปดาห์ 1 ครั้งก็พอ ที่สำคัญอย่าลืมบำรุงป้องกันรูขุมขนกว้างด้วย

9. มาส์กลอกสิวเสี้ยน

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

มีหลายยี่ห้อให้เลือก ที่อยากแนะนำคือ Blackhead EX Nose Clay Mask และ Clear Nose ถือว่าใช้ผลดี และราคาเบาๆ ไม่เจ็บกระเป๋าตังค์

10. สครับหน้า

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

อีกหนึ่งวิธีกำจัดสิวเสี้ยนและช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ลดการเกิดความหมองคล้ำของใบหน้า และลดการอุดตันของสิ่งสกปรกที่จะกลายเป็นปัญหาสิวตามมาได้ รวมถึงช่วยลดโอกาสในการเกิดสิวเสี้ยนหรือสิวหัวดำที่จมูกได้ ทำให้ผิวหน้าเกลี้ยงพร้อมรับสกินแคร์อื่นๆ ให้ซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อเผยผิวที่กระจ่างใส และควรเลือกสครับที่ไม่บาดผิวหน้า

11. ไข่ขาว

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

วิธีนี้ใครก็ต้องเคยใช้แน่นอน วิธีทำก็ง่ายๆ แค่เอาไข่ขาวมาทาหน้า ทาให้หมดหน้าไปเลย แล้วเอากระดาษทิชชูมาแปะ รอจนแห้งแล้วลอกออกมา จะเห็นสิวเสี้ยนหลุดออกมาด้วย หลังจากเสร็จล้างหน้าเรียบร้อยให้ทาโทนเนอร์กระชับรูขุมขนซ้ำอีกครั้ง

12. นมสด + ผงเจลาติน

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

สูตรนี้ได้มาจากบล็อกเกอร์สาวต่างประเทศที่แนะนำมาว่าใช้แล้วได้ผลจริง เพราะว่าลองใช้มาแล้ว โดยทำตามขั้นตอนดังนี้ นำนมสดกับผงเจลาตินมาคนให้เข้ากัน แล้วนำไปเวฟ 10 วินาที ห้ามทาตอนร้อนๆ เด็ดขาด จากนั้นรอให้เย็นลง พอได้ที่ให้นำมาทาบริเวณที่ต้องการจะลอกสิวเสี้ยน ทาบางๆ รอจนแห้งแล้วลอกออก คุณจะพบกับผิวหน้าสว่างใสไม่มีสิวเสี้ยน

13. สูตรน้ำมะนาว

สูตรนี้หลายคนน่าจะเคยทำ เพราะว่าน้ำมะนาว มีประโยชน์ต่อผิวมาก ช่วยลดการอักเสบ ปรับผิวหน้าไม่ให้มัน และยังมีสูตรลดสิวผดอีกด้วย แต่ในสูตรของการลอกสิวเสี้ยน ใช้น้ำมะนาวสดทาบริเวณที่มีสิวเสี้ยน เพื่อให้เกิดการละลายไขมันและเกิดอ่อนตัว หรือจะใช้คู่กับดินสอพองหรือแป้งโยคีผสมกัน แล้วทาทิ้งเอาไว้ทั้งก็ได้เช่นกัน

สูตรนี้หลายคนที่ใช้ครั้งแรกอาจจะแสบๆ หน่อยๆ แต่ใครที่แสบมาให้เจือจางน้ำมะนาวโดยการผสมกับน้ำก่อนก็ได้เช่นกัน แล้วค่อยปรับให้เข้มข้นมากขึ้นเมื่อผิวของเราเข้าที่จนรู้สึกชินแล้ว และอย่าทิ้งไว้นานจนผิวระคายเคือง

14. เครื่องดูดสิวเสี้ยน

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

มีทั้งแบบมือถือซื้อมาทำเองหรือแบบเครื่องใหญ่ที่ใช้กันตามคลินิกทั่วไปที่จะต้องใช้โอโซนร้อนเพื่อเปิดรูขุมขนก่อนและลดการอุดตัน แล้วตามด้วยเครื่องดูดสุญญากาศ ดูดเอาสิ่งที่อุดตันออกมา ราคาต่อครั้งทำที่คลินิกเดี๋ยวนี้ก็ไม่แพงครับ ประมาณหลักร้อยเท่านั้น

ส่วนเครื่องดูดสิวเสี้ยนแบบทำเอง ส่วนใหญ่ก็เป็นเครื่องเล็กๆ กะทัดรัด เป็นเครื่องดูดสุญญากาศเช่น ความแรงก็ใช้ได้เลย โดยวิธีทำก็แค่ทำความสะอาดหน้า แล้วใช้เครื่องดูดตามคำแนะนำได้เลย

15. ใช้เครื่องไอพีแอล

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

เจ้าเครื่องไอพีแอล คือเครื่องดูดสิวเสี้ยนใช้การส่งพลังงานแสงลงไป กำจัดได้ลึกถึงราก ป้องกันการเกิดเซลล์ขนใหม่ วิธีนี้ดีมาก มีผลข้างเคียงน้อย แต่อาจจะต้องทำบ่อย และมีค่าใช้จ่ายพอประมาณ ใครที่ต้องการทำด้วยวิธีนี้ต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

16. เลเซอร์สิวเสี้ยน

วิธีกำจัดสิวเสี้ยน

อีกหนึ่งวิธีสำหรับคนที่มีงบ และอยากได้ผลที่รวดเร็ว แน่นอนว่าการเลเซอร์สิวเสี้ยนสามารถกำจัดได้มากกว่าร้อยละ 50% เมื่อทำไปหลายๆ ครั้ง สิวเสี้ยนจะหายไปอย่างหมดจด แต่ว่าอาจทำให้เกิดรูขุมขนที่กว้างมากขึ้น และมีรอยแดงๆ แต่ไม่ต้องกังวลเพราะว่ามันจะหายไปใน 2-3 วัน

มีหลายวิธีในการกำจัดสิวเสี้ยนบนใบหน้า ซึ่งการจะเลือกใช้วิธีไหนในการกำจัดก็ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของคุณด้วย และสิ่งที่จะช่วยให้การกำจัดสิวเสี้ยนได้ผลดี อย่าลืมเริ่มต้นด้วยการทำความสะอาดใบหน้าอย่างอ่อนโยน ขัดผิวบ้างเพื่อกำจัดสิ่งที่อุดตันหรือน้ำมันส่วนเกิน 

หลังการใช้ยารักษาสิวเฉพาะที่ต่างๆ ก็อย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงใดๆ ที่สำคัญอย่าลืมบำรุงผิวหลังกำจัดสิวเสี้ยนเพื่อช่วยปลอบประโลมและปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


อ้างอิง

5 Ways To Get Rid Of Them : https://www.mindbodygreen.com/articles/sebaceous-filaments

10 ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี ตัวช่วยกำจัดสิวบนใบหน้าที่คนเป็นสิวต้องอ่าน

10 ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี ตัวช่วยกำจัดสิวบนใบหน้าที่คนเป็นสิวต้องอ่าน

10 ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี ตัวช่วยกำจัดสิวบนใบหน้าที่คนเป็นสิวต้องอ่าน ปัญหาใหญ่ของคนเราก็คือสิว ซึ่งใครที่เป็นคนที่เกลียดกลัวสิวอยู่เป็นทุนเดิมแล้วละก็ อาจจะคิดว่าสิวเป็นปัญหาระดับมวลมนุษย์ชาติเลยก็ว่าได้

ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง ทำให้หลายบริษัทได้สร้างผลิตภัณฑ์ออกมาตอบสนองความต้องการของทุกคนกันอย่างล้นหลาม จนบางทีก็มีเยอะจนเลือกไม่ถูก และวันนี้เราก็จะมาแนะนำ 10 แบรนด์ของ ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี ที่ว่ากันว่าใช้แล้วดีและเหมาะกับคนเป็นสิวที่สุด ไปดูกันได้เลย!

1. LA ROCHE-POSAY EFFACLAR DUO PLUS

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

เป็นครีมบำรุงผิวหน้าที่เหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่เป็นสิวโดยเฉพาะ เพราะได้มีหลายคนที่ใช้แล้วออกมารับรองและการันตีเลยว่าผิวหน้าดีขึ้น สิวลดน้อยลง แถมยังช่วยลดรอยที่เกิดจากสิวได้อีกด้วย ซึ่งถ้าทาทิ้งไว้ตอนกลางคืน ตื่นขึ้นมาจะพบได้เลยว่าสิวมันยุบไปเยอะ แต่ในส่วนของราคาก็แพงตามประสิทธิภาพการใช้การ ราคาสูงหน่อยหลักพันต้นๆ แต่ก็ไม่น่าเสียดายเพราะใช้ดีจริงๆ

2. ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี SMOOTH E CREAM

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

ครีมบำรุงผิวหน้าสมูทอีครีม ถือเป็นของประจำตัวติดกระเป๋าคนเป็นสิวแน่นอน เพราะว่าการใช้งานมันดีจริงๆ ซึ่งแค่ตัวเดียวก็สามารถจัดการทั้งเรื่องสิวเสี้ยนและรอยดำรอยแดงจากสิวได้อีกด้วย และคนที่เป็นสิวเมื่อได้ใช้แล้วก็ต้องใช้ต่อไปทิ้งไม่ลงทีเดียว เพราะใบหน้าที่เต็มไปด้วยสิวจะค่อยๆ หายไปจนไม่มีเลย และที่สำคัญราคาก็ยังไม่แพงมากสามารถจับต้องได้ ราคาอยู่ที่ 100-500 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดและปริมาณ

3. PHYSIOGEL CREAM

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

สำหรับคนที่มีปัญหาทั้งเรื่องสิวและเรื่องหน้าแห้ง ลอกเป็นขุยง่าย บอกเลยว่าต้องบำรุงด้วยครีมตัวนี้ เพราะครีมตัวนี้มีความสามารถในการที่ทำให้หน้านุ่มและชุ่มชื่นขึ้น แถมยังช่วยลดปัญหาการอักเสบของสิว และช่วยลดรอยดำจากสิวได้ด้วย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอีกตัวที่คนเป็นสิวไม่ควรพลาดเลย และราคาก็อยู่ที่ประมาณ 500 บาท ก็เป็นราคาที่ไม่ถูกและไม่แพงจนเกินไป จับต้องได้

4. ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี DR.SOMCHAI ACNE REPAIR CREAM

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

ครีมลดสิวแบรนด์ไทยที่ช่วยการลดสิวเสี้ยนได้เป็นอย่างดี ซึ่งใครที่กำลังตามหาครีมบำรุงผิวที่จะช่วยลดรอยสิวไปในตัว และครีมที่ช่วยบำรุงรักษาผิวให้ขาวเนียนและชุ่มชื่นขึ้นไปในตัว ห้ามมองข้ามตัวนี้ไป เพราะถึงแม้จะหลอดเล็กแต่ประสิทธิภาพการทำงานเรียกว่าทำได้ดีมากๆ เพราะสามารถรักษารอยสิวได้เร็ว ใช้แล้วรับรองว่าชอบแน่ๆ ส่วนราคาก็อยู่ที่ประมาณ 100-200 แพงไปหน่อยเพราะหลอดเล็ก แต่รับรองว่าปังแน่นอน

5. YVES ROCHER PURE SYSTEM STOP ACNE LOTION

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

สำหรับครีมทาผิวตัวนี้ ถือเป็นครีมบำรุงผิวที่มีการทำงานได้ดีมากๆตัวหนึ่ง ซึ่งเหมาะมากๆสำหรับคนเป็นสิว เพราะเมื่อใช้แล้วใบหน้าที่มันจะค่อยๆ มันน้อยลง เนื่องจากครีมตัวนี้สามารถควบคุมความมันบนใบหน้าได้นาน และที่สำคัญเนื้อครีมตัวนี้จะอยู่ในรูปของเนื้อเจล ทำให้เวลาทาแล้วไม่หนัก ไม่เหนียว และไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน แถมยังช่วยในการลดการเกิดสิวใหม่ได้ดีมากๆ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในครีมสำหรับผู้มีผิวมันที่ตอบโจทย์มากๆ ราคาก็อยู่ที่ประมาณ 400 บาท

6. ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี PAPULEX OIL-FREE CREAM

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

อยากจะบอกว่าครีมบำรุงผิวหน้าตัวนี้เป็นสูตรที่ไม่มีน้ำมันและน้ำหอมปนอยู่เลย เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญหาหน้ามันง่ายและปัญหาสิวเสี้ยน รวมไปถึงปัญหาผิวแพ้ง่าย ถ้าใช้ตัวนี้จะถือว่าดีมาก เพราะสิวเสี้ยนที่เป็นอยู่จะค่อยหายไป และยังช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่อีกด้วย แถมครีมตัวนี้ยังสามารถช่วยความมันของหน้าได้อีกด้วย ราคาครีมตัวนี้อยู่ที่ประมาณ 1,200 บาท ซึ่งก็ถือว่าราสูงอยู่เหมือนกัน แต่ก็เป็นครีมที่ดีมากๆ อันหนึ่งเลยล่ะ

7. EUCERIN DERMO PURIFYER HYDRATING CARE

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

ใครที่มีผิวแพ้ง่าย แพ้อะไรนิดหน่อยก็เป็นสิวแล้ว ถ้าหากได้ลองครีมบำรุงผิวตัวนี้แล้วจะต้องติดใจและถูกใจอย่างแน่นอน เพราะเป็นครีมทาผิวที่เป็นไม่มีน้ำมันและไม่มีน้ำหอม ทำให้เวลาใช้แล้วคนผิวบางจึงไม่รู้สึกคันหรือระคายเคืองอะไร แถมยังสามารถจัดการในส่วนของเรื่องปัญหาหน้ามันและปัญหาสิวได้แบบอยู่หมัด ทั้งยังช่วยให้เวลาแต่งหน้า สามารถอยู่ทนได้อีกด้วย ราคาอยู่ที่ประมาณ 900 บาท แพงไปนิด แต่ก็ผลลัพธ์เกินคาด

8. ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี Puricas Anti Acne Gel

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

ตัวนี้เด็ดมาก เพราะช่วยดูแลปัญหาสิวและการอักเสบที่อาจเกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรีย ช่วยรักษาสิวที่ต้นเหตุ โดยลดการหลั่งน้ำมันใต้ชั้นผิว ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และขจัดสิ่งอุดตันในรูขุมขน สามารถตอบโจทย์และดูแลปัญหาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเจลแต้มสิวมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ ดูดหัวสิว ทำให้หัวสิวแห้งและสะกิดออกได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ยังมีความอ่อนโยนเหมาะกับผิวแพ้ง่าย เพราะปราศจากน้ำหอม พาราเบน และสารสเตียรอยด์อีกด้วย

9. Lion Pair Acne Cream W

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

ครีมแต้มสิวตัวฮิตจากญี่ปุ่น ช่วยขจัดสารพิษจากผิวอย่างมีประสิทธิภาพ ลดอาการคัน สิว ผดผื่น และอาการอักเสบบวมแดงของผิว คืนความชุ่มชื่นสู่ผิว ครีมแต้มสิวช่วยแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวอักเสบสิวอุดตัน ทำหน้าที่สลายเชื้อโรคและฆ่าเชื้อสิวบนใบหน้าให้หมดไปด้วยส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ ทำให้สิวยุบเร็วขึ้นและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นหลังสิวหาย ทั้งยังลดอัตราการเกิดสิวอย่างได้ผล เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อผู้มีปัญหาสิวอย่างแท้จริง

10. ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี Benzac AC

ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี

ใครที่มีปัญหาสิวอุดตัน สิวหัวแดง หรือสิวอักเสบบ่อยๆ ต้องรู้จัก Benzac เพราะช่วยในเรื่องลดการอักเสบของสิว และยังช่วยลดความมันส่วนเกินบนผิวหน้าได้อีกด้วย โดยใช้แต้มหัวสิวทิ้งไว้ก่อนล้างหน้าสัก 15-20 นาที สามารถใช้ควบคู่กับเจลล้างหน้าลดสิวได้ แต่สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มใช้แนะนำให้ใช้ 2.5% หรือ 5% ก่อน แต่ตัวนี้อาจจะไม่เหมาะกับคนผิวแห้ง ที่สำคัญใช้แล้วอย่าลืมทาบำรุงหน้าด้วยเพื่อป้องกันหน้าลอกและการระคายเคือง

นี่ก็เป็น 10 แบรนด์ของ ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี ที่นำมาฝากกัน เพราะถ้าพูดถึงเรื่องสิว เชื่อว่าหลายคนคงไม่ชอบ และคงไม่อยากให้เกิดขึ้นบนใบหน้าของตัวเองกันหรอก ซึ่งสิวนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ และเมื่อเป็นสิวแล้วจึงพยายามหาวิธีทำให้สิวหายเร็วที่สุด ดังนั้น ตัวช่วยยอดฮิตอย่าง ครีมรักษาสิว ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยลดสิวให้หายไป


หน้าเป็นสิวใช้ครีมอะไรดี ถ้าเป็นสิว ควรใช้ครีมทาหน้าชนิดไหนดีที่สุด

หน้าเป็นสิวใช้ครีมอะไรดี ถ้าเป็นสิว ควรใช้ครีมทาหน้าชนิดไหนดีที่สุด

หน้าเป็นสิวใช้ครีมอะไรดี ถ้าเป็นสิวควรใช้ครีมทาหน้าชนิดไหนดีที่สุด ผลิตภัณฑ์ทาหน้าและครีมบำรุงผิวหรือครีมหน้าขาวในปัจจุบันมีวางขายให้เลือกกันเยอะจริงๆ เพราะมีมากมายหลากหลายยี่ห้อ แถมมีให้เลือกหลากหลายราคา

ที่เห็นได้ชัดเจนมากๆ ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ชวนทำให้ใครหลายคนสงสัยก็คือในส่วนของความแตกต่างของเนื้อครีม ที่เราเห็นหลักๆ ในท้องตลาดก็จะมีเนื้อผลิตภัณฑ์แบบครีม แบบโลชั่น แบบเจล แบบเซรั่ม และวันนี้เราจะไปดูกันว่าทั้งหมดนั้นมีหน้าที่อะไร และคนที่เป็นสิวควรใช้ครีมแบบไหน

1. ครีมทาผิวเนื้อครีม (CREAM)

ครีมทาผิวแบบเนื้อครีม เป็นครีมที่มีการผสมน้ำกับน้ำมันเข้าไว้ด้วยกัน โดยส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของน้ำมันในปริมาณที่มากกว่า จึงทำให้เนื้อครีมค่อนข้างจะข้น หนืด แน่น และหนักกว่าเนื้อแบบอื่นๆ ซึ่งทำให้การทำงานในการซึมเข้าผิวจะช้ากว่าแบบตัวอื่น อาจจะพูดได้ว่าช้าที่สุดเลยก็ได้ ส่วนใหญ่เนื้อครีมนี้จะเคลือบติดอยู่บริเวณผิวหนังชั้นบนมากกว่า

ซึ่งเนื้อครีมเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวคนได้ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะการที่มันผสมน้ำมันเข้าไปเยอะนั่นแหละ แต่ก็ด้วยความที่มีน้ำมันนี่เองที่อาจทำให้ผิวหน้าเราเกิดความมัน และการอุดตันของน้ำมันได้ง่ายขึ้น และอาจเป็นที่มาของการเกิดสิวอุดตัน เนื้อครีมจึงเป็นสิ่งที่คนเป็นสิวควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด โดยเฉพาะคนที่มีผิวมันมากๆ

2. ครีมทาผิวเนื้อโลชั่น (LOTION)

ครีมทาผิวเนื้อโลชั่นเป็นครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันและน้ำเข้าด้วยกันเหมือนแบบเนื้อครีม แต่ส่วนผสมส่วนใหญ่จะมีปริมาณน้ำมากกว่า จุดเด่นของเนื้อโลชั่นคือ มีความสามารถที่ซึมเข้าผิวได้ดีกว่าแบบครีมมากๆ ทาแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนแบบครีม 

ทำให้เหมาะกับคนที่มีผิวมัน โดยโลชั่นที่ใส่สารบำรุงผิวเยอะก็อยู่ในรูปของโลชั่นทาหน้า แต่ถ้าใส่สารบำรุงผิวน้อยก็จะอยู่ในรูปของโลชั่นทาผิวทั่วไป ซึ่งในท้องตลาดมีครีมทาผิวเนื้อโลชั่นวางขายอยู่เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่เป็นโลชั่นด้วย นั่นแสดงว่าเนื้อโลชั่นเป็นเนื้อที่เหมาะกับคนเป็นสิวและหน้ามัน

3. ครีมทาผิวเนื้อเจล (GEL)

ครีมทาผิวเนื้อเจลเป็นครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันในปริมาณที่น้อยมากหรือไม่ก็ไม่มีเลย โดยกระบวนการผลิตเนื้อเจลจะใส่สารที่ทำให้เกิดเนื้อเจล จากนั้นก็ผสมรวมกับสารอื่นๆทุกอย่าง ข้อดีของครีมทาผิวแบบเนื้อเจล คือ สามารถซึมเข้าผิวได้เร็วมาก ไม่แสดงอาการอุดตัน และทาแล้วไม่ทำให้หน้ามันเลย

นั่นแสดงว่าครีมทาผิวแบบเนื้อเจล จัดว่าเป็นครีมทาผิวที่เหมาะกับคนเป็นสิวมากที่สุด ซึ่งเห็นได้ว่ามีผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายตัวในท้องตลาดนิยมทำออกมาในรูปของเจล และแน่นอนครีมทาผิวแบบเนื้อเจลจะไม่เหมาะกับคนที่มีผิวแห้งหรือผิวบาง เพราะครีมทาผิวแบบเนื้อเจลส่วนใหญ่จะไม่ค่อยใส่สารที่มีความชุ่มชื้นหรือใส่พวกน้ำมันเข้าไปในผลิตภัณฑ์

4. ครีมทาผิวเนื้อเซรั่ม (SERUM)

ตามความเชื่อของสาวๆ หลายคน จะบอกว่าครีมทาผิวแบบเนื้อเซรั่มนั้นเป็นสุดยอดของครีมบำรุงผิว นิยมนำมาใช้เป็นรูปแบบไนท์ครีมที่ช่วยบำรุงผิวตอนกลางคืน ซึ่งได้ทาแล้วผิวหน้าจะเรียบเนียน เปล่งปลั่ง สวยกว่าครีมทาผิวทั่วไปแน่ๆ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ความเป็นจริงแล้วครีมทาผิวเนื้อเซรั่มบางตัวนั้นไม่ได้มีกระบวนการผลิตที่แตกต่างจากครีมทั่วไปเลย เพียงแต่ครีมทาผิวแบบเนื้อเซรั่ม จะใส่สารบำรุงผิวเข้าไปในปริมาณที่มากกว่าครีมแบบอื่น และเซรั่มก็เป็นครีมชนิดที่นิยมในการรักษาสิวมากชนิดหนึ่งเลย

ทีนี้คนเป็นสิวก็คงจะรู้แล้วว่า เราควรใช้ครีมเนื้อไหนดี โดยทั้งนี้ก็แนะนำว่าไปถามหมอหรือผู้เชี่ยวชาญเลยก็ได้ เพราะผิวของคนไม่ได้มีแค่ ผิวบาง แห้ง หรือมันเพียงอย่างเดียว ยังอีกมีแบบผสมและอีกมากมายที่ครีมทาผิวอาจใช้แล้วไม่ตรงกับจุดประสงค์เลยก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณใช้ครีมทาผิวตรงกับที่บอกไป ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้สิวหายและมีใบหน้าที่เรียบเนียนได้ไม่ยากแน่นอน


10 วิธีลดหลุมสิว เคล็ดลับ ลดรอยหลุมสิวดีๆ ที่ต้องบอกต่อ!

10 วิธีลดหลุมสิว เคล็ดลับ ลดรอยหลุมสิวดีๆ ที่ต้องบอกต่อ!

“หลุมสิว” แค่ได้ยินก็ขนลุกชูชันไปทั้งตัวแล้ว ก็ใครบ้างที่อยากจะมีร่องรอยหลุมบ่ออยู่บนใบหน้า แถมยังเป็นปัญหาผิวที่รักษาได้ยากเย็นเสียเต็มประดาอีกด้วย แทนที่จะมีผิวนวลผ่องดังแสงจันทร์ ก็กลับกลายเป็นว่ามีผิวขรุขระเหมือนพื้นผิวดวงจันทร์นั่นเอง

เป็นฝ้า กระ หรือสิวอักเสบ มันก็ยังพอใช้เครื่องสำอางกลบเกลื่อนกันได้ แต่กรณีของหลุมสิวนั้นแทบจะไม่มีอะไรปกปิดเอาไว้ได้เลย ทางที่ดีจึงต้องรักษาให้หายหรือป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น

ลดหลุมสิว สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก ให้นึกถึงผิวหน้าที่เป็นหลุมบ่อเล็กๆ กระจายเต็มพื้นที่ มักพบในบริเวณที่เกิดสิวได้บ่อย คือ บริเวณจมูกและแก้ม เกิดจากผลกระทบของสิวอักเสบที่ลุกลามจนกินพื้นที่เนื้อให้ลึกลงไป และหลายๆ ครั้งก็เกิดจากพฤติกรรมอันสุ่มเสี่ยงของตัวเราเอง เมื่อไรที่มีสิวขึ้นมาก็พยายามไปบีบมันออก ด้วยความคันมือหรือรำคาญใจก็ไม่อาจรู้ได้

แต่ที่แน่ๆ คือบีบอย่างผิดวิธี จากสิวธรรมดาก็กลายเป็นสิวอักเสบ จากสิวอักเสบก็กลายเป็นการทำลายชั้นผิว สุดท้ายก็ทิ้งร่องรอยเอาไว้เต็มไปหมดดังนั้นนอกเหนือไปจากสิ่งอื่นใด จงจำไว้ว่าอย่าบีบสิวจนติดเป็นนิสัยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นสิวหัวเล็ก สิวหัวใหญ่ หรือแม้แต่สิวเสี้ยนก็ตามที แต่หากว่าหลุมสิวมันเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไป ค่อยๆ รักษาตามระดับความรุนแรงที่อาจแบ่งได้ 3 ระดับดังนี้

ICE PICK SCAR – ลดหลุมสิวแบบนี้มีลักษณะลึก ปากหลุมแคบ อาจถูกทำลายไปจนถึงชั้นหนังแท้ เป็นรูปแบบที่รักษาได้ยากที่สุด

BOX SCAR – หลุมมีลักษณะคล้ายบ่อ มีขอบที่กว้างและค่อนข้างชัดเจน แต่ก็ตื้นกว่าแบบแรกพอสมควร

ROLLING SCAR – กลุ่มนี้ยังไม่เห็นว่าเป็นหลุมเท่าไร เป็นเพียงแอ่งเว้าลงไป แต่ก็ทำให้ผิวไม่เรียบเนียนแบบที่สังเกตเห็นได้

การรักษามีทั้งแบบการใช้ยาและการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งต้องได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ ลองมาดูแนวทางในการลดรอยหลุมสิวที่ได้รับความนิยมกันบ้างดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

ใช้ผลิตภัณฑ์ลบรอยแผลเป็น

1. ใช้ผลิตภัณฑ์ลบรอยแผลเป็น

วิธีนี้ใช้ได้กับกรณีของ ROLLING SCAR เท่านั้น โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินอี AHA และ BHA เป็นหลัก เพราะองค์ประกอบสำคัญเหล่านี้มีหน้าที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง จึงสามารถเติมเต็มส่วนที่ถูกทำลายไปได้ แต่แน่นอนว่าต้องใช้เวลาค่อนข้างมากในการลดหลุมสิว หลุมสิวจะค่อยๆ ตื้นขึ้นทีละน้อย

จะเร็วหรือช้ามากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ตัวเองในส่วนอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างคอลลาเจน งดอาหารที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระจำนวนมาก ซึ่งมีผลกระทบต่อการเสริมสร้างคอลลาเจนเช่นเดียวกัน นอกจากนี้อาจใช้การสครับผิวหน้าอย่างอ่อนโยนเข้ามาช่วยอีกแรงหนึ่งได้

2. แต้มกรด TCA (TRICHLOROACETIC ACID)

สารประเภทกรดชนิดนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในวงการความสวยความงาม เราอาจได้เห็นผ่านตากันมาบ้าง ว่าช่วยแก้ปัญหาเรื่องสิว กระ ไฝ และรอยดำได้ด้วย กรด TCA มีคุณสมบัติในกัดกร่อน ลอกชั้นเซลล์ผิวหนังออก และเร่งผิวใหม่ให้เกิดการแบ่งตัวได้เร็วขึ้น ผิวจึงค่อยๆ เรียบเนียนขึ้นได้ แต่จะต้องศึกษาค่าความเข้มข้นที่เหมาะสมและวิธีการใช้อย่างถี่ถ้วน

เพราะถ้าผิดพลาดไปจะกลายเป็นทำร้ายผิวให้ยิ่งแย่ลงกว่าเดิม ผลข้างเคียงของการใช้กรด TCA ก็คืออาจเกิดรอยไหม้และสะเก็ดสีเข้มบนผิวได้ แล้วก็เป็นวิธีที่ไม่ควรทำบ่อยๆ หรือทำติดๆ กันทั่วใบหน้า เพราะอาจทำให้ผิวฟื้นตัวไม่ทัน

3. ลอกผิวด้วยกรดผลไม้

กรดผลไม้ที่เราคุ้นหูกันดีจะมีอยู่ 2 ตัวด้วยกัน คือ AHA และ BHA ทั้งสองมีความเหมือนและความต่างกันเล็กน้อย โดยมีสรรพคุณโดดเด่นในการเร่งผลัดเซลล์ผิวเหมือนกัน ผิวชั้นนอกสุดจึงหลุดออกและเริ่มทำการซ่อมแซมใหม่ ซึ่งอาจทำให้เกิดความระคายเคืองในผิวบอบบาง หรือเกิดอาการผิวแห้งขาดน้ำได้ ส่วนที่ต่างก็คือ AHA เป็นกรดผลไม้ที่สกัดจากธรรมชาติ สามารถละลายได้ในน้ำ ผ่านเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังได้น้อย

ในขณะที่ BHA เป็นกรดที่สังเคราะห์ขึ้นมา ละลายได้ในไขมัน และผ่านเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังได้ลึกกว่า จะเลือกใช้ตัวไหนลดหลุมสิวก็ตามความสะดวก วิธีนี้จะค่อยๆ ทำให้หลุมสิวเติมเต็มขึ้นเรื่อยๆ

4. ทากรดวิตามินเอ (RETINOIC ACID)

นี่ก็เป็นอีกตัวที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสารสารพัดประโยชน์ต่อผิวหน้า รักษาได้หมดตั้งแต่ฝ้า กระ สิว รอยด่างดำ และแก้ปัญหาผิวไม่เรียบเนียน กรดวิตามินเอตัวนี้ไม่ใช่ตัวเดียวกันกับวิตามินเออย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นอนุพันธ์ที่ถูกสกัดมาจากวิตามินเออีกที เหมาะกับการรักษาที่ไม่ได้รีบร้อนมากนัก และไม่ต้องการให้เกิดสะเก็ดแผลที่ต้องมาดูแลเพิ่มเติมอีกในภายหลัง

กรดวิตามินเอสามารถใช้ได้บ่อยกว่ากรด TCA โดยปริมาณที่เหมาะสมอยู่ที่อาทิตย์ละ 2 ครั้ง

5. ทายาที่อยู่ในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ

ยาลดหลุมสิวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Retin A เพราะเป็นยาตัวแรกๆ ที่ผลิตขึ้นมาสำหรับใช้ลดสิวอุดตัน ต่อมาก็แตกแขนงออกมาเป็นใช้ลดริ้วรอย ลดความมัน เป็นต้น Retin A จะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ริ้วรอยต่างๆ จึงตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สิ่งสำคัญคือไม่ควรใช้ยาตัวนี้ร่วมกับยารักษาสิวตัวอื่นๆ และควรทาแค่บางๆ เท่านั้น ไม่งั้นจะกลายเป็นว่าทำให้หน้าเกิดความระคายเคืองได้

ทายาหลุมสิวที่อยู่ในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ

6. ฉีดฟิลเลอร์

ตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าหลุมสิวบางประเภทนั้นรักษาได้ยากมาก และไม่อาจแก้ปัญหาได้ด้วยการทายาเพียงอย่างเดียว ต้องพึ่งพานวัตกรรมทางการแพทย์ร่วมด้วยจึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ ใช้ได้กับระดับ BOX SCAR และ ROLLING SCAR ส่วนใหญ่จะใช้สารเติมเต็มเป็นไฮยาลูรอนิกเอซิด (Hyaluronic Acid) เนื่องจากระคายเคืองและเกิดอาการแพ้ได้น้อยการคอลลาเจนหลายเท่า

ข้อดีคือฉีดแล้วเห็นผลทันทีว่าหลุมเล็กใหญ่บนใบหน้านั้นหายไป อย่างไรก็ตามการฉีดแต่ละครั้งจะคงสภาพไว้ได้ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปีเท่านั้น เป็นการแก้ปัญหาแบบชั่วคราวไม่ใช่ถาวร หากชอบการรักษาแบบนี้ก็แค่กลับมาเติมเพิ่มอีกเมื่อครบกำหนด

7. กรอผิวด้วยอัญมณี

นี่คือการลดหลุมสิว ด้วยการกรอผิวหนังในส่วนของหนังกำพร้าออกไปบางส่วน ซึ่งมีความบางมาก ยังไม่ถึงชั้นผิวที่ทำให้เกิดรอยแผลได้ ไม่เหมือนกับการกรอผิวด้วยเลเซอร์ทั่วไปที่จะต้องดูแลรอยแผลอยู่ระยะหนึ่งหลังการทำ การรักษาด้วยวิธีนี้จึงไม่ยุ่งยากในเรื่องของการดูแล สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติในทันที

ข้อดีคือผิวดูเรียบเนียน หลุมต่างๆ ดูตื้นขึ้น แถมยังมีผลพลอยได้เป็นการช่วยลดรอยด่างดำต่างๆ ด้วย การกรอผิวด้วยอัญมณีนี้เหมาะกับหลุมสิวประเภท BOX SCAR และ ROLLING SCAR

8. การทำ SKIN NEEDING

วิธีนี้อาจไม่ค่อยคุ้นหูมากนัก แต่เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการรักษาความไม่เรียบเนียนของใบหน้า และลดเลือนริ้วรอยต่างๆ โดยเฉพาะ ลักษณะของการทำ Skin Needing คือการใช้อุปกรณ์ที่เป็นเข็มขนาดเล็กมากและมีค่าความยาวที่เหมาะสม บรรจุตัวยาที่ทำหน้าที่กระตุ้นการฟื้นฟูชั้นผิว ฉีดเข้าไปตามจุดต่างๆ ทั่วใบหน้า แล้วลงเซรั่มวิตามินเป็นการปิดท้าย

ความพิเศษของการรักษาแบบนี้ก็คือเร่งให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็ว และไม่ทำให้ผิวชั้นนอกเกิดการลอกออก จึงไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เลย แต่ต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำบริเวณที่ทำการรักษาประมาณ 24 ชั่วโมง พร้อมหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงสัปดาห์แรกด้วย

9. ศัลยกรรมผ่าตัด

สำหรับหลุมสิวประเภท ICE PICK SCAR นั้น ลดหลุมสิวได้ยากมาก เกือบทั้งหมดเหมาะกับการรักษาด้วยการศัลยกรรม เพราะชั้นผิวถูกทำลายลึกมาก ต่อให้ใช้เลเซอร์หรือการกรอผิวก็ไม่ค่อยช่วยให้เห็นความแตกต่างมากเท่าไร จึงต้องจัดการด้วยวิธีนี้ และไม่ใช่แค่

ICE PICK SCAR เท่านั้น หากเป็นประเภทอื่นที่รักษามาทุกรูปแบบแล้วยังไม่หาย ก็ต้องมาจบที่การศัลยกรรมเช่นเดียวกัน โดยที่การศัลยกรรมลักษณะนี้ยังแบ่งออกได้อีก 4 วิธี ได้แก่

  • Punch excision เป็นการผ่าตัดเอาส่วนของรอยร่องหลุมออก ก่อนเย็บแผลให้ติดกัน
  • Punch elevation เป็นการผ่าตัดโดยตกเนื้อบริเวณก้นหลุม หรือบริเวณที่ต่ำกว่าให้ขึ้นมาสูงเทียบเท่ากับบริเวณใกล้เคียง
  • Punch grafting เป็นการนำเนื้อส่วนอื่นมาเติมเต็มหลุม แล้วเย็บปิดเพื่อให้เนื้อเยื่อเจริญเติบโตได้เต็มที่
  • Elliptical excision เป็นการกรีดร่องหลุมให้เป็นวงรี ก่อนเย็บปิดแผลให้แนบสนิท

ผลข้างเคียงเป็นเรื่องของรอยแผลเป็นขนาดเล็ก แต่ก็สามารถที่จะหายได้เองโดยไม่ต้องรักษาอะไรเพิ่มเติม

10. การทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว

ปิดท้ายด้วยวิธีที่ได้รับความนิยมสูงมากที่สุด เนื่องด้วยไม่เจ็บตัวและหาสถานบริการที่เชี่ยวชาญทำได้ง่าย ส่วนผลลัพธ์นั้นก็ไม่เลวทีเดียว เลเซอร์ที่ใช้เพื่อรักษาหลุมสิวมีหลายประเภท เช่น เลเซอร์ Yag เลเซอร์ Fraxel เลเซอร์ Fractional CO2 เป็นต้น ในรายละเอียดแล้ว แต่ละตัวก็จะมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าใครชื่นชอบแบบไหน อย่างไรก็ตามแกนหลักของการรักษาด้วยเลเซอร์ก็คือการกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ของเดิมนั่นเอง

จะเห็นได้ว่าการรักษา หรือการลดหลุมสิวนั้นยุ่งยากกว่าการป้องกันหลายเท่านัก และการป้องกันก็ไม่ได้ยากเกินไปด้วย ดังนั้นหากอยากมีใบหน้าเรียบเนียน ห่างไกลจากร่องริ้วรอยและหลุมบ่ออันขรุขระต่างๆ ก็ต้องใส่ใจดูแลผิวอย่างถูกต้องเหมาะสมอยู่เสมอ


อ้างอิง

Using Creams for Acne Treatment : https://www.verywellhealth.com/acne-creams-creams-for-acne-2633109

การรักษาหลุมสิว. https://www.mccormickhospital.com/web/articles/blogs/การรักษาหลุมสิว

หน้าแพ้สารเคมี มาแก้หน้าพัง ให้ปังได้อีกครั้ง

หน้าแพ้สารเคมี หรือสารสเตียรอยด์ 5 อาการสำคัญที่บ่งบอกต้องระวัง!

หน้าแพ้สารเคมี เป็นอาการแพ้ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ อย่าง ปรอท หรือสารสเตียรอยด์ การแพ้เหล่านี้อาจเป็นอันตรายได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง รวมถึงการแพ้สารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อม เช่น ละอองเกสร สัตว์ และเชื้อรา สารเคมีทั่วไปอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้อย่างวัตถุเจือปนอาหาร สารกันบูด และสีย้อม เป็นต้น ซึ่งถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจก่อให้เกิดการแพ้ต่อสารนั้นอย่างแท้จริง

5 อาการสำคัญที่บ่งบอกต้องระวัง! ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังเจอกับปัญหาสิวปะทุ หน้ามัน แถมเหี่ยวย่นก่อนวัยทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีอะไร แต่จนมาได้ใช้ครีมตามอินเทอร์เน็ต แล้วบังเอิญว่าครีมนั้นดันหมดพอดี และอาการที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ดันเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ไม่แน่ว่าปัญหาผิวของคุณที่กำลังเจออยู่อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้ เพราะอาจจะเป็นสัญญาณที่บอกให้คุณรู้ว่า หน้าแพ้สารเคมี หรือแพ้สเตียรอยด์อยู่ก็เป็นได้


สเตียรอยด์ คืออะไร

หน้าแพ้สารเคมี

ก่อนจะพูดถึงเรื่องของอาการ หน้าแพ้สารเคมี เราจะมาเท้าความกันก่อนว่า สเตียรอยด์ คืออะไร โดยปกติแล้ว สเตียรอยด์ เป็นสารเคมีที่ร่างกายสามารถที่จะผลิตขึ้นมาเองได้ ผ่านระบบต่อมหมวกไต ซึ่งฤทธิ์ของสเตียรอยด์นั้นมักจะเป็นไปในทางช่วยในการกดภูมิคุ้มกัน ไม่ให้ทำงานได้มากเกินไป จนก่อให้เกิดอาการแพ้ภูมิตัวเอง

ในทางการแพทย์มักจะมีข้อบ่งชี้ในการใช้สารประเภทนี้ โดยให้ใช้ในระยะเวลาที่เหมาะสม และปริมาณที่ไม่เข้มข้นเกินไป ซึ่งโรคที่จำเป็นต้องใช้สเตียรอยด์ในการรักษาก็จะเป็นโรคผิวหนังบางชนิด แต่การสั่งจ่ายยาจะต้องทำโดยแพทย์อย่างเคร่งครัดเท่านั้น เพราะในปัจจุบันทางองค์การอาหารและยาได้ระบุให้ สารสเตียรอยด์ เป็นสารอันตราย ห้ามนำไปผสมในเครื่องสำอาง หรือยาต่างๆ โดยเด็ดขาด

แต่อย่างไรก็ตามก็มีแม่ค้าและเจ้าของแบรนด์ที่ไร้จรรยาบรรณหลายคนได้ฝ่าฝืนข้อปฏิบัติดังกล่าว โดยการแอบผสมสเตียรอยด์ลงในเครื่องสำอาง เพื่อให้ดูเหมือนว่าใช้แล้วเห็นผลเร็วขึ้น ซึ่งในจุดนี้เองที่ทำให้เมื่อหยุดใช้แล้วเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นมา หรือที่เรียกกันว่า หน้าแพ้สารเคมี หรือแพ้สเตียรอยด์ นั่นเอง


โดยอาการของการแพ้สารเคมี มีดังนี้

1. หน้ามันกว่าปกติ

หน้าแพ้สารเคมี

ในส่วนนี้หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไหร่ โดยเฉพาะสำหรับคนที่พื้นผิวเป็นคนผิวมันอยู่แล้ว เมื่อเกิดอาการ หน้าแพ้สารเคมี มักจะมองว่าก็ปกติผิวค่อนข้างมันอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเจอปัญหาดังกล่าว จะพบว่ามีผิวมันมากกว่าปกติ หลังจากหยุดใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์

2. ผิวบาง

หน้าแพ้สารเคมี

คำว่าผิวบางสำหรับเรา นอกจากความบอบบางที่มากขึ้น ยังหมายความถึงการที่ผิวหน้าดูบางลงอย่างเห็นได้ชัด จนสังเกตได้ว่ามองเห็นเส้นเลือดที่ผิวหน้า ซึ่งหากส่องกระจก แล้วเห็นเส้นเลือดแบบชัดๆ ทั้งที่คุณไม่ได้มีผิวขาว ขอให้แน่ใจได้ว่าคุณนั้นแพ้สเตียรอยด์อย่างแน่นอน

3. ผิวแพ้ง่าย

หน้าแพ้สารเคมี

หลายคนเมื่อเลิกใช้ครีมหรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเคมี อาจจะพบว่าผิวหน้านั้นแพ้ง่ายมากขึ้น คือ เมื่อสัมผัสกับฝุ่นหรือความเปลี่ยนแปลงของอากาศ หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพียงเล็กน้อยก็มักจะเกิดสิว หรือผดผื่นคันได้ง่ายๆ ซึ่งนั่นถือว่าเป็นอาการสำคัญทีเดียวที่บ่งบอกว่า หน้าแพ้สารเคมี แล้วก็เป็นได้

4. มีสิวปะทุจำนวนมาก

หน้าแพ้สารเคมี

ถ้าคุณเคยใช้เครื่องสำอางอะไร แล้วหน้าใสวิงค์ แต่เมื่อเลิกใช้กลับพบว่าผิวค่อยๆ มีสิวนานาชนิดผุดขึ้นมาตามใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นสิวผดหรือสิวอุดตันต่างๆ ในช่วงเวลาระหว่าง 2 สัปดาห์ –  1 เดือน หลังจากหยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ

ขอให้รู้ไว้เลยว่า นั่นอาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมาคุณได้ใช้สินค้าที่มีส่วนประกอบของสารสเตียรอยด์เข้าแล้ว ซึ่งเมื่อหยุดใช้อย่างกะทันหัน อาจจะทำให้ หน้าแพ้สารเคมี ขึ้นมาได้

5. ผิวหน้าดูแก่กว่าวัย

หน้าแพ้สารเคมี

ในระหว่างการใช้เครื่องสำอางที่มีสารสเตียรอยด์ คุณอาจจะรู้สึกว่าผิวหน้าขาวใสได้ในเวลารวดเร็ว แต่เมื่อหยุดใช้กลับพบว่า ผิวหน้าของคุณ กลับเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่แย่ลง คือ มีผิวที่หมองคล้ำมากขึ้น ผิวหยาบกร้าน ผิวพรรณไม่ผ่องใส และมีการเหี่ยวย่นเร็วกว่าปกติ ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะค่อยๆ มาหลังจากหยุดใช้เครื่องสำอางได้ไม่นาน และเป็นอาการที่บอกได้เป็นอย่างดีว่า คุณนั้นแพ้สารเคมีเข้าแล้ว


จะหลีกเลี่ยงอาการแพ้สารเคมีหรือสเตียรอยด์ได้อย่างไร

หน้าแพ้สารเคมี

สำหรับวิธีการหลีกเลี่ยงการแพ้สารเคมีหรือสเตียรอยด์ที่ดีที่สุดก็คือ การเลือกที่จะไม่ใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารเคมีต่างๆ ตั้งแต่ต้นนั่นเอง หรือเลือกใช้ครีมผสมสารสกัดจากผลไม้ก็ได้ เนื่องจากเมื่อผิวเกิดปัญหาการแพ้สารเคมีขึ้นมามักจะใช้ระยะเวลาในการรักษาที่ค่อนข้างนาน รวมไปถึงยังอาจจะส่งผลต่อบุคลิกภาพของคุณอีกด้วย โดยสำหรับการเลือกซื้อเครื่องสำอาง หากไม่อยากเจอสารเคมีหรือสเตียรอยด์ปลอมปน แนะนำว่าควรเลือกดังนี้

1. เครื่องสำอางต้องมีที่มาที่ชัดเจน

ทั้งในส่วนของแหล่งผลิต และส่วนประกอบที่สำคัญต่างๆ รวมถึงหมายเลขจดแจ้งของเครื่องสำอางก็ควรจะตรวจสอบได้ ทั้งนี้นอกจากเพื่อเป็นการป้องกัน หน้าแพ้สารเคมี แล้ว การระบุประเภทของส่วนประกอบอย่างชัดเจน ยังช่วยให้คนที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายได้ตรวจสอบได้ด้วยว่าเครื่องสำอางแบรนด์นั้นควรเลือกใช้หรือไม่

2. เนื้อครีมไม่ควรเปลี่ยนแปลงง่าย

ในการทดสอบเครื่องสำอางบางอย่าง เราอาจจะเลือกซื้อมาตั้งทิ้งเอาไว้ในอุณหภูมิห้อง เพื่อดูการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการแยกชั้นของเนื้อครีมหรือการเปลี่ยนสี รวมไปถึงเรื่องของกลิ่นด้วย เนื่องจากหากเป็นเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสเตียรอยด์จริงๆ มักจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในส่วนนี้

3. ทดสอบโดยเครื่องมือของกระทรวงวิทย์

สำหรับคนที่ชอบลองครีมใหม่ๆ เราแนะนำว่าคุณควรมีชุดทดสอบสารต้องห้ามต่างๆ ของกระทรวงวิทยาศาสตร์การแพทย์ติดบ้านเอาไว้ สำหรับการทดสอบเครื่องสำอางที่รู้สึกไม่น่าไว้ใจ ซึ่งในปัจจุบันชุดทดสอบดังกล่าวมีจำหน่ายในราคาไม่แพงอีกด้วย

เพราะผิวหน้าของเรามีเพียงหน้าเดียว การจะเลือกใช้เครื่องสำอางต่างๆ นอกจากจะเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวแล้ว ควรเลือกเครื่องสำอางที่มีความปลอดภัยด้วย เพราะไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะต้องเสียทั้งเงินและเวลาในการรักษาปัญหาผิว และที่สำคัญ คือ อาจจะต้องเสียใจหากผิวพรรณกู้กลับมาได้ยาก หรือหมดทางรักษาอีกด้วย


4 วิธีทดสอบครีมปรอท ทดลองแล้วเห็นผลจริงอย่างแน่นอน

นอกจากสารสเตียรอยด์แล้ว ครีมปรอทก็เป็นสารเคมีอีกตัวที่ควรหลีกเลี่ยง ซึ่งวันนี้ก็จะมาแนะนำ 4 วิธีทดสอบครีมปรอทที่ทดลองแล้วเห็นผลจริงอย่างแน่นอน เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่า สารปรอทนั้นเป็นสารเคมีอีกตัวที่ค่อนข้างส่งผลกระทบกับร่างกายสูง เพราะสามารถทำลายระบบเม็ดเลือดของเราได้เลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามหลายครั้งเราก็ยังจำเป็นที่จะต้องนำเอาสารอันตรายอย่างปรอทมาใช้ในการทำงานบางอย่าง หรือแม้กระทั่งการรักษาโรคบางชนิดแต่ต้องทำภายใต้การควบคุมของแพทย์อย่างเคร่งครัดเท่านั้น 

แต่ก็ยังมีบางแบรนด์ที่ได้นำเอาผลข้างเคียงบางอย่างของบสารปรอทมาใช้ในด้านความงาม ซึ่งผลข้างเคียงนั้น ก็คือ การช่วยฆ่าเชื้อที่ทำให้เกิดสิว และลดการทำงานของเมลานิน ซึ่งเป็นเม็ดสีผิวคล้ำให้น้อยลง ทำให้ผิวหน้าขาวใสไร้สิวในเวลาที่รวดเร็ว ก่อให้เกิดเป็นครีมปรอทที่ขายกันตามท้องตลาด ซึ่งหลายเจ้าอาจจะไม่ได้บอกตรงๆ ว่ามีสารอันตราย อันนี้เราก็ต้องตรวจสอบกันเอาเอง โดยวิธีการยอดนิยมที่ใช้ในการตรวจสอบว่าครีมที่ซื้อมาเป็นครีมปรอทหรือไม่ มีดังนี้

1. ทดสอบกับผิว

หน้าแพ้สารเคมี

วิธีนี้สำหรับคนผิวแพ้ง่าย อยากให้เลี่ยงไปเลยจะดีกว่า แต่ถ้าคุณเชื่อว่าผิวพรรณคุณแข็งแรงก็น่าลองเหมือนกัน ซึ่งวิธีการทดสอบนั้นไม่ยากเลย เพียงแค่นำเอาครีมปรอทที่จะทดสอบมาทาที่บริเวณท้องแขนด้านในเล็กน้อย แล้วปิดด้วยพลาสเตอร์ จากนั้นก็นำเอาพลาสเตอร์อีกอันมาปิดที่บริเวณใกล้เคียง ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง แกะพลาสเตอร์ออก ถ้าตรงที่ทาครีมมีสีขาวซีดกว่า ตรงที่ไม่ทาแสดงว่า ครีมที่ซื้อมาเป็นครีมปรอท จริง

2. ใช้ผงซักฟอกทดสอบ

หน้าแพ้สารเคมี

เป็นวิธีการยอดนิยมอีกวิธีการหนึ่งทีเดียว ในการช่วยทดสอบว่าครีมที่ซื้อมานั้นเป็นครีมปรอทหรือไม่ ซึ่งวิธีการก็ไม่ยากเลย เพียงแค่ผสมผงซักฟอกกับน้ำให้เป็นเนื้อครีมข้นๆ จากนั้นนำเอาครีมที่ต้องการทดสอบมาป้ายลงบนกระดาษทิชชู แล้วนำเอาผงซักฟอกที่ผสมไว้แล้วมาหยดใส่ ทิ้งไว้สักครู่ หากไม่มีการเปลี่ยนสี แปลว่าครีมนั้นปลอดภัยจากสารปรอท แต่หากมีการเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงิน แสดงว่านั่นเป็นครีมปรอท

3. ทดสอบโดยการนำเอาถูกับทองแท้

หน้าแพ้สารเคมี

วิธีนี้เหมาะกับคนที่มีทอง แต่ถ้าไม่มีแนะนำให้ข้ามไปเลย ส่วนวิธีการนั้นก็ไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแค่นำเอาครีมมาป้ายลงบนกระดาษทิชชูแล้วนำไปถูกับทองคำแท้ หากถูแล้วเป็นสีดำ แสดงว่ามีสารปรอทในครีมนั้น

4. ซื้อชุดทดสอบสารปรอทของกรมวิทยาศาสตร์

หน้าแพ้สารเคมี

แนะนำว่าลองซื้อชุดทดสอบมาใช้จะให้ผลที่ชัดเจนกว่า แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าปรอทที่อยู่ในครีมนั้นเป็นปรอทชนิดใด และมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน แต่ก็พอที่จะทำให้เราตัดสินใจได้ว่าจะทิ้งหรือใช้ครีมกระปุกนั้นต่อไป

เมื่อทดสอบจนทราบแล้วว่ามีสารปรอทอยู่ภายในเครื่องสำอาง หลายคนอาจจะบอกว่าไม่เห็นเป็นอะไรเลย ใช้มาจนจะหมดแล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่าผลของการใช้ครีมปรอทนั้นจะเป็นอย่างไร ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

  • ผลระยะสั้น สำหรับคนที่อาจจะทำบุญมาดีทำให้คุณเห็นผลของการใช้ครีมปรอทอย่างรวดเร็ว ทำให้ตัดสินใจว่าจะเลิกใช้ก่อนที่จะสะสมในร่างกายจนเป็นอันตราย แต่อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องเสียเวลาในการฟื้นฟูผิวมากพอสมควรทีเดียว เพราะหาก หน้าแพ้สารเคมี หรือผลของการแพ้ครีมปรอทแบบรุนแรงที่เห็นได้ชัด คือ จะมีอาการคัน ระคายเคือง และอาจจะเห็นสิวจำนวนมากโผล่ขึ้นมาหลังใช้ได้ไม่นาน นอกจากนี้แล้วหากยังฝืนใช้ เพราะเชื่อคำแม่ค้าว่าเป็นการผลักสิวออกมาแล้วจะหายไปเอง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ก็อาจะทำให้เกิดอาการผิวบาง แสบ แพ้แสง และที่ร้ายที่สุด คือ อาจจะเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้าถาวรอีก
  • ผลระยะยาว สำหรับหลายคนที่บอกว่าใช้ครีมปรอทมาตั้งนานไม่เห็นเป็นอะไรเลย นั่นอาจจะเป็นเพราะว่ามีการสะสมของสารปรอทในกระแสเลือดและในผิวของเราไปแล้ว สำหรับผลของการที่ปรอทสะสมในผิว ในช่วงแรกอาจจะเห็นว่าหน้าขาวใสจริง แต่เมื่อเปลี่ยนครีมหรือเลิกใช้จะเกิดอาการสิวปะทุขึ้นมาเต็มใบหน้า และอาจจะมีอาการอื่นๆ ด้วย เช่น ผิวบาง แพ้ง่ายขึ้น เป็นต้น

นอกจากนี้แล้ว ในรายที่มีการตั้งครรภ์ แต่ใช้ครีมปรอทอยู่เป็นประจำ ผลของการสะสมของสารปรอท นอกจากจะเกิดกับคุณแล้ว ยังอาจจะส่งผลถึงเด็กในท้องด้วย เพราะสารปรอทจะไปทำลายระบบการไหลเวียนโลหิต และอาจจะทำให้เกิดการพิการ ทั้งทางร่างกายและสมองสำหรับเด็กที่จะเกิดมาด้วย

จะเห็นได้ว่าครีมปรอทราคาถูกที่ขายกันเกลื่อนเมืองนั้น มอบความสวยให้คุณได้ก็จริง แต่เป็นเพียงความสวยชั่วคราว ซึ่งต้องแลกมาด้วยปัญหาสุขภาพในระยะยาว นอกจากนี้แล้ว ยังไม่ได้แค่ส่งผลกับตัวคุณเท่านั้น เพราะอาจจะส่งผลถึงลูกของคุณด้วย ดังนั้น เราแนะนำว่าหากเลี่ยงได้ควรจะเลี่ยงการใช้ครีมที่ไม่ได้มาตรฐาน และไม่มีเครื่องหมายรับรองความปลอดภัย จาก อย. จะดีกว่า

เพราะครีมเหล่านี้ราคาถูกก็จริง แต่เมื่อมาคำนวณในส่วนของค่ารักษาที่เกิดจากการใช้ครีม บอกได้เลยว่าแพงกว่าเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ด้วยซ้ำ ดังนั้น บวกเงินเพิ่มเล็กน้อย เพื่อแลกกับความปลอดภัยของทั้งผิวคุณและสุขภาพจะดีกว่า เพราะใบหน้าของเรามีแค่หน้าเดียวเท่านั้น


หน้าแพ้สารเคมี มาแก้หน้าพัง ให้ปังได้อีกครั้ง

หน้าแพ้สารเคมี

หน้าแพ้สารเคมี มาแก้หน้าพัง ให้ปังได้อีกครั้ง ถ้าพูดถึงเครื่องสำอางในปัจจุบันเราจะพบว่ามีมากมายหลายแบรนด์ทีเดียวในท้องตลาดให้เราได้เลือกซื้อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกแบรนด์จะปลอดภัยสำหรับผิวของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์ที่กล้าการันตี 3-7 วันเห็นผล และมีราคาที่ถูกเกินไป ยิ่งถือว่าอันตรายทีเดียว

เพราะอาจจะมีส่วนผสมของสารต้องห้ามมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ปรอท ไฮโดรควินิน หรือแม้กระทั่งสารสเตียรอยด์ ซึ่งสารที่กล่าวมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นสารที่มีอันตราย ทั้งต่อผิวพรรณและต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งครีมสเตียรอยด์ด้วยแล้วมักจะส่งผลแทบจะในทันทีที่หยุดใช้กันเลยทีเดียว 

ดูแลผิวของเราปลอดภัยจากสารเคมี 

มาดูกันดีกว่าว่าครีมเหล่านี้มีลักษณะอย่างไร รักษาสิวหายได้ใน 7 วัน ในราคาที่ถูกจนน่าตกใจ สำหรับในส่วนของครีมที่ผสมสารเคมีต่างๆ นั้นมักจะเน้นโฆษณาไปที่การรักษาสิวให้หายในเวลาที่รวดเร็ว ซึ่งเห็นผลจริงในระยะแรกอย่างสารสเตียรอยด์ที่อยู่ในครีมจะไปกดไม่ให้สิวปะทุขึ้นมา ทำให้เชื้อสิวยังคงอยู่ภายใต้ผิวหน้าของเรา เพื่อรอวันที่ผิวอ่อนแอ แล้วจึงค่อยผุดขึ้นมาพร้อมกันจำนวนมาก หรือสารปรอทที่ทำให้ผิวขาวไว

  • ครีมมีกลิ่นฉุน หลายเจ้าอ้างว่าครีมของตนเองทำมาจากสมุนไพร ทำให้มีกลิ่นที่ฉุนรุนแรง แต่จริงๆ แล้วเป็นการแต่งกลิ่น เพื่อกลบกลิ่นของสารเคมี เพื่อไม่ผู้บริโภคไม่รู้สึกตัวว่ากำลังใช้ครีมอันตรายอยู่นั่นเอง
  • เนื้อครีมแยกชั้น เมื่อใช้ไปสักพักหนึ่งสำหรับคนที่กำลังใช้ แนะนำว่าให้ดูว่าเนื้อครีมนั้นยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะอย่างครีมที่มีสารสเตียรอยด์นั้น มักจะเกิดการแยกชั้นของเนื้อครีมเมื่อเวลาผ่านไป
  • เนื้อครีมมีการเปลี่ยนสี ทั้งนี้ไม่ใช่การเปลี่ยนสีจากสภาพอากาศ เพราะว่าสำหรับครีมนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างเร็ว และเมื่อมีการสอบถามไปยังเจ้าของผลิตภัณฑ์มักจะมีการอ้างว่าเป็นการเปลี่ยนสีของสมุนไพร เป็นต้น แต่หากพบว่าเนื้อครีมเปลี่ยนสี แนะนำว่าให้ทิ้งดีกว่า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีสารอันตรายก็ตาม เพราะนั่นอาจจะหมายความว่าครีมนั้น หมดอายุหรือเสื่อมสภาพได้เช่นเดียวกัน

และสำหรับคนที่กำลังมีปัญหาหลังจากที่ใช้ครีมที่ผสมสารเคมี เราก็มีเทคนิคในการจัดการกับปัญหาเหล่านี้ เพื่อให้หน้าของคุณกลับมาใสได้เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าวิธีการเหล่านี้อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยในการฟื้นฟูผิวหน้า แต่รับรองได้เลยว่าผิวของคุณจะกลับมาใสได้อย่างแน่นอน ด้วย 3 สเต็ปต่อไปนี้

 1. หยุดพักหน้า

หน้าแพ้สารเคมี

นอกจากจะเลิกใช้ครีมต่างๆ แล้ว คุณยังจะต้องหยุดแทบจะทุกอย่างเกี่ยวกับผิวหน้าเลยทีเดียว รวมถึงต้องใช้วิธีล้างหน้าที่ถูกต้อง เพราะหากยังมีการทาครีมอื่ยๆ อยู่อาจจะเป็นการไปทำร้ายผิวเพิ่มขึ้นดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็น

– การแต่งหน้า เพราะการแต่งหน้าจะทำให้เกิดปัญหาสิวอุดตันจากเครื่องสำอางได้ง่าย แต่อย่างไรก็ตามหากจำเป็นต้องแต่งหน้าเพื่อไปทำงาน แนะนำว่าให้แต่งอ่อนๆ และเมื่อกลับมาถึงบ้านให้รีบล้างให้สะอาด เพื่อให้ผิวได้พักผ่อน

– งดมาส์กและสครับผิว อย่างที่รู้กันการสครับผิวมักจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่ายอยู่แล้ว และยิ่งเมื่ออยู่ในภาวะที่ หน้าแพ้สารเคมี ผิวอ่อนแอกว่าปกติ แทนที่จะเป็นการฟื้นฟูผิวก็อาจะกลายเป็นการทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัวได้

– งดบีบหรือแกะสิว เพราะจะทำให้เกิดรอยสิวและริ้วรอยได้ เนื่องจากผิวของเรายังอยู่ในสภาพอ่อนแออย่างถึงที่สุด

สำหรับในส่วนของการหยุดพักหน้าจากครีมนั้น แต่ละคนอาจจะใช้เวลาไม่เท่ากัน เนื่องจากขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการใช้ครีม และสภาพความอ่อนแอของผิวหน้าด้วย หลายคนอาจจะใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือนก็กลับมาหน้าใส แต่บางคนก็ใช้เวลาเป็นปีเหมือนกัน

2. ดีท็อกซ์ผิวหน้า

หน้าแพ้สารเคมี

การดีท็อกซ์ผิวหน้า เราแนะนำให้ใช้สูตรจากธรรมชาติ เช่น การพอกหน้าด้วยไข่ขาวเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อช่วยในการขับพิษของสารเคมีออกมา จะปลอดภัยกว่า และนอกจากการใช้ไข่ขาวแล้ว

หากต้องการที่จะเติมความชุ่มชื้นหรือต้องการให้หน้าขาวกระจ่างใส ก็อาจะใช้อย่างอื่นที่มาจากธรรมชาติและอ่อนโยน เช่น นมสด โยเกิร์ต หรือว่านหางจระเข้ มาพอกที่ผิวหน้าก็ได้เช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้ไม่ควรใช้สิ่งที่อาจจะทำให้แพ้ได้อย่างมะเขือเทศหรือมันฝรั่ง ในการพอกหน้าช่วงนี้ เพราะอาจจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่าย

3. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้ปลอดภัย

หน้าแพ้สารเคมี

หลังจากที่พักหน้าและดีท็อกซ์ผิวจากการติดครีมสารเคมีเรียบร้อย ต่อมาก็เป็นในส่วนของการเลือกใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับสภาพผิวที่อ่อนแอ โดยมีหลักการในการเลือก ดังนี้

– ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว การทำความสะอาดเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับช่วงนี้ เนื่องจากผิวของเรามีความอ่อนแอจากการใช้ครีมมาเป็นระยะเวลานาน โอกาสในการที่จะเกิดสิวมีมากกว่าคนปกติ การเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับการล้างหน้า แนะนำให้เลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิว และควรเลือกแบบที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติที่สำคัญ คือ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าที่มีความอ่อนโยนเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคืองจากการทำความสะอาด

– บำรุงผิว ให้เน้นเลือกเครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่ให้ความชุ่มชื้นเป็นหลัก เพราะเป็นเคล็ดลับวิธีแก้ผิวแห้งเป็นสิวได้เป็นอย่างดี แต่อย่าเพิ่งมองหาครีมสำหรับช่วยให้หน้าขาวหรือลบรอยใดๆ ทั้งสิ้น เพราะหากใจร้อนรีบใช้ครีมอื่นๆ ผิวที่ยังไม่ฟื้นฟูอาจจะกลับมาพังได้อีกครั้ง และเช่นเดียวกันควรเลือกเป็นสูตรอ่อนโยนจะดีที่สุด

– ครีมกันแดดเพราะผิวหน้าของเราหลังจากที่เจอกับสารเคมีมาจะมีความไวต่อแดดมาก การใช้ครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และแน่นอนว่าควรเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อบางเบา และไม่มีส่วนประกอบที่ก่อให้เกิดอาการแพ้

หลายคนอาจจะมองว่ายุ่งยากพอสมควรสำหรับการดูแลผิวหลังจากที่ใช้ครีมที่ผสมสารเคมี แต่เชื่อเถอะว่านี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดในการฟื้นฟูผิวของคุณให้กลับมาสวยได้อีกครั้ง หลังจากที่หน้าพังเพราะพิษสารเคมีอย่างแน่นอน


อ้างอิง

http://www.biohopethai.com/กู้หน้าพังจากปรอทและสเตียรอยด์

http://acnedefend.blogspot.com/2014/05/steroids-test.html

https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_535460

รีวิวกันแดดทาหน้า 10 แบรนด์ ทดลองหมดแล้วครีมกันแดดยี่ห้อไหนดีที่สุด

รีวิวกันแดดทาหน้า 10 แบรนด์ ทดลองหมดแล้วครีมกันแดดยี่ห้อไหนดีที่สุด

รีวิวกันแดดทาหน้า 10 แบรนด์ ทดลองหมดแล้วครีมกันแดดยี่ห้อไหนดีที่สุด ครีมกันแดดนับว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับผู้หญิงทุกคน เรียกได้ว่าจะไปไหนมาไหนก็ต้องพกครีมกันแดดติดตัวตลอด เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อนจึงทำให้รังสียูมีอยู่แทบทุกที่ และสิ่งเดียวที่จะปกป้องผิวหน้าและผิวกายไม่ให้ได้รับอันตรายจากรังสียูวี คือ การทาครีมกันแดด

เพราะหากเราปล่อยปละละเลยไม่สนใจสุขภาพผิวของเราปล่อยให้ยูวีจากแสงแดดทำร้ายเป็นเวลานานๆ ผิวอาจจะเสียจนเกิดความหมองคล้ำ เป็นฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือปัญหาสุขภาพผิวอื่นๆ ตามมาด้วย ที่สำคัญไปกว่านั้นรังสียูวีจากแสงแดด หากเราไม่ดูแลหรือป้องกันอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้

ซึ่งต้องบอกเลยว่าอันตรายมากๆ เพราะฉะนั้นการดูแลผิวด้วยการทาครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก หลายคนอาจจะสับสนว่าควรใช้ครีมกันแดดแบบไหนดีนะถึงจะปกป้องผิวให้ปลอดภัยจากรังสียูวีได้  ในแต่ละวันที่สาวๆ ต้องออกนอกบ้านแทบไม่รู้เลยว่าในวันนั้นเราจะเจอกับอะไรบ้าง เพราะในแต่ละวันมีครบทุกสภาพอากาศ ทั้งร้อน ทั้งฝน ยังรวมไปถึงแสงไฟนีออนที่ต้องเจอในที่ทำงานอีก

เพราะฉะนั้นการเลือกใช้ครีมกันแดดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ครีมกันแดดยอดนิยมและใช้ดีจึงต้องมีความพร้อมที่จะรับมือกับทุกสภาพอากาศ จะต้องเหนียวหนึบทนต่อทุกสถานการณ์ ทีนี้เรามาดู รีวิวกันแดดทาหน้า ที่คนส่วนใหญ่ใช้และทนต่อทุกสถานการณ์กันว่ามีอะไรบ้าง และมาดูว่าควรใช้แบบไหนถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด


1. รีวิวกันแดดทาหน้า LA ROCHE-POSAY ANTHELIOS XL DRY TOUCH – GEL – CREAM SPF 50+

รีวิวกันแดดทาหน้า

เป็นครีมกันแดดสำหรับผิวหน้า เนื้อครีมเป็นเจลเมื่อทาที่ผิวหน้าแล้วเนื้อครีมจะซึมซับเข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญไม่เหนียวเหนอะหนะอีกด้วย เป็นครีมกันแดดที่เหมาะสำหรับผิวผสมไปจนถึงผิวมัน เป็นครีมกันแดดที่ช่วยปกป้องรังสี UVB/UVA สูงด้วยค่า SPF 50+ PPD31

เนื้อครีมบางเบาเหมาะมากสำหรับสาวๆ ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย นอกจากจะเป็นครีมกันแดดแล้วยังช่วยควบคุมความมันอีกด้วย เมื่อทาเสร็จเนื้อครีมจะซึมเข้าสู่ผิวทันทีจึงทำให้สบายผิวไม่เหนียวเหนอะหนะ ด้วยสูตร Non-comedogenic เป็นสูตรพิเศษที่ไม่มีการผสมน้ำหอมและพาราเบน

จึงเป็นครีมกันแดดที่ไม่มีกลิ่นที่สำคัญยังเป็นครีมกันแดดที่ผ่านการทดสอบโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวพรรณ สาวๆ สามารถหาซื้อได้ที่ Watson Boots และร้านขายยาทั่วไป ราคา 1,200 ราคาอาจจสูงนิดนึงแต่ขอบอกเลยว่าคุ้มมาก

2. CUTEPRESS UV WHITE MATTE SPF50+ PA+++

รีวิวกันแดดทาหน้า

รีวิวกันแดดที่มากด้วยคุณสมบัติในหลอดเดียว ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องผิวจากรังสี UVA1 UVA2 และ UVB ช่วยควบคุมความมันได้นานถึง 8 ชั่วโมง เนื้อครีมเหมือนครีมกันแดดผสมรองพื้นที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีได้เต็มประสิทธิภาพด้วยค่า SPF50+Pa+++

เป็นครีมกันแดดที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและสารสกัดจากสาหร่ายสีน้ำตาล ช่วยลดรอยดำ จุดด่างดำต่างๆ ให้จางลง อีกทั้งยังช่วยควบคุมความมันด้วยเทคโนโลยี Oil-Trapping Film ที่ช่วยดูดซับความมันบนใบหน้าได้อย่างล้ำลึก ปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์ จึงเหมาะสำหรับผิวธรรมดาและผิวมัน หาซื้อได้จาก Shop CutePress และร้านค้าชั้นนำ ราคาสบายกระเป๋า 379 บาท

3.  รีวิวกันแดดทาหน้า BOOTS DERMOCARE SUNCARE FACIAL SUN PROTECTIVE LIGHT FLUID SPF50

รีวิวกันแดดทาหน้า

ครีมกันแดดที่นอกจากจะปกป้องผิวจากรังสียูวิแล้วยังควบคุมความมันให้อยู่หมัดอีกด้วย เนื้อครีมมีลักษณะเป็นโลชั่นซึมซับเข้าสู่ผิวเร็ว จะอยู่กลางแดดจ้านานแค่ไหนผิวของสาวๆ ก็จะสดใสตลอดเวลา ดูยังไงก็ไม่หมองคล้ำดำลงอย่างแน่นอน เหมาะสำหรับผิวผสมและผิวมัน

หาซื้อได้ที่เฉพาะในร้าน Boots เท่านั้นราคาก็สบายๆ 500 นิดๆ

4. MINUS FACIAL SUN PRIECTION SPF 50

รีวิวกันแดดทาหน้า

เนื้อครีมแสนบางเบา นุ่มเนียนซึมซับเข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็วที่สำคัญสามารถกันน้ำได้ขั้นเทพเลยทีเดียว นอกจากจะซึมซับและกันน้ำได้แล้วยังเป็นรีวิวกันแดดที่ช่วยปรับระดับสีผิวให้ดูขาวเปล่งประกายขึ้นอีกระดับหนึ่งด้วย เป็นครีมกันแดดที่เหมาะสำหรับทุกวันทั้งแดดจ้า ฝนตก

จะ UVA หรือ UVB ก็ใช้ได้หมดกังวลว่าเนื้อครีมจะหลุดหายระหว่างวันเพราะเป็นรีวิวกันแดดที่ไม่หวั่นต่อทุกสถานการณ์ สาวๆ สามารถหาซื้อได้จาก ห้างสรรพสินค้าทั่วไป Boots, Watson ราคาสุดคุ้มสบายกระเป๋ากันเลยทีเดียว 299 บาท

5. รีวิวกันแดดทาหน้า SHISEIDO ANESSA PERFECT UV SUN SCREEN SPF50 PA++++

รีวิวกันแดดทาหน้า

Shiseido ครีมกันแดดที่ไม่ต้องอธิบายคุณสมบัติอะไรมากมาย เพราะสาวๆส่วนใหญ่รู้จักกันเป็นอย่างดีและส่วนใหญ่ก็ใช้กันแทบทุกคน เพราะเป็นครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติครบจบในหลอดเดียว ทั้งกันน้ำกันเหงื่อใช้ได้กับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมกลางแจ้งหรือในน้ำก็หมดกังวล Shiseido

เนื้อครีมบางเบาซึมสู่ผิวอย่างรวดเร็วจะอยู่กลางแดดจ้านานแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเหนียวเหนอะหนะ จึงเป็นอีกครีมกันแดดที่สาวๆ นิยมใช้มากที่สุด เพราะมันสามารถป้องกันได้ทั้ง ยูวิเอและยูวีบี หาซื้อได้ไม่ยากเลย แค่เดินไปที่เคาน์เตอร์แบรนด์ Shiseido และร้านค้าออนไลน์ ราคาก็ปานกลางสบายกระเป๋า 1,300 บาท

6. ZA TRUE WHITE POVERBLOCK UV SPF40 PA+++

รีวิวกันแดดทาหน้า

ต้องบอกเลยว่ารีวิวกันแดดสูตรนี้มันเลิศมาก เพราะสามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้ทั้งใบหน้าและผิวกายในหลอดเดียว ซึ่งในหลอดเดียวมีคุณสมบัติของสารกันแดดครบเลยก็ว่าได้ ทั้ง Titanium Dioxide และ Zinceoxide สารกันแดดที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสีได้ทุกสัดส่วนของร่างกาย

นอกจากนี้ก็ยังมีสารกันแดดอีกตัวคือ Octyl Methoxycinnamate ช่วยดูดซับรังสีให้มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดได้เป็นอย่างดี และยังมีค่า SPF 40PA+++ ช่วยดูแลผิวไม่ให้เกิดความหมองคล้ำ อีกทั้งยังมีสารบำรุงผิวให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นด้วยสาร Mineral และวิตามินอี

เรียกได้ว่าสาวๆ จะได้รับการปกป้องผิวจากแสงแดดแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนก็ว่าได้ หาซื้อได้จาก Boots, watsons และตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป คุณสมบัติสุดปังแต่ราคาแค่ 380 บาท

7.  รีวิวกันแดดทาหน้า EUCERIN SUN FLUID MATTIFYING SPF50+

รีวิวกันแดดทาหน้า

รีวิวกันแดดครีมกันแดดที่มีเนื้อบางเบา ซึมซับเร็ว ใช้แล้วไม่มัน ไม่เหนียวเหนอะหนะแน่นอน เป็นครีมกันแดดที่เหมาะกับสาวผิวผสมและผิวมัน เป็นสูตรที่มาพร้อมนวัตกรรมใหม่ล่าสุด พร้อมสูตรปกป้องผิวที่บอบบางไวต่อแสง สูตรนี้ได้มีการเพิ่มแอนตี้ออกซิแดนซ์ธรรมชาติเข้าไปด้วย

จึงทำให้เนื้อครีมซึมซาบได้เร็ว ที่สำคัญไปกว่าการปกป้องผิวจากแสงแดดแล้วคือการบำรุงผิวที่ล้ำลึกสามารถซ่อมได้ถึงระดับเซลล์ผิว ช่วยฟื้นฟูปัญหาผิวให้กลับมาสดใสเหมือนเดิม ทั้งผิวคล้ำเสีย ผิวแดงจากการถูกแดดเผา กระจุดด่างดำ รีวิวกันแดดสูตรนี้สามารถดูแลได้หมด

เพราะมีการทำงานของยูวิฟิลเตอร์ 2 ประเภท คือ ฟิสิคอลฟิลเตอร์ และเคมิคอลฟิลเตอร์ ที่จะช่วยปกป้องรังสียูวีให้ท้อนออกไป ไม่ให้รังสียูวีมาทำร้ายผิวได้ง่ายๆและปกป้องไม่ให้ยูวีซึมซาบลงสู่ผิวจนเกิดปัญหาสุขภาพผิวต่างๆ ตามมา

หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป Boots หรือ watsons ราคา 1,170 บาท

8. L’OREAL UV PERFEOL ADVANCED AQUA ESSENCE LONG UVA SPF50+/PA+++

รีวิวกันแดดทาหน้า

โลชั่นกันแดดที่มีคุณสมบัติครบครันอีกยี่ห้อหนึ่งที่มาพร้อมกับสูตร AQUA Essence Long UVA เนื้อครีมมีความบางเบา เพราะมีเนื้อครีมเป็นสูตรน้ำเมื่อทาแทบไม่รู้สึกว่ากำลังทาโลชั่น เพราะซึมเข้าสู่ผิวเร็วมากนอกจากจะปกป้องผิวจากแสงแดดแล้วยังเป็นโลชั่นกันแดดที่ช่วยปรับสีผิวให้ดูขาวใสและเรียบเนียนเป็นธรรมชาติอีกด้วย

ทั้งยังช่วยลดริ้วรอยต่างๆ จุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ ให้กลับมาสวยใสแถมยังปกป้องผิวจากมลพิษช่วยละการสะสมของสิ่งสกปรกบนใบหน้า และยังสามารถปกป้องผิวได้จนถึงระดับ DNA เป็นรีวิวกันแดดที่สามารถฟื้นฟูบำรุงสภาพได้ถึงนานถึง 12 ชั่วโมงเลยทีเดียว คือทาครั้งเดียวปกป้องผิวจากยูวีเอและยูวีบีได้ตลอดทั้งวัน

หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป Boots หรือ watsons ราคาก็แสนจะสบาย 390 บาท

9.  รีวิวกันแดดทาหน้า BIORE UV PERFECT MILK SPF50+ PA+++

รีวิวกันแดดทาหน้า

โลชั่นกันแดดที่สาวๆ ชื่นชอบเหตุผลคือเป็นโลชั่นกันแดดเนื้อนมที่มีเนื้อครีมบางเบาซึมซาบเร็ว และสามารถทาได้ทั้งใบหน้าและผิวกายที่สำคัญยังเป็นสูตรพิเศษสามารถกันน้ำ กันเหงื่อได้ด้วย ไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนโลชั่นทั่วไปแน่นอน มีค่ากันแดดที่สูง คือ SPF50+ PA+++

เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ชอบอยู่กลางแดดนานๆ เช่น เล่นกีฬา หรือต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานานๆ จึงมั่นใจได้เลยว่าหากใช้โลชั่นสูตรนี้ผิวของสาวๆ จะไม่เสียอย่างแน่นอน

สามารถซื้อได้จากห้างสรรพสินค้าทั่วไป Boots, watsons, 7-11 ราคา 265 บาท

10. BANANA BOAT ULTRA PROTECT SUNSCREEM LOTION SPF50 PA+++

รีวิวกันแดดทาหน้า

โลชั่นกันแดดสูตรนี้บอกเลยว่าเหมาะสำหรับผิวที่ต้องใช้งานทุกวัน เนื้อครีมบางเบา นุ่มเนียนเมื่อทาแล้วสบายผิว เพราะเป็นสูตรที่ซึมสู่ผิวเร็วมาก เป็นสูตรที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ วิตามินอีและซี จึงช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้มากถึง 50 เท่าเลยทีเดียว

เป็นโลชั่นที่ปกป้องผิวจากแสงแดดได้เป็นอย่างต่อให้แดดแรงจ้า หรือฝนตกสักแค่ไหนก็ไม่หวั่นเพราะเป็นโลชั่นสูตรกันน้ำที่สาวๆ หลงรักนั่นเอง มีขายที่ ห้างสรรพสินค้าทั่วไป Boots หรือ Watsons ราคา 217 บาท

นี่คือ 10 รีวิวกันแดดทาหน้า ที่สาวๆ ส่วนใหญ่นิยมใช้เพื่อดูแลผิวให้ห่างไกลจากแสงแดด รับรองได้เลยว่าทุกแบรนด์ใช้แล้วเห็นผลอย่างแน่นอน แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ดีควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่ตรงตามความต้องการของผิวจะดีที่สุด หรืออาจจะใช้ตามสถานการณ์ที่เราเป็นอยู่ก็ได้ คือเลือกใช้ตามค่า SPF

หากเราอยู่ในกลางแจ้งแสงแดดร้อนๆ แต่ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF น้อยก็ไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้นหากสาวๆ คนไหนชื่นชอบสูตรไหนหรือคิดว่าเหมาะกับเรามากที่สุดก็หาซื้อมาใช้ได้นะ เรื่องราคาก็แสนจะสบายกระเป๋าที่สำคัญมันคุ้มค่าคุ้มราคาอย่างมาก บางสูตรราคาอาจจะสูงแต่ผลที่ได้อันนี้คุ้มเกินคุ้มจริงๆ นะ เพราะบางสูตรนอกจากจะปกป้องผิวจากแสงแดดแล้วยังช่วยปรับสภาพผิว ช่วยลดกระจุดด่างดำต่างๆ ให้ลดเลือนลงอีกด้วย ดีขนาดต้องหามาติดกระเป๋าได้แล้วนะ


ประโยชน์ของครีมกันแดดแต่ละประเภท และความแตกต่างของครีมกันแดดที่คุณควรรู้

รีวิวกันแดดทาหน้า

นอกจาก รีวิวกันแดดทาหน้า 10 แบรนด์ที่แนะนำกันไปแล้ว ลองมาดู ประโยชน์ของครีมกันแดด แต่ละประเภท และความแตกต่างของครีมกันแดดที่คุณควรรู้ เพราะครีมกันแดดมีอยู่มากมายในท้องตลาด แต่ใครล่ะที่จะรู้บ้างว่า การเลือกใช้ครีมกันแดด มีประโยชน์อย่างไร

โดยครีมกันแดดนั้นสามารถปกป้องการทำลายเซลล์ผิวหนังที่เกิดจากรังสีอัลตร้าไวโอเลตในแสงแดดได้ ซึ่งเจ้ารังสีอัลตร้าไวโอเลตนี้เป็นต้นเหตุของมะเร็งผิวหนังในคน และยังทำให้เกิดการสร้างเม็ดสีใต้ผิวหนังซึ่งทำให้ผิวคล้ำขึ้น แต่คนเอเชียมีโอกาสที่จะเกิดมะเร็วผิวหนังต่ำ เพราะส่วนใหญ่จะมีเซลล์เม็ดสีอยู่แล้ว ดังนั้นการใช้ครีมกันแดดของเรา จึงจะเน้น ประโยชน์ของครีมกันแดด ไปที่การป้องกันจุดด่างดำบนใบหน้า และผิวหนังเสียส่วนมาก

ประโยชน์ครีมของกันแดด แต่ละประเภท แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ  ดังนี้

รีวิวกันแดดทาหน้า

1. CHEMICAL SUNSCREEN

ครีมกันแดดแต่ละประเภทก็ต่างกันไป เรามาเริ่มกันที่ประเภทแรก คือ ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีซะส่วนใหญ่ ซึ่งจะทำหน้าที่ในการปกป้องแสงแดด โดยการทำงานของประเภทนี้คือดูดซับรังสีแสงแดดเข้าไปในผิว แต่จะเก็บได้ไม่นานเพราะหลังจากดูดแสงแดดได้สักพัก สารเคมีที่ทีอยู่ก็จะเสื่อมสภาพ จึงทำให้ต้องทาครีมเพิ่มทุกๆ 2-3 ชั่วโมง และการเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง นั่นแปลว่าจะมีส่วนผสมของสารเคมีในปริมาณมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณผิวหนังได้

2. PHYSICAL SUNSCREEN

ประเภทที่สองคือครีมกันแดดที่มีผสมไปด้วยสารที่สามารถสะท้อนรังสีได้อย่าง UVA และ UVB โดยสารประเภทนี้จะระคายเคืองกับผิวหนังน้อยกว่าสารประเภทแรก แต่ข้อเสียคือ ครีมกันแดดประเภทนี้จะไม่สามารถให้ SPF ที่สูงได้ และอีกอย่างคือเมื่อทาประเภทนี้แล้วบนผิวหนังแล้ว หน้าจะสีขาวแปลกออกไปเพราะสารที่เคลือบบนในครีมจะอยู่บนผิวหนัง ซึ่งไม่เหมาะกับคนหน้ามันหรือคนที่เป็นสิว เพราะมีการดูดซึมของสารสู่ผิวน้อยมาก

3. CHEMICAL-PHYSICAL SUNSCREEN

เป็นประเภทที่นำข้อดีของแต่ละประเภทมาผสมกัน และพยายามนำข้อเสียที่พบออกไป โดยประเภทนี้มี SPF ปานกลาง และซึมเข้าผิวได้ค่อนข้างดี ซึ่งก็มีหลายแบรนด์ที่พยายามทำประเภทนี้ออกมาเพื่อตอบสนองคนหลายๆ กลุ่ม


รีวิวกันแดดทาหน้า พร้อมฟื้นฟูผิวเร่งด่วน 5 วิธีง่ายๆ ปกป้องฟื้นฟูผิวไหม้จากแสงแดด

รีวิวกันแดดทาหน้า พร้อมฟื้นฟูผิวเร่งด่วน 5 วิธีง่ายๆ ปกป้องฟื้นฟูผิวไหม้จากแสงแดด

ฟื้นฟูผิวจากแดดเร่งด่วน 5 วิธีง่ายๆ ปกป้องฟื้นฟูผิวไหม้จากแสงแดด ใครๆ ก็รู้ว่าแสงแดดเป็นศัตรูต่อผิวสักแค่ไหน เพราะแดดคือตัวร้ายที่ทำลายความอ่อนเยาว์ของผิวหนังเป็นอันดับแรกๆ แสงแดดในบ้านเราเพียงแค่เดินในที่แจ้งก็อาจจะทำให้ผิวของคุณสาวๆ ไหม้เกรียมได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ซึ่งผิวไหม้ก็คือผิวเสีย เซลล์ของผิวที่ชุ่มชื้นก็แห้งกร้านและอาจจะเสื่อมกลายเป็นเซลล์ผิวตาย หลุดลอก หมองคล้ำ ดำ แต่ถ้าจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวต้องพบเจอกับแสงแดดเลยก็เห็นจะไม่ได้ ตราบใดที่คุณสาวๆ ไม่ใช่แวมไพร์ที่มีชีวิตอยู่เฉพาะตอนกลางคืน ถ้าเช่นนั้นเราคงต้องมาเรียนรู้และปฏิบัติการทวงผิวสวยๆ คืนจากความไหม้เกรียมและปกป้องผิวจากแสงแดดกันแล้ว

1. ครีมกันแดดปราการปกป้องผิว

ครีมกันแดดปราการปกป้องผิว

เมื่อพูดถึงผิวกับแสงแดดจะไม่เอ่ยถึงผู้ช่วยตัวสำคัญที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างไร ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดคือสุดยอดเคล็ดลับปกป้องผิวของสาวไทยทีเดียว กันแดดที่มีแทบจะทุกวันและทุกฤดูกาล การทาครีมกันแดดจึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เมื่อสาว ๆ ไปเที่ยวชายทะเลเท่านั้น ไม่ว่ามุมใดของประเทศไทย วันหยุดพักผ่อนหรือวันทำงานทุก ๆ วัน ก็ควรจะทา ครีมกันแดด ก่อนออกจากบ้านประมาณ 20 นาทีเป็นอย่างน้อย ครีมกันแดดจะมีประสิทธิภาพได้อย่างดี และมีฤทธิ์ปกป้องผิวของเราได้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง

หลังจากนั้นหากเป็นไปได้ สาวๆ ก็ควรจะหาโอกาสทาครีมกันแดดซ้ำอีกระหว่างวัน เพื่อครีมจะมีประสิทธิภาพปกป้องผิวจากแดดได้ 100% นอกจากนั้นสาวๆ ต้องไม่ลืมดูค่า SPF ของครีมกันแดดที่ใช้ด้วย ในวันที่ต้องออกไปกลางแจ้ง มีกิจกรรมที่จะต้องพบเจอแสงแดดแรงๆ ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 60% จะเหมาะที่สุด

2. เลือกใช้ครีมอโลเวร่า

เลือกใช้ครีมอโลเวร่า

อโลเวร่า คือ สารสกัดที่ได้จากว่านหางจระเข้ ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยสมานผิวได้อย่างดี ในส่วนประกอบของอโลเวร่าจะมีเจลที่ชุ่มชื่น มีฤทธิ์ช่วยในเรื่องผิวที่เกรียมไหม้ และผิวที่แห้งแตกโดยเฉพาะ หลังจากที่สาวๆ ต้องผจญกับแสงแดดมาในระหว่างวัน เมื่อกลับบ้านใช้ครีมที่มีส่วนผสมของอโลเวร่าจะช่วยสมานผิวให้ชุ่มชื่น ฟื้นฟูผิวจากการโดนแดดได้อย่างดี

วิธีการใช้ครีมอโลเวร่าที่ได้ผลก็คือ ให้ทาอโลเวร่าหลังจากอาบน้ำทำความสะอาดผิวแล้ว ถ้าวันไหนที่โดนแดดมากๆ ต้องการช่วยให้ผิวกลับมาชุ่มชื่นอย่างเร่งด่วน อาจจะพอกครีมอโลเวร่าตามตัวและผิวหน้าให้ครีมซึมซาบสู่ผิวให้มากที่สุด ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาทีค่อยล้างออก ผิวจะกลับมาชุ่มชื่นและฟื้นฟูจากความแห้งเกรียมได้อย่างรวดเร็ว 

3. ทาครีมบำรุงประเภทไวท์เทนนิ่ง

ทาครีมบำรุงประเภทไวท์เทนนิ่ง

เมื่อผิวคล้ำมากๆ จากแสงแดด สาวๆ จำเป็นที่จะต้องหาตัวช่วยและตัวช่วยที่จะทำให้ผิวของสาวๆ กลับมาขาวใสเป็นประกายได้อย่างรวดเร็วก็คือ ครีมไวท์เทนนิ่ง ควรใช้ไวน์เทนนิ่งทาผิวเป็นประจำทุกๆ วัน เพราะผลิตภัณฑ์ครีมไวท์เทนนิ่งเป็นครีมที่มีฤทธิ์ชั่วคราว เมื่อทาประจำก็จะทำให้ผิวขาวสวย แต่ถ้าละเลยหยุดทา ผิวก็มีสิทธิ์ที่จะกลับมาหมองคล้ำได้

4. ขัดผิวด้วยผลิตภัณฑ์สครับ

ขัดผิวด้วยผลิตภัณฑ์สครับ

การขัดหรือสครับผิวเป็นสิ่งที่จำเป็นถ้าผิวของสาวๆ ถูกแดดทำร้ายรุนแรง เพราะเซลล์ผิวไหม้และตายยังคงติดอยู่บนผิวชั้นนอก ทำให้เซลล์ผิวใหม่เผยขึ้นมาได้ยาก และเกิดความผิดปกติของผิวหนังได้ การใช้สครับในการขัดผิวจะช่วยให้เซลล์ผิวเก่าหลุดออกรวดเร็วขึ้น แต่ไม่ควรจะทำบ่อยจนเกินไปเพราะผิวจะแห้งเป็นขุยและลอก ควรสครับสัปดาห์ละ 1 ครั้งกำลังดี

5. เข้าสปาบำรุงผิว

เข้าสปาบำรุงผิว

หากมีเวลาว่างการเข้าสปาอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้งจะช่วยทำให้ผิวได้ผ่อนคลาย ได้รับการปรนนิบัติครบทุกขั้นตอน ทั้งการทำความสะอาด ผลัดเซลล์ผิว บำรุงผิว การนวดให้เลือดไหลเวียน ผิวมีเลือดฝาด และขั้นตอนบำรุงผิวอีกมากมาย

ถ้ารักผิวและอยากอ่อนเยาว์ ขาวใสไปนานๆ อย่าลืมปกป้องผิวของสาวๆ จากแสงแดดและความไหม้แห้งเกรียม ก่อนที่จะสายไป


อ้างอิง:

Sunscreen and Your Morning Routine : https://www.hopkinsmedicine.org/health/wellness-and-prevention/sunscreen-and-your-morning-routine

BENEFITS OF SUNSCREEN : https://www.katesomerville.com/us/en/blog/5-benefits-of-sunscreen.html

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี ? 10 อันดับครีมกันแดดยอดนิยมสำหรับคนไทย 2565

ผลิตภัณฑ์กันแดดช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีที่เป็นอันตรายของดวงอาทิตย์ สิ่งสำคัญคือต้องเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวและการใช้งานของคุณ ครีมกันแดดทำงานโดยการดูดซับรังสียูวีแล้วแตกตัวเป็นโมเลกุลที่ไม่สามารถทะลุผ่านผิวหนังได้และจะช่วยกระจายรังสียูวีไม่ให้ผิวคล้ำเสีย และคำถามที่ทุกคนสงสัย ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี ? วันนี้เราจึงคัด 10 อันดับครีมกันแดดยอดนิยมมาบอกกัน


ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี ? 10 อันดับครีมกันแดดยอดนิยมสำหรับคนไทย 2565

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี 10 อันดับยอดนิยมสำหรับคนไทย 2565 เรามาเริ่มกันด้วยแสงแดดเมืองไทยที่แทบจะกลืนกินผิวเราให้มอดไหม้ได้ในพริบตา ทำให้หลายๆ แบรนด์ได้ตอบสนองความต้องการของสาวๆ ที่ต้องไปเจอกับแดดเมืองไทยทุกเวลา และครีมกันแดดก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยทำให้สาวๆ ขาวขึ้นได้แน่นอน แต่ครีมกันแดดแต่ละตัวก็ให้ผลลัพธ์ และการตอบสนองกับผิวต่างกันอีก

วันนี้เราก็จะมานำเสนอ ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี และเป็นครีมกันแดดยอดนิยมที่ใครได้ทาแล้วก็ปังทุกคนแน่นอน หรือใครที่อยากรู้ว่าตัวไหนใช้แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ก็สามารถหาอ่านรีวิวกันแดดทาหน้าเพิ่มเติมได้เลย

10. DERMA ACTION PLUS SUN FACE FLUID SPF50

ครีมกันแดด DERMA ACTION PLUS SUN FACE FLUID SPF50

โดยครีมตัวนี้เป็นครีมกันแดดที่ใช้ทาใบหน้า ซึ่งมีค่า SPF 50 และครีมกันแดดมีส่วนผสมที่เป็นโลชั่นน้ำนม แถมเนื้อครีมยังมีส่วนผสมที่เบาบางมากถึงมากที่สุด ทำให้ครีมกันแดดตัวนี้สามารถซึมซับไปในผิวได้เร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะใบหน้า และที่สำคัญคือเหมาะกับสาวๆ ในแดนสยามที่สุด

9. SUNPLAY SUPER BLOCK SPF50+ 

ครีมกันแดด SUNPLAY SUPER BLOCK SPF50+ 

ครีมกันแดดทาหน้าอีกตัว นั่นก็คือ Sunplay Super Block มีค่า SPF มากกว่า 50 ซึ่งเป็นโลชั่นกันแดดสูตรน้ำ โดยครีมตัวนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปกป้องผิวจากแสงแดดของสาวๆ ได้ด้วยสูตร Solarex-3 ที่เป็นนวัตกรรมมาใหม่จากแดนอาทิตย์อุทัย ซึ่งก็สามารถปกป้องผิวหนังจากแสงแดดได้เป็นอย่างดี แถมยังลดเลือนริ้วรอย พร้อมทั้งยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังบริเวณใบหน้าได้ดีอีกด้วย

8. EUCERIN SUN DRY TOUCH ACNE OIL CONTROL

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี EUCERIN SUN DRY TOUCH ACNE OIL CONTROL

ครีมกันแดดตัวนี้เป็นครีมกันแดดเนื้อเจลที่สามารถซึมเข้าผิวหนังได้ง่าย ไม่หนักใบหน้า และยังไม่ทำให้เกิดการอุดตัน ไม่เกิดสิวซึ่งเหมาะมากๆ สำหรับสาวผิวมันหรือสาวที่เป็นสิว และตัวนี้ยังมีสารช่วยควบคุมความมันที่ชื่อว่าคาร์นิทีน ซึ่งก็ทำให้ครีมตัวนี้เป็นครีมกันแดดที่ไม่ทำให้หน้ามันง่าย หรือพูดง่ายๆ ว่าช่วยลดความมันนั่นแหละ

7. MizuMi UV Water Serum SPF 50+

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี MizuMi UV Water Serum SPF 50+

ครีมกันแดดทาหน้าจากแบรนด์ MizuMi ตัวดัง สูตรเซรั่มที่เนื้อสีขาวบางเบา เกลี่ยง่าย ไม่ทำให้ผิวหน้าอุดตัน ทาได้บ่อย ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี มีสารสกัดจากดอกยูคิโนะชิตะ วิตามิน C-IP วิตามินอี ครีมกันแดดปราศจากสารก่อภูมิแพ้ ธรรมชาติ ปราศจากน้ำมัน ไม่ใส่สารพาราเบน เรียกได้ว่าเป็นครีมกันแดดทาหน้าที่เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว ตลอดจนผิวแพ้ง่ายเลยทีเดียว

6. NIVEA SUN SPRAY PROTECT & REFRESH SPF 50 

ครีมกันแดด NIVEA SUN SPRAY PROTECT & REFRESH SPF 50 

มากับครีมกันแดดที่เป็นในรูปของสเปรย์กันบ้าง โดยจุดเด่นของสเปรย์กันแดดตัวนี้คือ สามารถฉีดสเปรย์แล้วเดินไปออกแดดได้ง่ายๆ เลย ไม่ต้องรอให้ครีมซึมเข้าผิวหนังเหมือนแบบอื่น ซึ่งสเปรย์กันแดดตัวนี้สามารถใช้ได้ทั้งใบหน้าและผิวกาย ซึ่งสเปรย์ตัวนี้ก็กันน้ำได้ ทำให้ไม่ทิ้งคราบรอยบนเสื้อผ้าเลย ใช้สะดวก และด้วยความที่เนื้อสเปรย์เป็นน้ำ ซึ่งทำให้ซึมสู่ผิวหนังได้ไว ทำให้เวลาใช้แล้วจะสบายตัวมาก

5. PROVAMED SUN FACE SPF 50 

ครีมกันแดด PROVAMED SUN FACE SPF 50 

ครีมกันแดดทาหน้าตัวนี้จะเหมาะมากๆ กับคนที่แพ้ผิวง่าย และคนที่ผิวบอบบางแพ้สารเคมี เพราะจากที่ผู้ผลิตได้กล่าวมาว่า ครีมตัวนี้เป็นครีมกันแดดชนิดที่ปราศจากสารเคมีเจือปน มีเนื้อครีมที่ละเอียด นุ่ม บางเบา และสามารถซึมเข้าสู่ผิวหน้าได้เร็ว แถมเนื้อครีมเป็นสีเนื้อ ซึ่งจะทำให้ครีมสามารถกลมกลืนกับสีผิวของหลายๆ คนได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็สามารถทาเพื่อกลบริ้วรอยได้อีกด้วย 

4. Biore UV Aqua Rich Whitening Essence SPF 50+

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดีBIORE UV AQUA RICH WHITENING ESSENCE SPF 50+

ครีมกันแดดสูตร Micro Defense นวัตกรรมขั้นสุดจากญี่ปุ่น ปกป้องผิวแม้ร่องผิวลึกถึงชั้นคอลลาเจน  ไม่ให้ผิวแก่ก่อนวัย กันน้ำกันเหงื่อ และเป็นกันแดดหน้าที่ทาแล้วบางเบา เป็นสูตรน้ำเนื้อเอสเซนส์ ซึ่งจะไม่ทำให้หน้าแก่ก่อนวัยจากแสงแดดตัวร้าย และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหน้า แต่ยังสามารถกันแดดได้ และยังเป็นประโยชน์ต่อผิวหน้า ซึ่งมีค่า SPF สูง

3. SPECTRABAN SUN BLOCK CREAM SPF 60

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี SPECTRABAN SUN BLOCK CREAM SPF 60

มากับครีมกันแดดที่เหมาะกับคนเป็นสิวมากๆ ซึ่งในครีมกันแดดตัวนี้ มีส่วนผสมของสารที่ช่วยในการป้องกันรังสียูวีได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับคนหน้ามัน อาจไม่ชอบใจเพราะตัวนี้เป็นเนื้อครีม ซึ่งกว่าจะซึมเข้าสู่ผิวหน้าช้ากว่าแบบอื่นไปหน่อย แต่ตัวนี้ใช้แล้วไม่อุดตันแน่นอน

2. ZA TRUE WHITE POWER BLOCK UV SPF50 PA++

ครีมกันแดด ZA TRUE WHITE POWER BLOCK UV SPF50 PA++

เป็นครีมกันแดดที่เต็มไปด้วยความสามารถในการกันแดดที่ยอดเยี่ยม แถมยังมีความสามารถในการที่จะคุมความมันบนใบหน้าได้ดี โดยเนื้อครีมกันแดดตัวนี้จะมีความละเอียด นุ่ม เกลี่ยบนใบหน้าได้ง่าย เมื่อทาแล้วจะเรียบเนียนไปกับผิวหน้าได้ดี แต่ถ้าใครใช้ตัวนี้ก็ควรที่จะล้างหน้าให้สะอาดทั้งก่อนใช้และหลังใช้ครีม เพราะอาจจะเกิดสิวอุดตันได้

1. BANANA BOAT ULTRA PROTECT SUN SPF50 

ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี BANANA BOAT ULTRA PROTECT SUN SPF50 

เป็นโลชั่นครีมกันแดดขั้นเทพที่สามารถกันแดดแรงๆ ได้ดีมาก (โดยเฉพาะเมืองไทย) โดยโลชั่นกันแดดตัวนี้สามารถกันเหงื่อที่มาจากการเล่นกีฬา หรือออกแดดแรงๆ ได้เป็นอย่างดี เนื้อโลชั่นมีความบางเบา ซึมซับเข้าสู่ผิวหนังเร็ว ไม่เหนียว และที่สำคัญโลชั่นตัวนี้จะไม่ไปอุดตันที่รูขุมขน แถมยังมีส่วนผสมของว่านหางจระเข้และวิตามินอี ซึ่งจะช่วยให้ผิวหน้าและผิวกายเรียบเนียนขึ้น

เป็นอย่างไรบ้างกับ ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี และเป็นครีมกันแดดยอดนิยม 10 ยี่ห้อ ที่จะทำให้คุณท้าแดดได้อย่างมั่นใจ แดดแรงแค่ไหนก็ไม่หวั่น ใครชอบแบรนด์ไหนก็ไปหาซื้อแล้วลองใช้กันดูได้ เพราะแสงแดดนี่เป็นตัวทำร้ายผิวของเราอย่างมากทีเดียว ทั้งทำให้ผิวคล้ำและทำให้ผิวเหี่ยวย่น รวมถึงโรคผิวหนัง ดังนั้น ก่อนออกจากบ้านหรืออยู่ในบ้านก็ควรทากันแดดกันอย่างสม่ำเสมอ


3 ประเภทค ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี ที่คุณควรรู้ก่อนเลือกซื้อ

3 ประเภทค ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี ที่คุณควรรู้ก่อนเลือกซื้อ

นอกจากการเลือกซื้อ ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี อีกหนึ่งข้อควรรู้ก็คือ ประเภทของครีมกันแดด เพราะครีมกันแดดแต่ละประเภทก็จะให้ประสิทธิภาพที่ต่างกัน โดยประเภทของครีมกันแดด แบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้

1. ครีมกันแดดดูดซับรังสี

โดยครีมกันแดดประเภทนี้ จะประกอบด้วยสารเคมีเป็นส่วนมาก และจะมีคุณสมบัติในการดูดซับรังสีได้เป็นอย่างดี ทำให้รังสีบางส่วนที่มาจากแดดไม่สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง แต่ก็จะปล่อยรังสีอื่นออกมาแทน ซึ่งก็ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง โดยครีมกันแดดประเภทนี้มีข้อดีอยู่มาก

  • ไม่มีสีให้เห็น หรือไม่ก็เป็นสีอ่อนที่เข้ากันผิวหน้าได้ดี
  • มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี
  • มีราคาที่ถูกกว่าแบบอื่น

ส่วนข้อเสียก็มีเช่นกัน

  • บางคนอาจเกิดอาการแพ้สารเคมีได้ ไม่เหมาะกับคนผิวบาง
  • ต้องทาครีมทุกๆ 1-2 ชั่วโมง ถ้าต้องออกแดดเป็นเวลานาน เพราะสารที่ผสมจะดูดซับรังสีไว้ในปริมาณที่จำกัด ถ้าดูดซับจนเกินกำลังแล้วก็จะปล่อยให้เข้าไปที่ผิวโดยตรงเลย

2. ครีมกันแดดสะท้อนรังสี

โดยครีมกันแดดประเภทนี้ จะมีส่วนผสมหลักของสารประกอบที่เป็นออกซิเจน โดยส่วนมากจะเป็นสีขาวและจะมีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันรังสี UV ได้ดีมากๆ การทำหน้าที่ของครีมประเภทนี้ คือ จะสะท้อนและกระจายรังสี UVA กับ UVB ออกไปจากผิวหนังเกือบทั้งหมด และภายหลังจากการทา เนื้อครีมบางส่วนจะถูกดูดซึมเข้าไปในผิวหนังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้ครีมกันแดดประเภทนี้จึงไม่ค่อยทำให้เกิดอาการแพ้

ข้อดีของครีมกันแดดประเภทนี้ คือ

  • สลายตัวยาก ทำให้ไม่ต้องทาบ่อยๆ
  • ไม่ระคายเคืองต่อผิว เหมาะสำหรับคนผิวบาง

3. ครีมกันแดดแบบผสม

ครีมกันแดดแบบผสมจะมีส่วนผสมของสารที่เต็มไปด้วยการดูดซับ และการสะท้อนรังสีเข้าได้ในตัว อีกทั้งยังช่วยลดผลกระทบจากสารเคมีที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ โดยเนื้อครีมจะมีส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นสีขาว ทำให้น่าใช้งานมากขึ้น ดังนั้น ครีมประเภทนี้จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่เก็บเอาข้อดี และตัดข้อด้อยของครีมกันแดดเข้าด้วยกัน และปัจจุบันครีมกันแดดส่วนใหญ่จะเป็นครีมกันแดดแบบผสม รวมถึงในปัจจุบันนี้ยังมีการนำมาผสมเป็นกันแดดรองพื้นเพื่อสามารถช่วยในการปกปิดได้อีกด้วย


ประเภทครีมกันแดด จำแนกตามผิว

ประเภทครีมกันแดด จำแนกตามผิว

  1. Sun Tan คือ ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่หลังจากการทาแล้ว เนื้อครีมจะซึมเข้าไปสู่เซลล์ผิว และจะเปลี่ยนสีผิวให้เข้มขึ้น แต่ประเภทนี้จะไม่เกิดอันตรายต่อเซลล์ผิว 
  2. Sunscreen คือ ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่ทำหน้าที่ในการกรองแสง กรองรังสี ช่วยกระจายและสะท้อนรังสีให้เข้าสู่เซลล์ผิวหนังแบบน้อยที่สุด แถมยังช่วยในการปรับสมดุลสีของผิวอาจจะที่หมองคล้ำลง หลังจากการตากแดดได้อีกด้วย

ประเภทครีมกันแดด จำแนกตามตำแหน่งการทา

ประเภทครีมกันแดด จำแนกตามตำแหน่งการทา

1. ครีมกันแดดทาหน้า

ครีมกันแดดที่ทาใบหน้า ส่วนมากจะมีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์หรือไททาเนียมไดออกไซด์เกือบทั้งหมด เพราะมีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UV ให้ออกไปได้ เหมาะสำหรับการทาผิวในบริเวณที่มีชั้นหนังบาง เช่น ใบหน้า ลำคอ

2. ครีมกันแดดทาลำตัว

ครีมกันแดดที่ทาลำตัว ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมที่เป็นสารเคมีหลายชนิด และจะเกิดการผสมกันระหว่างสารเคมีจึงทำให้เกิดการดูดซับ และสะท้อนรังสี UV โดยประสิทธิภาพการทำงานจะระบุเป็นค่า SPF เสมอ


วิธีเลือกซื้อครีมกันแดด เพื่อการดูแลผิวที่ชัดเจนและตรงจุด

วิธีเลือกซื้อครีมกันแดด เพื่อการดูแลผิวที่ชัดเจนและตรงจุด

ในแสงแดดมีรังสีปะปนอยู่หลากหลายชนิด แต่เราที่รู้จักกันดี และได้ยินกันบ่อยก็คือ อัลตราไวโอเลต (UV)  ซึ่งรังสีตัวนี้จะถูกดูดซับตั้งแต่ชั้นโอโซน ทำให้มีแค่ UVA และ UVB ที่เล็กรอดลงมาที่พื้นโลก 

โดยรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีผลต่อผิวหนังอย่างมาก โดยเฉพาะ UVA ที่มีสามารถทำให้เกิด ริ้วรอย กระ ฝ้า ความแก่ก่อนวัยบนใบหน้าได้ ส่วน UVB จะทำให้เกิดอาการแสบ แดง ไหม้ ของผิวหนังได้ แถมรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้ยังทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ที่จะไปทำลายเซลล์โปรตีนพันธุกรรม ซึ่งจะไปทำให้เกิดเนื้องอกที่ผิวหนังได้

และวิธีที่ดีที่สุดในการพิจารณาว่าครีมกันแดดตัวใดดีที่สุดสำหรับคุณคือการทดสอบก่อนตัดสินใจซื้อ ทาครีมกันแดดที่แขนและขาของคุณ และตรวจดูปฏิกิริยาการถูกแดดเผาในเวลาเพียง 10 นาที หากคุณไม่พบการถูกแดดเผา ครีมกันแดดก็อาจจะใช้ได้


ซื้อ ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี และใช้ครีมกันแดดต้องดูที่อะไรบ้าง?

ซื้อ ครีมกันแดดยี่ห้อไหนดี และใช้ครีมกันแดดต้องดูที่อะไรบ้าง?

  1. ดูที่ SPF ที่จะเป็นตัวบอกกับเราว่า สามารถป้องกัน UVB ได้กี่เท่า ส่วนเจ้า UVA ยังไม่มีค่าที่วัดได้ตามมาตรฐาน โดยปัจจุบันจะนิยมใช้อักษร PA กับเครื่องหมาย + แต่โดยปกติคนไทยจะมีผิวคล้ำ ซึ่งจะมีเม็ดสีที่สามารถป้องกัน UVB ได้ส่วนหนึ่ง ดังนั้นเลือกแบบ SPF ที่มีค่ามากกว่า 15 และเลือก PA++ ขึ้นไปก็พอสำหรับแดดเมืองไทยแล้ว
  2. ดูกิจกรรมที่เราทำทุกวัน ถ้าปกติออกกำลังกลางแจ้งหรือเป็นนักกีฬา มีเหงื่อออกตลอด หรือว่ายน้ำ แม้กระทั่งทำงานในที่กลางแดด ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF ที่สูง และควรเลือกประเภทที่กันน้ำได้จะดีกว่า
  3. ดูที่ปริมาณ ควรเลือกใช้ปริมานที่เหมาะกับเรา ไม่ควรเลือกแบบที่น้อยเกินไป เพราะอาจทำให้ใช้น้อยเกิน และทำให้สารเคมีทำปฏิกิริยากันน้อย ซึ่งจะทำให้ลดคุณภาพผลลัพธ์ลงไป
  4. ดูที่จำนวนครั้งที่ทาต่อวันของเรา ถ้าทำงานอยู่ในออฟฟิศ ในห้องแอร์ ทาวันละครั้งก็เพียงพอ เพราะอาจจะออกแดดบ้าง แต่ถ้าทำงานกลางแดดกลางแจ้ง โดนลมโกรก ควรจะต้องทาเติมบ่อยหน่อย
  5. เมื่อทาแล้วก็ควรอยู่เลี่ยงแดดด้วย อาจจะใส่อุปกรณ์ป้องกันอะไรต่างๆ เนื่องจากครีมกันแดดไม่ได้กันแดดได้ทั้งหมด การป้องกันเสริมก็เป็นเรื่องที่ดี 
  6. ดูครีมที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่ต้องคำนึงถึงยี่ห้อ
  7. ทานอาหารที่สามารถช่วยในการสร้างเซลล์ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระได้ จำพวกวิตามิน เกลือแร่ ซึ่งมีอยู่ในผัก และผลไม้

วิธีเลือกใช้ครีมกันแดดสำหรับผู้ที่ออกแดดประจำ

วิธีเลือกใช้ครีมกันแดดสำหรับผู้ที่ออกแดดประจำ

ในคนเอเชียจะไม่นิยมผิวคล้ำ และไม่นิยมการอาบแดด ดังนั้น การป้องกันอันตรายจากแสงแดดที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงที่ที่มีแสงแดดจัด โดยเฉพาะในช่วงเวลา 13.00-15.00 น.โดยการสวมเสื้อผ้าปกคลุม ใส่แว่นกันแดด สวมหมวกปีกกว้าง หรือกางร่มเสมอ แต่ถ้าใครที่ต้องทำงานกลางแดด หรือเล่นกีฬากลางแจ้ง ควรเลือกวิธีใช้ครีมกันแดดดังนี้ 

  1. เลือกแบบที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป
  2. เลือกแบบที่มีสารเคมีที่สามารถกัน UVA ได้ดี
  3. เลือกสารที่สามารถกันน้ำได้

ก่อนออกแดดควรทากันแดดให้หนาเพียงพอ แต่ก็ไม่ต้องหนาเกินไปเพราะอาจจะทำให้อุดตัน ทาก่อนออกแดดสัก 15 นาที และอาจทาซ้ำทุก 1-2 ชม. ถ้าต้องออกแดดตลอด ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการกันแดดได้มากถึง 2-3 เท่า แต่คนเราส่วนใหญ่จะทาครีมกันแดดในปริมาณน้อยกว่าที่ควรจะเป็นจึงอาจจะทำให้การทากันแดดไม่ได้ประสิทธิภาพ


อ้างอิง

How to Select, Apply, and Use It Correctly. https://www.webmd.com/children/sunscreen-use-correctly

Sunscreen 101: คู่มือเลือกซื้อและวิธีใช้ครีมกันแดด ฉบับคุณหมอขอแนะนำ. https://thestandard.co/sunscreen101/

เลือกใช้ครีมให้เหมาะกับผิวหน้ายังไงดี ให้หน้ากระจ่างใส

เมื่ออายุมากขึ้น ผิวจะยืดหยุ่นน้อยลงและกักเก็บน้ำมันและน้ำได้น้อยลง ซึ่งจะทำให้ผิวแห้งตึงและยืดหยุ่นน้อยลง เพื่อต่อสู้กับสิ่งนี้ หลายคนหันไป เลือกใช้ครีม ทาหน้าเพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและปกป้องผิว ครีมบำรุงผิวหน้ามีหลายประเภทและแต่ละประเภทก็มีข้อดีและข้อเสียต่างกันไป


หน้ามัน แห้ง ผิวผสม หรือแพ้ง่าย เลือกใช้ครีม บำรุงผิวหน้ายังไงดี

หลายคนที่กำลังมองหาครีมบำรุงผิวหน้านั้น อาจจะเกิดข้อสงสัยว่าในเมื่อผิวของเราแต่ละคนนั้นมีสภาพที่แตกต่างกัน อย่างนั้นแล้วแต่ละสภาพผิวนั้นควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวหน้าแบบใดจึงจะได้ประโยชน์ และทำให้สุภาพผิวได้อัปเกรดมากที่สุด วันนี้เราจะไปดูว่าสภาพผิวแบบต่างๆ ควร เลือกใช้ครีม บำรุงผิวหน้าแบบไหนถึงจะดีต่อผิว

หน้ามัน แห้ง ผิวผสม หรือแพ้ง่าย เลือกใช้ครีม บำรุงผิวหน้ายังไงดี

ผิวธรรมดา

คนที่มีผิวธรรมดานั้นถือว่าโชคดีมาก เพราะว่าผิวธรรมดาเป็นผิวที่ดูแลได้ง่ายมาก ไม่ต้องคอยหงุดหงิดกับความมันที่เกิดขึ้นได้ง่าย และก็ไม่ต้องคอยดูแลเรื่องผิวแห้งกร้าน เพราะว่ามีรูขุมขนที่ละเอียดมาก ขอเพียงเลือกครีมบำรุงผิวหน้าที่มีผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ในการทาผิวพรรณตอนเช้าและก่อนนอนก็เพียงพอแล้ว หรือหากว่าต้องออกกิจกรรมระหว่างวันที่ต้องพบเจอกับแสงแดด อาจจะทาครีมป้องกันรังสียูวีหรือครีมกันแดดรองพื้น เพื่อช่วยเรื่องการปกป้องผิวด้วยก็ได้ ถือว่าผิวธรรมดาดูแลกันได้ง่ายจริงๆ

ผิวมัน

ผิวมัน ถือว่าเป็นสภาพผิวที่สามารถเกิดสิวได้ง่ายมากๆ และปัญหาเรื่องสิวเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยและร่องรอยของจุดด่างดำที่น่าหงุดหงิด ทำให้สีผิวไม่เรียบเนียน ครีมสำหรับคนหน้ามันที่ควรเลือกใช้ ควรไม่มีสารประกอบของน้ำมัน และใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนประกอบของน้ำ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น และต้องเป็นชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดสิว ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอมหรือพวกสารกันเสียต่างๆ ที่จะทำให้ผิวอุดตัน แต่ว่าคนที่ผิวมันนั้นก็มีข้อดีเช่นกันเพราะว่าจะชะลอการแก่โดยอัตโนมัตินั่นเอง จะมีริ้วรอยน้อยมาก เพราะว่าผิวไม่แห้ง

ผิวแห้ง

คนที่มีผิวแห้งนั้นมักจะสภาพผิวที่ไม่เรียบเนียน เพราะผิวแห้งจะสูญเสียน้ำอยู่ตลอดเวลา ผิวจะเป็นขุยได้ง่าย ขาดความยืดหยุ่น ดังนั้นไม่ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นหรือล้างหน้าบ่อยเกินไป ควรใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่ผสมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ หรืออาจจะใช้ไนท์ครีมบำรุงผิวที่ผสมน้ำมันก็ได้เพื่อช่วยในการกักเก็บน้ำ แต่สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงอย่างมากคือ ครีมบำรุงผิวหน้าที่ผสมแอลกอฮอล์ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวหน้าแห้งและเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น

ผิวผสม

ผิวชนิดนี้จะเกิดสิว เกิดรอยได้ง่าย และดูแลได้ยากมาก ในส่วนของคนไทยจะมีผิวสภาพนี้ค่อนข้างเยอะ สิ่งที่ต้องระวังสำหรับการทาครีมบำรุงผิวหน้าคือ การทาครีมบำรุงผิวหน้าบริเวณทีโซน เพราะว่าบริเวณนี้จะเกิดสิวได้ง่ายมาก บริเวณโหนกแก้มต้องระวังเรื่องผิวแห้งอีกด้วย ส่วนครีมบำรุงผิวหน้าที่ควรเลือกนั้นมีการผลิตครีมบำรุงผิวหน้าสำหรับคนที่มีผิวผสมค่อนข้างเยอะ ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดหลากหลายยี่ห้อ

ผิวบอบบางแพ้ง่าย

อีกหนึ่งผิวที่ดูแลได้ยาก เพราะว่าใช้ครีมบำรุงผิวหน้าก็มักจะแพ้อยู่ตลอด อาจจะคัน มีสิวขึ้น มีรอยแดง หรืออาจทำให้ผิวหน้าบอบช้ำได้เลย ครีมบำรุงผิวหน้าที่เลือกใช้จึงควรเลือกครีมบำรุงผิวหน้าที่ใช้กับผิวของเด็ก และสำหรับผิวที่แพ้ง่ายเท่านั้น

ทั้งหมดนี้คือการ เลือกใช้ครีม ตามสภาพผิวต่างๆ ของคนเราที่พบได้ส่วนใหญ่ ไม่ว่าคุณจะมีผิวแบบไหนก็คงไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้วในการใช้ครีมบำรุงผิวหน้าให้ถูกต้องกับสภาพผิว นอกจากนี้ยังมีครีมหน้าใสที่น่าสนใจมากฝากทุกคนอีกด้วย จะมีแบรนด์ใดบ้างตามไปดูกัน


เลือกใช้ครีม ช่วยหน้าใสยี่ห้อไหนดี 15 ไอเทม จัดด่วน ได้ผลจริง

สำหรับสาวๆ ที่อยากจะซื้อครีมหน้าใส หน้าขาวมาทาเพื่อช่วยเสริมความสาวความสวยให้อยู่ยงคงกระพัน แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปหาซื้อยี่ห้ออะไร ที่ไหนดี เพราะมีหลายยี่ห้อที่ทำออกมาและก็มีหลายคำแนะนำที่เคยได้ยินมา ดังนั้นวันนี้เราก็เลยจะมาช่วยจัดอันดับ 15 ครีมหน้าใสที่ได้ผลจริงๆ กับสาวๆ ทั่วประเทศมาแล้ว ไปดูกันเลยว่ามีครีมหน้าใสยี่ห้อไหนติดอันดับบ้าง

เลือกใช้ครีม Olay Natural White

อันดับ 15 

Olay Natural White นี่คือแบรนด์ที่หลายคนรู้จักอย่างแน่นอน และโอเลย์ก็ครีมทาผิวที่หาได้ง่ายและราคาก็ไม่แพง สามารถซื้อขนาดเล็กและแบบซองมาลองใช้ได้ด้วย ซึ่งก็ดูเป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าทำไมต้องมาอยู่ในอันดับที่ 15 ล่ะ ก็เพราะว่าโอเลย์ชนิดนี้ช่วยให้หน้าขาวแค่อย่างเดียว แต่ไม่ช่วยในการรักษาสิวฝ้าและรอยจุดด่างดำใดๆ ทั้งสิ้น แต่ข้อควรระวังก็คือสาวผิวมันไม่ควรใช้ครีมนี้เลย

เลือกใช้ครีม Garnier

อันดับ 14 

Garnier หรือที่เรียกว่า การ์นิเย่ นั่นแหละ ซึ่งนี่ก็เป็นครีมหน้าขาวที่หลายคนชอบมากๆ ประโยชน์ของครีม คือเห็นผลเร็วเมื่อเทียบกับครีมหน้าใสชนิดอื่นๆ และยังช่วยขจัดจุดด่างดำได้เป็นอย่างดี แต่ครีมการ์นิเย่ก็มีความเข้มข้นของ AHA เยอะมาก ซึ่งอาจทำให้หลายคนรู้สึกแสบผิวได้ และไม่เหมาะกับสาวผิวบางเป็นอย่างมาก

ครีม Hadalabo เซรั่ม อาร์บูติน

อันดับ 13

Hadalabo เซรั่ม อาร์บูติน ซึ่งเป็นเซรั่มที่สาวๆ ชอบมาก เพราะครีมมีความบางและสามารถทาสนิทไปกับผิวหน้าได้เลย แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความยาวนานในการใช้ เพราะครีมฮาดะลาโบะมีขนาดความเข้มข้นของสารอาร์บูตินอยู่น้อยมาก ทำให้ต้องใช้หลายขวดหลายรอบมากๆ และข้อดีก็คือทำให้ไม่แพ้ แต่ผลเสียก็คือเห็นผลช้านั่นแหละ

ครีม Vit C บูทติ้ง เซรั่ม

อันดับ 12

Vit C บูทติ้ง เซรั่ม เป็นเซรั่มบำรุงผิวที่บำรุงด้วยวิตามินซี ซึ่งก็เป็นผลิตภัณฑ์ของ Oriental Princess ซึ่งครีมมีความเบาบางและมีกลิ่นหอมของส้มด้วย และเมื่อใช้ไปนานๆ จะช่วยให้ผิวเรียบเนียนแบบเห็นได้ชัด และยังช่วยให้ลดเลือนจุดด่างดำ สิวฝ้าได้ดีมากๆ แต่ก็ไม่เหมาะกับผิวที่แห้ง เป็นขุยง่าย เพราะเป็นครีมที่ไม่ให้ความชุ่มชื่นกับผิว และยังมีราคาที่แพง แถมยังมีส่วนผสมของน้ำหอมอยู่มากทีเดียว ซึ่งใครที่ไม่ชอบน้ำหอมก็เลี่ยงได้เลย

เลือกใช้ครีม สมูทโตะ โทเมโท คอลลาเจน ไวท์ เซรั่ม

อันดับ 11 

สมูทโตะ โทเมโท คอลลาเจน ไวท์ เซรั่ม เป็นเซรั่มที่หลายคนได้ยินมาว่าใช้ซองนี้หนึ่งซองจะได้เท่ากับกินมะเขือเทศ 10 ลูก ซึ่งก็เป็นครีมที่สาวๆ หลายคนชอบใช้ และมีขนาดเล็กเหมาะกับคนที่ชอบพกพาครีมไปที่ต่างๆ แถมยังมีราคาที่ไม่แพงและหาซื้อได้ง่ายมากๆ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยระยะเวลาที่นานมากๆ ในการที่จะเห็นผล เพราะจะเน้นไปที่เรื่องกระชับรูขุมขนและการบำรุงมากกว่า และยังเป็นครีมที่ไม่มีกลิ่นหอมเลย ทำให้บางคนอาจจะไม่ชอบ แถมยังไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบมะเขือเทศ

ครีม Scentio White Collagen

อันดับ 10

Scentio White Collagen ผลิตภัณฑ์ของดีจาก บิวตี้ บุฟเฟ่ต์ ซึ่งเหมาะกับสาวๆ ผิวแห้ง และสาวๆ ผิวที่เป็นขุยอย่างมาก เพราะเป็นครีมที่ให้ความชุ่มชื่นของผิวเป็นอย่างมาก ซึ่งการใช้ก็ควรจะแตะไปหน้าเบาๆ แต่ก็ไม่เหมาะกับสาวๆ ที่อยากขาวไวๆ เพราะตัวนี้ก็เน้นไปที่การบำรุงและการชุ่มชื่นกับผิวเช่นกัน และครีมนี้ก็ยังมีกลิ่นน้ำหอมเล็กๆ ด้วย อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมนะ

เลือกใช้ครีม POND'S White Beauty Cream

อันดับ 9

POND’S White Beauty Cream ครีมดูแลผิวหน้าให้ดูขาวเรียบเนียนกระจ่างใสอมชมพู ตรงเข้าสยบ 10 ปัญหาผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำที่จัดการยาก สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าชั้นนำทั่วไป แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกันออกไป เพราะบางคนก็บอกว่าใช้ได้ดีมาก ช่วยให้หน้าขาวใสได้ดี แต่บางคนก็มีการแพ้และแสบหน้า ดังนั้นก่อนใช้ก็ควรจะเช็กให้ดีก่อน

ครีม Za True White

อันดับ 8 

Za True White เป็นครีมที่เป็นที่ชื่นชอบมากๆ ในกลุ่มสาวๆ วัยรุ่น เพราะมีส่วนผสมที่ช่วยในการยับยั้งสารที่ทำให้ผิวเราหมองคล้ำ และนอกจากนี้ยังทำให้ผิวเรากระจ่างใส ซึ่งก็เป็นครีมที่มีราคาแพงพอสมควร เพราะขายเป็นชุด แต่ก็อยากให้ลองใช้ผสมกับครีมประจำที่ใช้อยู่ รับรองว่าปังแน่นอน

เลือกใช้ครีม Fracora Placenta Extract

อันดับ 7

Fracora Placenta Extract เป็นครีมหน้าขาวที่ใช้รองพื้นก่อนที่จะใช้ครีมตัวประจำ เพราะจะทำให้หน้าขาวได้ไวขึ้น และครีมนี้เป็นครีมที่สกัดจากรกหมู ทำให้สาวๆ มุสลิมใช้ไม่ได้ และไม่เหมาะกับคนที่ชอบกลิ่นแรงๆ ของซอสญี่ปุ่น เพราะเจ้าตัวนี้กลิ่นแรงมาก

ครีม La Roche-Posay Effaclar Duo Plus

อันดับ 6 

La Roche-Posay Effaclar Duo Plus เนื้อครีมเจลที่ทาแล้วไม่เหนอะหนะผิว ทาไปแล้วให้ความชุ่มชื้นผิว  เหมาะกับคนที่เป็นสิวง่าย ผิวอักเสบ แพ้ง่ายบ่อยๆ ไม่มีกลิ่นที่แรง ลดการอักเสบของผิวและฟื้นบำรุงผิวให้แข็งแรงสดใสขึ้น นอกจากจะช่วยบำรุงให้ผิวขาวกระจ่างใสแล้ว ตัวนี้ยังมีส่วนผสมของ LHA มาช่วยต้านแบคทีเรีย P.Acne ที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว หาซื้อได้ง่ายแต่ราคาค่อนข้างแพง

SkinFood Yaja Water C

อันดับ 5 

SkinFood Yaja Water C เป็นครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินซีเยอะมาก ซึ่งเป็นการสกัดจากส้มยูซุ แต่ก็เป็นครีมที่มีราคาแพงพอตัว ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผิวกระจ่างใสแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ได้ด้วย ซึ่งจะช่วยให้หน้าดูเต่งตึงและกระชับได้ดีมากๆ แต่ไม่เหมาะกับสาวๆ ที่ผิวแพ้ง่าย เพราะมีส่วนผสมของน้ำหอมอยู่ ดังนั้นควรทดสอบการใช้ก่อน

ครีม Guerisson 9 Complex Cream

อันดับ 4 

Guerisson 9 Complex Cream ชื่ออาจไม่คุ้น แต่หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า ครีมน้ำมันม้า แน่นอน เพราะเป็นครีมที่มาจากประเทศเกาหลี สรรพคุณคือช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส แต่ก็ต้องใช้งานไปนานพอสมควรกว่าจะเห็นผล เพราะเน้นไปที่การบำรุง และเน้นไปที่ความชุ่มชื่นมากกว่า

ครีม Loreal White Perfect Laser

อันดับ 3

Loreal White Perfect Laser ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า เป็นครีมที่ราคาแพงแต่ก็มีส่วนผสมของเซรั่มสูงมาก ซึ่งจะเห็นผลได้แค่ในช่วงเดือนแรกเท่านั้น แต่ก็ทำให้สิว ฝ้าทั้งหลายหายไปได้แน่นอน ซึ่งใครที่ชอบความขาวใสแบบทันตาก็ต้องรอนานนิดนึง

ครีม Neutrogena Hydro Boost Gel Cream

อันดับ 2

Neutrogena Hydro Boost Gel Cream เป็นครีมที่ใช้กันทั่วโลก เพราะสามารถช่วยในเรื่องความกระจ่างใส พร้อมกับความชุ่มชื่นในตัว และเหมาะมากๆ กับสาวๆ ที่ชอบความกระชับของผิว แต่ก็ทำให้ผิวแห้งได้ง่ายมาก ซึ่งก็ไม่เหมาะกับสาวผิวแห้งเลย

เลือกใช้ครีม SK-II GENOPTICS AURA ESSENCE

อันดับ 1

SK-II GENOPTICS AURA ESSENCE ผิวกระจ่างใสดูมีออร่า ด้วยส่วนประกอบจากพิเทร่าเข้มข้น และ GenOptics Aura Complex ที่จะช่วยลดเลือนการก่อตัวของจุดด่างดำทั้งที่มองเห็นและที่ซ่อนอยู่ภายใน ช่วยแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ปรับสีผิวขาวกระจ่างใสขึ้นและเปล่งประกาย ช่วยลดความหมองและจุดด่างดำ จะใช้เป็นเดย์ครีมก็ได้หรือไนต์ครีมก็ดี ไม่ทิ้งความเหนอะหรือความมันไว้บนผิวด้วย

ครีมบำรุงผิวหน้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือครีมที่ทำมาเพื่อลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างอายุ ซึ่งครีมเหล่านี้สามารถช่วยปรับปรุงลักษณะที่ปรากฏของผิวโดยการลดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น และโดยการป้องกันผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม รวมถึงครีมบำรุงผิวหน้าที่ช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นทาแล้วช่วยบำรุงผิวให้ดีขึ้นได้จริง 

นี่ก็เป็นเพียง 15 อันดับที่เราคัดมาให้ได้เลือกกัน ใครที่ผิวแบบไหนก็ลองดูส่วนประกอบในการพิจารณาเลือกซื้อมาใช้กันได้ และมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้มาตรฐานอย่างแน่นอน


10 สมุนไพรที่ดีต่อใจและดีต่อผิว หามาให้แล้วที่จะทำหน้าใสจริง

เลือกใช้ครีม

การใช้พวกสมุนไพรทาหน้าก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากหลายคนเชื่อว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีประสิทธิภาพมากกว่ามอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวหน้าทั่วไป หรือมีเหตุผลอีกหลายประการที่ผู้คนอาจเลือกใช้ครีมทาหน้าสมุนไพร รวมทั้งความเชื่อที่ว่ามีประสิทธิภาพในการปรับปรุงสุขภาพผิวมากขึ้น ลดเลือนริ้วรอย และป้องกันมะเร็งผิวหนัง เนื่องจากมาธรรมชาติ

เราจึงได้เลือก 10 สมุนไพรที่ดีต่อใจและดีต่อผิวที่จะทำหน้าใสจริง จะมีอะไรบ้างตามมาดูกันได้เลย

1. เลือกใช้ครีม สมุนไพรตะไคร้

ตะไคร้คือสมุนไพรยอดฮิตที่ใครๆ ก็นำมาผสมกับผลิตภัณฑ์ตัวเอง ซึ่งตะไคร้ก็เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ที่ช่วยต่อต้านการเกิดของเชื้อราบนผิวหนังของเราได้เป็นอย่างดี และตะไคร้ยังอุดมไปด้วยสารที่สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระ นั่นแปลว่าตะไคร้มีสามารถในการที่จะบำรุงผิวของเราได้ดี และยังช่วยให้ผิวหนังของเราเปล่งปลั่ง ดูกระจ่างใส พร้อมทั้งทำให้ผิวหนังเราดูอ่อนเยาว์ นุ่มเนียนอยู่เสมอ แถมยังช่วยลดสิว และรอยต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

2. ครีมสมุนไพรมะขามเปียก

มะขามเปียกคือสมุนไพรอย่างหนึ่ง ที่สามารถช่วยในการกำจัดสิ่งสกปรกในผิวหนังออกไปได้ เพราะมะขามเปียกมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ซึ่งจะช่วยในการกำจัดคราบสกปรกจากผิวหนังได้เป็นอย่างดี โดยบางตำราอาจจะใช้มะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่น แล้วนำมาพอกที่ผิวหนัง โดยมะขามเปียกจะเน้นขัดไปที่บริเวณรอยด้านที่ผิวหนัง จำพวกฝ่ามือ ข้อศอก ตาตุ่ม หรือบริเวณรักแร้ และขาหนีบ ซึ่งจะสามารถช่วยทำให้ผิวหนังเราที่มีรอยดำจางลงไปได้ ซึ่งก็จะทำให้ผิวขาวนุ่มนวล น่าสัมผัสขึ้น

3. เลือกใช้ครีม สมุนไพรขมิ้นชัน

ในขมิ้นจะประกอบไปด้วยสารเคอร์คูมิน น้ำมันหอมระเหยของขมิ้น โดยขมิ้นจะมีฤทธิ์ที่สามารถช่วยในการยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้หลากหลายชนิด โดยเราสามารถใช้ทาบนผิวหนังที่มีอาการเป็นผดผื่นคัน ซึ่งก็จะช่วยซ่าเชื้อได้ และการใช้ผงขมิ้นใช้ทาตัวจะทำให้ขาวขึ้น โดยสามารถใช้บำรุงผิวหรือใช้ฆ่าเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังได้ดีอีกด้วย

4. ครีมสมุนไพรว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติที่ช่วยบำรุงผิว ซึ่งก็จะทำให้ผิวพรรณของเราดูเนียนนุ่มชุ่มชื้น และว่านหางจระเข้ยังสามารถแก้ปัญหาผิวแห้งกร้านบริเวณข้อศอก หัวเข่า หรือแถวๆ ส้นเท้าได้ โดยแค่ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ นำไปแช่ในน้ำเปล่าที่สะอาด โดยในขณะอาบอยู่ให้ใช้เนื้อวุ้นว่าน ถูตัวตามส่วนต่างๆ แต่ต้องระวังให้ล้างยางสีเหลืองในว่านออกให้หมดก่อน เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผิวกับคนผิวบาง

5. เลือกใช้ครีม สมุนไพรแตงกวา

แตงกวาเป็นสมุนไพรที่มีวิตามินสูง และในแตงกวาก็ยังมีตัวเอนไซม์อีเลพซิน ซึ่งมีความสามารถในการที่จะช่วยย่อยโปรตีนในร่างกายได้เป็นอย่างดี และเอนไซม์ชนิดนี้จะสามารถไปลอกผิวหนังที่หยาบกร้านให้หลุดออกไปจากผิวหนังได้ ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ผิวของเราดูอ่อนนุ่ม น่าสัมผัสมากขึ้น โดยแตงกวาเป็นทั้งผลไม้และสมุนไพรที่มีประโยชน์ มีราคาถูก สามารถหาซื้อได้ตามตลาด หรือจะปลูกเองก็ได้ ถ้าใช้เป็นประจำรับรองว่าผิวสวย ดูสดชื่น และมีน้ำมีนวลนุ่มเนียนน่าสัมผัสแน่นอน 

6. ครีมสมุนไพรน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งอาจจะไม่ใช่สมุนไพรเสียทีเดียว แต่น้ำผึ้งก็มีคุณสมบัติที่เหมาะกับการรักษาผิวได้เป็นอย่างดี ซึ่งน้ำผึ้งจะประกอบไปด้วยน้ำตาลฟรุกโตส น้ำตาลกลูโคส ขี้ผึ้ง และส่วนประกอบอื่นๆ ประกอบอยู่ปะปนกันไป โดยจะน้ำผึ้งใช้เป็นส่วนประกอบของครีมเครื่องสำอางส่วนมาก และส่วนใหญ่จะเป็นครีมสมุนไพรที่ใช้ในการพอกหน้า ซึ่งก็สามารถทำให้ผิวหน้าดูชุ่มชื่น มีความเปล่งประกาย และยังทำให้ผิวดูมีน้ำมีนวลขึ้นอีกด้วย

7. เลือกใช้ครีม สมุนไพรมะพร้าว

ผลไม้มะพร้าวสามารถช่วยทำให้ผิวดูสดใส เปล่งปลั่ง มีประกาย ซึ่งก็จะไปทำให้ผิวเราดูขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เนื่องจากในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่ซึ่งทำให้ผิวดูขาวขึ้นได้

8. ครีมสมุนไพรน้ำมันมะกอก

มะกอกเป็นสมุนไพรที่ไม่ค่อยรู้จักกัน และสำหรับในน้ำมันมะกอกนั้นจะมีวิตามินอีปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งก็มีประโยชน์ต่อผิวเป็นอย่างมาก และยังช่วยบํารุงคอลลาเจนใต้ผิวหนังของเรา ซึ่งคอลลาเจนก็จะทำให้ผิวหนังของเรามีความเนียนนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติ น่าสัมผัสยิ่งขึ้น

9. เลือกใช้ครีม สมุนไพรแครอท

แครอทเป็นสมุนไพรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่เยอะพอสมควร โดยจะสามารถทำให้ผิวพรรณของเราดูเปล่งปลั่ง กระจ่างใส และยังช่วยในการชะลอความชราไม่ให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเร็วได้อีกด้วย ซึ่งในทางกลับกันก็จะทำให้เราดูอ่อนเยาว์ขึ้นเป็นกอง

10. ครีมสมุนไพรมะละกอ

มะละกอเป็นสมุนไพรที่ประกอบไปด้วยเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมะละกอยังช่วยลดความอ้วนได้ดีอีกด้วย แถมเมื่อสุกแล้วก็จะอร่อย หวานหอม ที่สำคัญคือรักษาสิวได้ นี่แหละที่ต้องการกับการนำมาทำครีมสมุนไพรที่ดีสุดๆ

แม้ว่าการใช้ครีมทาหน้าสมุนไพรจะมีประโยชน์มากมาย แต่สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวหน้าแบบเดิมๆ และสิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ซึ่งอาจรวมถึงการระคายเคืองผิวหนังและอาการแพ้ด้วย หากคุณกำลังจะใช้สมุนไพรเพื่อบำรุงผิวก็อย่าลืมเรื่องนี้ด้วย แม้จะเป็นของธรรมชาติแต่บางคนก็อาจจะแพ้ได้ ดังนั้น หากจะใช้อะไรก็เลือกใช้ให้เหมาะกับผิวของตัวเองจะดีที่สุด


อ้างอิง:

10 Tips On How To Choose The Right Moisturizer : https://www.alchimie-forever.com/blogs/the-alchemist-blog/10-tips-on-how-to-choose-the-right-moisturizer-for-your-skin

How to Choose the Skincare Products Best Suited for Your Skin : https://www.realsimple.com/beauty-fashion/skincare/how-to-choose-skin-care-products

ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีวิธีไหนช่วยลดเลือนได้บ้าง

ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีวิธีไหนช่วยลดเลือนได้บ้าง

ริ้วรอยรอบดวงตา นอกจากเป็นสัญลักษณ์แห่งก้าวผ่านช่วงวัยแล้ว มีหลาย ๆ คนเกิดความไม่มั่นใจเพราะว่าริ้วรอยที่ตานั้นสามารถมองได้ง่ายและชัดเจน อีกทั้งมีความบอบบางสูงดูแลรักษาค่อนข้างละเอียดอ่อน วันนี้เราจะพาทุกท่านมาหาคำตอบ ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีวิธีไหนช่วยลดเลือนได้บ้าง ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง


ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดจากอะไร

ริ้วรอยรอบดวงตา

แล้วทำไมริ้วรอยจึงเกิดขึ้นรอบดวงตา คำตอบก็คือ ผิวของเราเกิดความไม่ยืดหยุ่นดังเดิม เป็นเพราะว่าผิวสูญเสียอิลาสตินและคอลลาเจนในผิวถูกทำลายในระหว่างช่วงวัยหรือพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น

  • สภาพอากาศ ไม่ว่าจะแดดจ้าร้อนจัดและต้องอยู่ตากแดดนาน ๆ โดยไม่ได้ป้องกันผิวทำให้เกิดความเหี่ยวย่นได้ ฉะนั้นการออกแดดทุกครั้งควรทาครีมกันแดดบริเวณเปลือกตาและสวมแว่นกันแดดเป็นประจำ หรือสภาพอากาศที่หนาวเหน็ยทำให้ผิวขาดคววามชุ่มชื้น อันเป็นบ่อเกิดเหตุแห่งริ้วรอยได้
  • พฤติกรรมประจำวัน เช่นการขยี้ตา นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน
  • การแสดงออกทางสีหน้า เช่น การยิ้ม หัวเราะ ทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าขยับและยืดหหดบ่อยครั้ง
  • ผิวขาดความชุ่มชื้น ถึงแม้ว่าบริเวณรอบดวงตาจะบอบบางแต่ใช่ว่าจะละเลยการทาครีมบำรุงไปเลย หากเมื่อใดที่ผิวบริเวณรอบดวงตาแห้ง ไม่ชุ่มชื้น ชั้นไขมันที่กักสะสมก็จะน้อยลงไปด้วย
  • อายุที่มากขึ้น นอกจากผิวที่สูญเสียคอลาเจนและอิลาสติน กระดูกใต้ตาของบางคนก็จะยุบตัวลง ทำให้เนื้อบริเวณดวงตาน้อยลง ทำให้ดูมีรอยเหี่ยวย่น
  • การล้างหน้าที่ไม่อ่อนโยน กรณีเกิดขึ้ึนได้ทุกเพศ เพราะถ้าหากการล้างหน้าโดยถูหน้า ดวงตาที่รุนแรงทุกวันทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นได้
  • การสูบบุหรี่ นิโคตินเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวเหี่ยวย่น และการสูบบุหรี่ทำให้เส้นเลือดหดตัวและออกซิเจนไม่สามารถส่งผ่านได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผิวขาดอากาศหายใจ และไม่แม้แต่แค่บริเวณรอบดวงตาและเป็นทั้งใบหน้าเลยทีเดียว
  • พันธุกรรมและภูมิแพ้จากสุขภาพส่วนตัว ในบางคนอาจมีพันธุกรรมใต้ตามีริ้วและสีคล้ำมาตั้งแต่กำเนิด หรือสุขภาพส่วนตัวเช่นเปนภูมิแพ้ ทำให้รอบดวงตาบอบช้ำง่าย 

ประเภทของริ้วรอย

ริ้วรอยรอบดวงตา

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ถึจะเกิดริ้วรอยขึ้น แต่ว่าก็ยังแยกประเภทอีกว่าสามารถรักษาฟื้นฟูให้กลับมาเต่งตึงได้ดังเดิมหรือไม่ ซึ่งประเภทของริ้วรอยแบ่งด้ 2 อย่าง ดังนี้

  1. Dynamic Line

เป็นริ้วรอยที่เกิดจากกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังมีการหดตัวซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง การยืดหดตัวเช่นนี้มาจากการแสดงสีหน้า(Expression Wrinkle) ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวบริเวณใบหน้านั่นเอง ซึ่งการเกิดริ้วรอยประเภทนี้มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้นและบางรายแทบจะกลับมาสู่สภพเดิมได้ แม้ใช้การบำรุงรอบดวงตาด้วยวิธีธรรมชาติ ก็คือทำให้บริเวณรอบดวงตาชุ่มชื้นตลอดเวลา ทำให้คอลลาเจนบนผิวคงสมดุลและเต่งตึง

  1. Static Line

เป็นริ้วรอยคงที่ที่เกิดจากผิวหหนังเกิดความเสียหายทำให้ริ้วรอยอยู่คงที่ สาเหตุนั้นมาจากการสูญเสียคอลลาเจน ผิวที่แห้งกร้านขาดการดูแล การแสดงสีหน้าบ่อยครั้งสะสม ซึ่งรอยชนิดนี้แม้ไม่ได้ขยับก็สามารถเห็นริ้วรอยร่องลึกได้อย่างชัดเจน และยังคงอยู่บนใบหน้าตลอด การักษามีสองหนทางคือการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้น หรือฉีดไขมันเข้าไปเติมร่องลึกให้อิ่มฟูขึ้นมา


วิธีลดเลือน ริ้วรอยรอบดวงตา

ริ้วรอยรอบดวงตา

1.มาส์กธรรมชาติ

การเลือกใช้มาส์กที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ หรือมาส์กที่เราสามารถผสมได้เองนั้นก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อช่วยในการลดเลือนริ้วรอย ส่วนผสมจากธรรมชาติอย่างแรกที่มีคุณสมบัติที่ดีต่อการบำรุงผิวนั้นก็คือ น้ำผึ้ง ซึ่งมีการใช้กันมาอย่างยาวนานเป็นพัน ๆ ปี เพราะน้ำผึ้งมีฤทธิ์ในการปลอบประโลมผิว และช่วยในการสมานผิวที่อ่อนแอให้กลับมาแข็งแรงยิ่งขึ้น อีกหนึ่งส่วนผสมธรรมชาติก็คือโยเกิร์ต ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นขึ้นได้ภายในไม่กี่นาที แบะความชุ่มชื้นนี่เองที่จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยรอบดวงตาขึ้นได้ 

2. ครีมบำรุง

การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่สามารถช่วยในการบำรุงให้ริ้วรอยรอบดวงตาดูจางลง หรือปกกันไม่ให้มีริ้วรอยใหม่เกิดขึ้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะสามารถช่วยในเรื่องของริ้วริยได้ในระยะยาว โดยอายครีมที่เลือกใช้นั้นควรมีส่วนผสมที่สามารถช่วยปัญหาริ้วรอยได้โดยเฉพาะ และที่สำคัญคือจะต้องมีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้น้พียงพอ เพราะเมื่อผิวของเรามีความชุ่มชื้นเพียงพอนั้นก็จะเปิดความหยืดหยุ่นผิวหนังไม่แห้งตึงจนเกิดเป็นปัญหาริ้วรอย สำหรับส่วนผสมสำคัญที่เราควรมองหาในครีมบำรุงรอบดวงต่นั้นก็เช่น

  • Retinol ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้เกิดริ้วรอยได้ยากยิ่งขึ้น
  • Q10 ช่วยในการปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายจากแสงแดด และชะรอการเกิดริ้วรอย
  • Vitamin C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีที่จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอย
  • Hyaluronic acid เพิ่มความชุ่มชื่นให้กักผิว ช่วยให้ผิวกักเก็บความชื้นได้ดียิ่งขึ้น
  • Vitamin E ช่วยในการปลอบประโลมผิว และบำรุงอย่างล้ำลึก
  • Ceramides ช่วยให้ผิวแข็งแรง เสริมสร้างเกราะให้กับผิว

อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการเลือกครีมทารอบดวงตานั้นก็คือการเลือกใช้ครีมที่มีความอ่อนโยนเพราะผิวรอบดวงตานั้นมีความบอบบาง และอาจไวต่อสารต่าง ๆ ในครีมได้

3. เทคนิคแพทย์

  • โบท็อกซ์ เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดริ้วรอบรอบดวงตาที่เป็นที่นิยมมาก ๆ สำหรับการฉีดโบท็อกซ์นั้น จะเริ่มเห็นผลของความเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 5-7 วัน และจะเห็นผลได้อย่างชัดเจนที่สุดเมื่อครบ 2 สัปดาห์ และจะคงอยู่เช่นนั้นเป็นเวลา 3 – 6 เดือน โดยขึ้นอยู่กัยคุณภาพของโบท็อกซ์ และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต 
  • เลเซอร์ลดริ้วรอยใต้ตา 
  • รักษาด้วยคลื่นวิทยุ (Radio Frequency – RF) เป็นวิธีที่เหมาะมาก ๆ กับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากการที่ผิวขาดคอลลาเจน คลื่นวิทยุนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว และทำให้ผิวกลับมาดูเต่งตึงอีกครั้ง
  • ฉีดไขมัน เป็นวิธีที่ค่อนข้างยุ่งยากเมื่อเทียงกับการใช้ฟิลเลอร์ หรือโบท็อกซ์ เพราะจะต้องมีการเก็บไขมันจากตัวผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยจากต้นขา หรือหน้าท้อง ซึ่งก็อาจจะก่อให้เกิดแผลเป็นได้ นอกจากนี้ยังต้องทำหลายครั้งถึงจะเห็นผลเพราะไขมันนั้นร่างกายสามารถที่จะดูดซึมกลับไปใช้ได้ การลดริ้วรอยรอบดวงตาด้วยการฉีดไขมันนี้เหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยงในการแพ้สารต่าง ๆ อย่างรุนแรง เพราะเป็นการใช้ไขมันจากร่างกายตนเอง ไม่ใช่การฉีดสารอย่างอื่นเข้าไปนั่นเอง 
  • ฉีดฟิลเลอร์ การฉีดฟิลเลอร์นั้นเป็นการเข้านำเอาฟิลเลอร์เจ้าไปเติมเต็มชั้นผิวที่ยุบตัวลง ใครที่มีปัญหาริ้วริยรอบดวงตาที่มาจากเบ้าตาลึก รอยพับตา หรือมีรอยย่นใต้ตามาก การฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่แพทย์ทางด้านผิวหนังส่วนใหญ่แนะนำ

การป้องกันไม่ให้เกิด ริ้วรอยรอบดวงตา

ริ้วรอยรอบดวงตา

  1. ปกป้องผิวหน้าจากแสงแดด

แสงแดดเป็นตัวอันตรายและเป็นปัจจัยสำคัญที่เกิดริ้วรอยก่อนวัย เนื่องจากรังสี UVA และ UVB ทำลายชั้นอนุมูลอิสระบนผิวหนัง และบางครั้งดวงตาก็เป็นจุดที่หลายคนอาจเผลอละเลยทาครีมกันแดดบริเวณรอบเปลือกตา หรือการม้สวมแว่นกันแดดตอนออกแดดจ้าทำให้ริ้วรอยรอบดวงตายิ่งเกิดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

  1. ใช้อายครีมเป็นประจำ

เนื่องด้วยดวงตาของเราก็เป็นส่วนหนึ่งของผิวหนัง การรักษาความชุ่มชื้นและคงให้ผิวอิ่มน้ำ เติมเต็มคอลลาเจนก็เป็นอีกหนึ่งหนทางในการบำรุงให้การเกิดริ้วรอยใต้ดวงตาน้อยลง เพื่อทางที่ดีควรใช่ควบคู่กับครีมกันแดดสูตรที่ไม่แสบตา อนึ่งครีมที่ทารอบดวงตาก็ไม่จำเป็นต้องแพงมากนัก สามารถใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์แทนกันได้เลยหรือวาสลีนทาแทนก็ย่อมได้ อีกทั้งกักเก็บความชุ่มชื้นในนานกว่าด้วย เน้นทาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำสม่ำเสมอ

  1. ดื่มน้ำ พักผ่อนให้เพียงพอ

การดื่มน้ำ (ตามดัชนีมวลของร่างกายแต่ละคน) และการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพออย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมงขึ้นไปส่งผลต่อผิวและความชุ่มชื้นอย่างเห็นได้ชัด หากคุณมีปัญหาในการดื่มน้ำ อย่างน้อยตอนตื่นนอนพยายามดื่มให้ได้สักครึ่งแก้ว และจิบน้ำเปล่าระหว่างวันบ่อย ๆ ก็จะช่วยคุณได้มาก ส่วนในเรื่องของการนอนพักผ่อน ไม่มีสูตรใดดีที่ดีสุดเท่ากับการนอนหลับให้เต็มอิ่มเพราะระบบในร่างกายจะฟื้นฟูได้ดีที่สุดเมื่อยามเรานอนหลับนั่นเอง

  1. ไม่เครียด และ ออกกำลังกายเป็นประจำ

การเครียดทำให้เรามักต้องมีการแสดงอารมณ์และสีหน้าด้วยความตึงเครียด และมีฮอร์โมตัวหนึ่งที่ทำให้หน้าหมองคล้ำและเกิดริ้วรอยบนดวงตาได้ ควรหาทำกิจกรรมอื่นเพื่อให้จิตใจได้ผ่อนคลาย อย่างเช่นดูหนัง ฟังเพลง ออกกำลังกาย ใช่แล้วเมือเราออกกำลังอย่างสม่ำเสมอทำให้เลือดสูบฉีดดี ร่างกายได้สะบัดความเครียดออกไป สร้างฮอร์โมนความสุขออกมาเป็นผลดีทั้งจิตใจและสุขภาพผิวพรรณ

  1. การรับประทานวิตามินเสริม คอลลาเจน

การรับประทานอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ และความงามก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เรามารถทำได้เพื่อให้เกิดการบำรุงอย่างล้ำลึกจากภายในสู่ภายนอก เช่นการเลือกรับประทานวิตามินซีซึ่งมีคุณประโยชน์หลากหลาย วิตามินซีนอกจากจะช่วยให้ผิวกระจ่างใสแล้วนั้น ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยเข้าไปเสริมสร้างผิวให้แข็งแรงทำให้ริ้วรอยต่าง ๆ นั้นเกิดใหม่ได้ยากขึ้น อีกหนึ่งอาหารเสริมสามารถช่วยเรื่องของริ้วรอยได้ก็คือ คอลลาเจนบำรุงผิว โดยเฉพาะคอลลาเจนไทป์ที่ 1 มีหลากหลายรูปแบบให้สามารถเลือกรับประทานได้ตามความชอบ และความสะดวก ไม่ว่าจะทั้งแบบผงชง แบบเจลลี่พร้อมทาน คอลลาเจนที่มาในรูปแบบเครื่องดื่ม เรียกได้ว่าใครสะดวกกับแบบไหน ชอบรสชาติแบบไหนมากกว่าก็เลือกตามที่ชอบได้ คอลลาเจนนั้นมีความสารถในการเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอในร่างกาย เรียกได้ว่าเป็นสารที่เพิ่มความยืดหยุ่นซึ่งส่งผลให้ผิวของเรานั้นไม่แห้งตึงจนก่อให้เกิดริ้วรอย ดีตั้งแต่ภายในสู่ภายนอกนั่นเอง


อ้างอิงจาก

https://www.ncbi.nlm.nih.gov

https://www.mountsinai.org/health-library/symptoms/wrinkles

https://www.phyathai.com/

https://www.rama.mahidol.ac.th/

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง ให้หน้าเนียนใส เคล็ดลับความงามแม้งบน้อยก็สวยได้

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง ให้หน้าเนียนใส เคล็ดลับความงามแม้งบน้อยก็สวยได้

สุขภาพของผิวหน้าเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งของคุณผู้หญิง กับ คุณผู้ชาย ที่ต้องการจะดูแลผิวหน้าของตัวเองให้สดใส ไร้สิว ไร้ริ้วรอยอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีวิธีต่าง ๆ รักษามากมาย ทั้งการทำศัลยกรรม ฉีดฟิลเลอร์ รวมทั้งวิธีอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ทว่าการดูแลรักษาเบื้องต้น ก็ต้องให้ใบหน้าของคุณสุขภาพดี ไม่เป็นสิว ไม่เป็นฝ้า หรือ เป็นกระ โดยเริ่มจากที่คุณสามารถดูแลใบหน้าตัวเองได้ให้เนียนใสได้เช่นกัน แน่นอนว่าวันนี้พวกเราจะมาแนะนำ วิธี รักษาฝ้าด้วยตัวเอง ให้หน้าเนียนใส งบน้อยก็สวยได้ ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่การทำความรู้จักเรื่อง ฝ้า,กระ ทั้งสาเหตุในการเป็น รวมทั้งวิธีดูแลตัวเองไม่ให้เกิดฝ้าด้วย แม้แต่ว่างบน้อย ก็สามารถดูแลรักษาใบหน้าของตัวเองได้ ส่วนจะมีวิธีไหน หรือ ข้อมูลแบบใดที่คุณควรรู้บ้าง วันนี้พวกเราได้รวบรวมมาให้อ่านกันแล้วในบทความนี้


ฝ้า กระ เกิดจากอะไร 

สุขภาพผิวหน้า ถือว่าเป็นความสำคัญสำหรับคนรักความสวยงาม เพราะเป็นเหมือนสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง ดังนั้นแล้ววันนี้พวกเราจะขอแนะนำเรื่องกวนใจสำหรับคนอยากมีผิวหน้าใส นั่นก็คือ ฝ้า และ กระ ซึ่งสาเหตุจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมีดังต่อไปนี้


สาเหตุในการเกิด “กระ”

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

“กระ” จะมีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ มีสีน้ำตาลอ่อน จะกระจายตัวอยู่ตามผิวหนังของร่างกาย มีสาเหตุที่สำคัญกับการเกิดจากที่เซลล์เม็ดสี หรือ เมลานิน ทำงานผิดปกติ จึงส่งผลให้เกิดการสร้างเม็ดสีมากขึ้น จนเกิดเป็นริ้วรอย รวมทั้งจุดด่างดำเล็ก ๆ โดยสาเหตุที่ทำให้ เมลานิน ผิดปกติ เกิดได้จาก 3 สาเหตุหลัก ๆ  ซึ่งมีดังต่อไปนี้

  • พันธุกรรม  : เริ่มต้นด้วยสาเหตุแรกที่ใครหลาย ๆ คนที่ได้รับการถ่ายทอดมาจาก DNA จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะพบกับแสงแดดน้อยก็ตาม โดยจะมีลักษณะเป็นสีแทน หรือ น้ำตาลออกแดง รูปร่างจะเป็นกลมจุดเล็ก สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่บางคนอาจจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิด แต่รักษาได้
  • สภาพแวดล้อม และ แสงแดด  คือ ต้นเหตุทำร้ายผิวกาย รวมทั้งผิวหน้าด้วยเช่นกัน ซึ่งการเกิดกระในลักษณะนี้ จะเกิดขึ้นบนผิวชั้นบน หรือ หนังกำพร้า จะเรียกว่า กระธรรมดา หรือ กระแดด โดยสามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ถ้าหากว่าเจ้าของใบหน้าไม่มีการดูแลตัวเอง อีกทั้งยังต้องเผชิญกับรังสียูวี จากแสงแดดอยู่บ่อยครั้ง ที่สำคัญ แสงจากหน้าจอสมาร์ทโฟน ก็ส่งผลเช่นเดียวกันนั่นเอง
  • ปัจจัยทางด้านอายุ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดฝ้าได้เช่นกัน เมื่อายุของคุณมากขึ้น ตัว “กระ” ที่เกิดขึ้น ก็จะมีสีเข้มมากขึ้น หรือ จะเรียกได้ว่าเป็น “กระเนื้อ” หรือ “Seborrheic Keratosis” โดยเกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังที่ผิดรูปแบบไป ซึ่งมักจะพบตามใบหน้า หน้าอก ไหล่ และ ส่วนของหลัง 

และนี่คือ 3 สาเหตุใหญ่ของการเป็น “กระ” โดยมีทั้งสาเหตุที่เลี่ยงได้ รวมทั้งสาเหตุที่เลี่ยงไม่ได้อย่าง “อายุ กับ พันธุกรรม” อย่างไรก็ตาม คุณเองถ้าไม่อยากเป็นกระ ควรหลีกเลี่ยงแสงยูวี เพราะเป็นผลเสียที่ทำให้ผิวหน้า หรือ ผิวกาย สุขภาพแย่ตามไปด้วยนั่นเอง 


สาเหตุของการเกิด “ฝ้า” 

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

“ฝ้า” จะมีลักษณะ รอยคล้ำสีดำ หรือ น้ำตาลอ่อน โดยมักจะเกิดขึ้นบริเวณโหนกแก้ม คาง หน้าผาก โดยส่วนมากแล้วจะพบในผู้หญิง อายุประมาณ 25-55 ปี แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมาก โดยเฉพาะในคนเอเชีย ซึ่งเกิดได้ทั้งผู้ชาย กับ ผู้หญิงก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ท้าทายวงการแพทย์ การรักษาโรคผิวหนังทั่วโลก เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้หายขาดได้ยากมาก 

ซึ่งทำให้การรักษา “ฝ้า” ในปัจจุบันนี้ เกิดขึ้นได้หลากหลาย จนทำให้คนไข้นั้น เกิดความสับสนทั้งครีมลอกฝ้า การกรอผิว การใช้กรดผลไม้ผลัดผิว รวมทั้งการทำเลเซอร์ก็มีอยู่ด้วยกันหลายวิธีเลยทีเดียว แต่ทว่า คนไข้บางรายก็รักษามาหลายวิธีมาก แต่ทว่า ฝ้าก็ยังไม่หายไป หรือ ดีขึ้นแต่อย่างใด โดยบางรายก็กลับมาเข้มขึ้น มีอาการหน้าแดง ผิวแพ้ง่าย ระคายเคือง สู้แสงไม่ได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในระหว่างการรักษา จึงต้องใช้เทคโลโลยีที่ทันสมัย รวมทั้งแพทย์ผู้รักษาจะต้องเชี่ยวชาด้วยเช่นกัน ซึ่งสาเหตุของการเกิดฝ้าขึ้น จะมีดังต่อไปนี้

  • ฝ้าแดด  การเกิดฝ้าแดด จะเกิดจากการที่ผิวหน้า ได้รับแสง UVA และ UVB โดยตรงหรือบ่อยครั้ง โดยจะส่งผลให้เม็ดสีในผิวหนังได้รับการกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น เป็นที่มาของคำว่า “ฝ้าแดด” หากไม่อยากให้เกิดฝ้าประเภทนี้ก็ต้องอย่าลืมหมั่นทา ครีมกันแดดยี่ห้อดีๆ เป็นประจำทุกวัน
  • ฝ้าฮอร์โมน สำหรับฝ้าฮอร์โมน เกิดจาก การที่มีฮอร์โมน “เอสโตรเจน” ที่มากเกิดไป ตัวอย่างเช่น การหลังฮอร์โมนช่วงตั้งครรภ์ หรือ การหลั่งฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต ซึ่งจะทำให้การสร้างเม็ดสี ในชั้นผิวหนังผลิตเม็ดสี ออกมาสู่ผิวหนังที่ไม่สม่ำเสมอ จึงมีการกระตุ้นผลิตเม็ดสีที่ผิดปกติออกมา ทำให้ฝ้านั้น มีความเข้มมากกว่าเดิมนั่นเอง
  • ฝ้าที่เกิดจากเครื่องสำอาง เครื่องสำอางต่าง ๆ ไม่ได้มีผลดีทุกชิ้น แน่นอนว่า ครีมหน้าขาวใส หรือ ครีมที่ไม่ได้รับมาตรฐาน จะมีส่วนผสมของสารเคมี สารกันบูด รวมทั้งสารปรอท ตะกั่ว ที่ปนเปื้อนมา ทำให้เกิดการกระตุ้นเกิดฝ้าได้ง่ายกว่าธรรมชาติ ซึ่งแรก ๆ อาจจะส่งผลดี แต่เมื่อพอใช้ไปนาน ๆ จะทำให้ใบหน้าบอบบาง แพ้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหยุดใช้ หน้าก็จะยิ่งอ่อนแอลง ซึ่งนอกจากฝ้าแล้ว ก็อาจจะเป็นปัญหาเพิ่มเติมอย่างสิว หรือ ผิวแพ้ง่ายตามมานั่นเอง
  • ฝ้าเข้ม จากการเลเซอร์  การรักษาอย่างการ “เลเซอร์” ในบางชนิด อาจจะทำให้ฝ้ามีสีเข้มขึ้นได้ ถ้าหากว่าหยุดทำ ดังนั้น เมื่อคิดที่จะทำเลเซอร์ ควรปรึกษา พร้อมทั้งหาข้อมูลให้ดีก่อนที่จะไปทำเรื่องนี้ดีกว่า เพราะฝ้าชนิดนี้รักษายากกว่าฝ้าแดด รวมทั้ง ฝ้าฮอร์โมนด้วย
  • ฝ้าจากความเครียด ความเครียด คือ สิ่งที่ไม่ดีที่ส่งผลทั้งร่างกาย สุขภาพ รวมทั้ง สภาพผิวด้วย เพราะเมื่อเราทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดความเครียด ก็จะมีฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองทำให้ฝ้าดูชัดขึ้น รวมทั้งเราจะเห็นว่า ผิวหน้าดูคล้ำขึ้นอีกด้วย แน่นอนว่าความเครียด คือภัยเงียบที่จำให้สุขภาพของคุณทั้งร่างกาย และ จิตใจแย่ลงเป็นอย่างมาก

อย่างที่ได้อธิบายไปแล้วนั้นว่า ฝ้า กับกระ จะเกิดขึ้นได้ในแบบที่เลี่ยงได้ รวมทั้งแบบที่เลี่ยงไม่ได้อย่าง ฮอร์โมน,พันธุกรมม รวมทั้ง อายุของคุณที่มากขึ้น ดังนั้นแล้ววิธีที่จะช่วยทำให้ไม่เกิดได้คุณต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ที่มีรังสี UV รวมไปถึงการใส่ใจในสุขภาพผิว ทั้งผิวหน้า และ ผิวกาย จะต้อมมีความสม่ำเสมอมากขึ้น เพื่อลดการเกิดฝ้า และ กระ สำหรับเรื่องต่อไปจะพาไปทำความรู้จักเกี่ยวกับ ประเภทของฝ้า เพื่อรักษาให้ตรงจุด ซึ่งจะมีรายละเอียดอย่างไร ติดตามอ่านกันต่อได้เลย


รู้จักประเภทของฝ้า เพื่อรักษาให้ตรงจุด

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

ประเภทของฝ้านั้น จะถูกแบ่งออกเป็น 4 ชนิดหลัก ๆ ด้วยกัน โดย 2 ชนิดแรกเป็นชนิดที่ระบุได้ว่าเป็นฝ้าแบบใด นั่นก็คือ ฝ้าแบบตื้น กับ ฝ้าแบบลึก ส่วนอีก 2 ประเภทที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่าเป็นฝ้าชนิดใด อย่าง ฝ้าแดด และ ฝ้าเลือด โดยทั้ง 4 ประเภทนี้จะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 

1.ฝ้าแบบตื้น 

สำหรับฝ้าแบบตื้น จะเป็นชนิดของฝ้าที่เกิดจากการสร้างเม็ดสี เมลานิน ที่มากกว่าปกติ ในระดับผิวหนังชั้นหนังกำพร้า โดยจะเป็นสีน้ำตามเข้ม หรือ สีดำ มีขอบชัด เกิดขึ้นง่าย แต่จะรักษาได้เร็ว โดยฝ้าในลักษณะนี้ส่วนใหญ่แล้ว สามารถแก้ไข หรือ รักษาตรงจุดด้วยได้ด้วยครีมทาฝ้า แต่จะต้องทาครีมติดต่อกันทุกวันประมาณ 3 อาทิตย์ หลังจากนั้นแล้วฝ้าชนิดนี้จะจางลงอย่างชัดเจน ซึ่งฝ้าในลักษณะนี้จะรักษาให้หายขาดได้ 

2.ฝ้าแบบลึก 

สำหรับฝ้าแบบลึก จะเกิดจากการสร้างเม็ดสี เมลานิน ที่มากกว่าปกติเช่นกัน โดยจะอยู่ในระดับผิวหนังชั้นหนังแท้ โดยจะมีลักษระเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน ประเภทนี้จะรักษายากกว่าฝ้าแบบตื้น การทาครีมทาฝ้าเป็นประจำจะช่วยให้จางลงได้ แต่ทว่าจะไม่หายขาด วิธีเดียวที่จะช่วยให้หายขาดได้คือ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการรักษาตามไปด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่หายขาดอย่างแน่นอน 

4.ฝ้าแดด 

จะเป้นฝ้าที่จัดอยู่ในลักษณะของฝ้าที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่า เป็นฝ้าชนิดใด ซึ่งจะพบมากในผู้ที่สีผิวเข้ม เช่น ชาวแอฟริกัน โดยฝ้าแบบนี้จะเกิดจากการได้รับรังสียูวีจากแสงแดด แสงไฟ รวมทั้งแสงจากคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ โดยจะมีลักษณะเป็นรอบสีน้ำตาลคล้ำ ดำ กับ แดง หรือ บางรายอาจจะเป็นสีเทาอมม่วง แน่นอนว่าถ้าหากไม่ได้รับการดูแลรักษาให้จางหายไป มันก็จะมีสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าชีวิตประจำวันของเรา มักจะโดนแสงแดด พร้อมทั้งรับแสงยูวีอยู่ทุกวัน สิ่งนี้จึงสะสมขึ้น จนเข้มเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงทาครีมกันแดดเป็นประจำโดยสามารถเลือกได้ทั้ง กันแดดรองพื้น กันแดดน้ำ หรือครีมกันแดดทั่วไปก็ได้

5.ฝ้าเลือด

ชนิดนี้ก็จะจัดอยู่ในลักษณะของฝ้าที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจน เช่นเดียวกัน โดยมีลักษณะเป็นสีแดง คล้ายกับเส้นเลือก หรือ สีแดงปนน้ำตาล จะเกิดจากความผิดปกติของเลือดลม รวมทั้งการแปรเปลี่ยนของฮอร์โมนภายในร่างกาย โดยจะสังเกตได้ง่าย ๆเลยว่า คนที่เป็นฝ้าเลือด เวลาที่โดดแสงแดดจัด ผิวหน้าจะมีสีแดงง่าย นอกจากนี้ถ้าหากใครใช้ครีมทาฝ้าเพื่อรักษาฝ้า แต่ทว่าไปเจอสารเคมีอย่าง ไฮโดรควิโนน และสารปรอท ก็จะยิ่งทำให้รอยแดงของม้าชัดเจนขึ้นไปอีกด้วยนั่นเอง 

แน่นอนว่าการรักษาฝ้าให้ตรงจุดนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นแล้ว การรักษาฝ้าของคุณ จะต้องศึกษาเรื่องฝ้าที่คุณเป็นอยู่ให้ได้ก่อนว่า คุณเป็นฝ้าแบบไหน รักษาอย่างไรได้บ้าง ถ้าหากว่าคุณเองเป็นฝ้าที่จะต้องปรึกษาแพทย์ ก็ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษาเสมอ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว การทุเลาลงของฝ้า อาจจะเกิดการลุกลาม จนเป็นหนักขึ้นได้นั่นเอง 


วิธีรักษาฝ้า กระ แบบค่อยเป็นค่อยไป

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

ขอแนะนำกันสักเล็กน้อยเกี่ยวกับ วิธีในการรักษาฝ้า กระ โดยจะต้องเป็นแนวทางการรักษาในรูปแบบที่ค่อยเป็นค่อยไป ด้วยเหตุผลที่การรักษานั้นจะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถทำให้จางลงได้ ซึ่งฝ้าที่มีสาเหตุมาจากฮอร์โมน ก็เป็นอีกหนึ่งประเภทที่รักษาได้ แต่จะต้องทำแบบค่อย ๆ ทำ เพื่อไม่ให้เกิดความระคายเคือง แต่ ผิวไม่เสียอีกด้วย โดยวิธีการรักษาฝ้า กระ จะมีดังต่อไปนี้ 

1.การรักษาด้วยยา

นี่คือวิธีเบื้องต้นที่ต้องใช้ยารักษาฝ้า ซึ่งในรูปแบบของครีมที่มีส่วนผสมที่จะช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี ตัวอย่างเช่น ยากรดวิตามินเอ, ยากลุ่มทรานิซามิก,ครีมทาที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ รวมทั้ง ครีมไวท์เทนนิ่ง ซึ่งก่อนจะใช้ยาต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ 

2.การรักษาด้วยเลเซอร์ การผลัดเซลล์ผิวหนัง

เป็นวิธีการรักษาฝ้าแบบเร่งด่วน พร้อมทั้งเห็นผลได้เร็วกว่าการทาครีม ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยม แต่ทว่าประสิทธิภาพของผลการรักษาลดลง ซึ่งยังขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่จะตอบรับการรักษาในชนิดนี้ได้ดีอีกด้วย 

3.การรักษาฝ้าด้วย “สมุนไพร” 

“สมุนไพร” ถือได้ว่าเป็นวิธีธรรมชาติรักษาฝ้าที่ราคาไม่แพง แต่ก็ไม่เห็นผลได้ชัดเจน โดยการใช้สมุนไพรจะช่วยผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการผลัดเซลล์ผิวหนัง หากว่าทำเช่นนี้บ่อย ก็อาจจะทำให้ผิวบอบบาง แพ้ง่ายเช่นกัน 

4.การฉีดวิตามินผิว กับ การฉีดเมโสหน้าใส

การฉีดวิตามินผิว จะช่วยฟื้นฟู รักษาปัญหาผิว ทั้งรูปแบบผิวที่ไม่สดใส รวมทั้งผิวแห้งกร้าน อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวขาวใส ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว พร้อมทั้งเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ รวมไปถึงการฉีด “เมโสหน้าใส” ก็จะเหมาะกับ การบำรุงที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า โดยการฉีดรูปแบบนี้จะมีสูตรหน้าขาวใส จะมีส่วนผสมของวิตามินต่าง ๆ ที่จะทำให้หน้าขาวใส เช่น วิตามิน ABCE, Transamin, Glutathione ที่สามารถช่วยให้ลดเลือนรอยฝ้า และ กระได้ อีกทั้งจะช่วยแก้ปัญหารูขุมชนกว้าง เสริมสร้างคอลลาเจนในผิวได้อีกด้วย 

จะเห็นได้ว่า การรักษาฝ้า กระ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้เวลา รวมทั้งการเสียค่าใช้จ่ายในกรณีที่ต้องเลเซอร์ หรือ ทำการบำรุงระยะยาว จะมีตัวเลขที่ค่อนข้างสูง  ดังนั้นจะต้องปรึกษาแพทย์ และ คิดถึงให้ดีเกี่ยวกับการรักษา 


5 วิธี รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

รักษาฝ้าด้วยตัวเอง

การรักษาฝ้า กระ ก็สามารถทำได้ตัวเอง ด้วยวิธีแบบธรรมชาติ ไม่ต้องเสียเงินเลเซอร์ หรือ ฉีดบำรุงให้เสียเงิน แต่พวกเรามีวิธีการรักษาฝ้าด้วยตัวเอง 5 วิธีดังต่อไปนี้ 

1.ใช้น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิล

วิธีการนี้จะช่วยลดฝ้าได้ โดยเราจะใช้ น้ำสมสายชูหมักกับแอปเปิล มาเช็ดหน้าแทนโทนเนอร์ได้ โดยจะต้องผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อย เพราะมีฤทธิ์เป็นกรด จะมีโพแทสเซียมสูง โดยจะช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ รวมทั้งจะช่วยให้ผิวกระจ่างใส อีกทั้งลดจุดด่างดำ อีกทั้งช่วยลดรอยดำจากสิวด้วย

2.ใช้น้ำใบบัวบก 

การใช้ “น้ำใบบัวบก” รักษาฝ้า เป็นวิธีการธรรมชาติที่ช่วยลดฝ้าได้ โดย วิธีการใช้ก็คือ นำน้ำใบบัวบกมาเช็ดหน้าแทนโทนเนอร์ โดยใช้น้ำใบบัวบกเช็ดหน้าแล้วทิ้งเอาไว้ประมาณ 10-15 นาที  จากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

3.กินวิตามิน บำรุง

การบำรุงผิวหน้า นอกจากการใช้ครีมกันแดด หรือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดแล้ว การกินวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินเอ วิตามินซี และ อี จะช่วยลดฝ้าได้ แน่นอนว่าการบำรุงผิวจากภายใน จะช่วยให้ผิวแข็งแรงสามารถทนต่อแสงแดดได้ดีขึ้น ส่งผลให้ช่วยลดการเกิดฝ้าได้เช่นกัน  

4.การทาครีมบำรุง

ครีมบำรุงผิว เป็นวิธีแบบที่ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง นั่นก็คือ การใช้ครีมบำรุงที่มีสารไวท์เทนนิ่ง ที่ช่วยให้ผิวหน้าดูขาว กระจ่างใส พร้อมทั้งยังมี วิตามินซี,อาร์บูติน (Arbutin), AHA รวมทั้งสารสำคัญอื่น ๆ แต่ทว่าเป็นครีมที่ได้รับการพิสูจน์จากแพทย์ผิวหนังแล้วว่า จะต้องใช้เป็นประจำ ทั้งเช้า-เย็น อย่างต่อเนื่อง จึงจะเห็นผลที่สุด ใครที่ไม่เคยใช้ก็ลองหันมาใช้กันดู เพราะจะช่วยป้องกัน และ รักษาการเกิดฝ้า หรือ กระ ได้เป็นอย่างดี 


สิ่งที่สำคัญที่เราควรจะปกป้องนั่นก็คือ ผิวหน้า เพราะว่ามีความบอบบาง ระคายเคืองง่าย ยิ่งไปกว่านั้นอันตรายจากแสงแดด ที่มีรังสี UVA กับ UVB เป็นส่วนที่ทำร้ายผิวหน้า ผิวกายของเราอย่างแท้จริง ดังนั้นแล้วเมื่อเกิดกระ หรือ ฝ้าขึ้นแล้ว นี่เป็นสัญญาณว่าคุณควรจะดูแลตัวเอง พร้อมทั้งรีบรักษาก่อนที่จะบานปลายจนลงลึก และ รักษาไม่หาย หรือ มีส่วนเป็นมะเร็งผิวหนังได้เช่นกัน นี่แหละคือเรื่องที่ร้ายแรงที่สุด สำหรับความรู้ รักษาฝ้าด้วยตัวเอง ทั้งหมดที่พวกเราได้รวบรวมมาในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น สาเหตุของการเกิดฝ้า รูปแบบของฝ้า กระ รวมทั้งวิธีการรักษาอย่างตรงจุด เชื่อเลยว่าทุกท่านจะได้ความรู้ที่ใช้ได้จริง อีกทั้งยังสามารถประเมินการรักษาได้ดี ใครที่พบปัญหาผิวหน้าเป็นฝ้า หรือ เป็นกระ ต้องรีบปรึกษาแพทย์ตามอาการ และ เป็นสิ่งที่รอไม่ได้เพราะจะยิ่งส่งผลเสียมากกว่านี้ได้ในอนาคตนั่นเอง 


Credit:

ฝ้า กระ จุดด่างดำ เกิดจากอะไร ? สาเหตุ และวิธีการรักษาแบบตรงจุด (vsquareclinic.com)

5 วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ หน้าเนียนใส หายขาดได้แน่นอน (trueid.net)

ฝ้ามีกี่ประเภท รักษาอย่างไรให้ตรงจุด (conceptcream.com)

สกินแคร์รูทีน 7 ขั้นตอนสกินแคร์ทาอย่างไรให้ผิวสวยใสแบบสาวเกาหลี 

สกินแคร์รูทีน 7 ขั้นตอนสกินแคร์ทาอย่างไรให้ผิวสวยใสแบบสาวเกาหลี 

สาว ๆ หลายคนอาจจะสงสัยใช่ไหมล่ะว่าทำไมผู้หญิงเกาหลีถึงได้มีผิวหน้าที่เนียนสวยแล้วก็กระจ่างใสกันได้ขนาดนั้น ซึ่งสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญกันก็คือการลงสกินแคร์รูทีนนั่นเอง วันนี้แอดมินจึงจะมาเผยขั้นตอนการลง สกินแคร์รูทีน ที่ถูกต้องกัน เพราะการเรียงลำดับการทาที่ถูกนั่นจะช่วยให้สกินแคร์ซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังได้ดีและเห็นผลจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง แต่ก่อนที่เราจะไปดูขั้นตอนการทานั้น เรามาทำความรู้จักสกินแคร์แต่ละประเภทกันก่อนดีกว่า


สกินแคร์ มีกี่ประเภท? แต่ละประเภทช่วยเรื่องอะไรบ้าง 

สกินแคร์รูทีน

สกินแคร์แต่ละประเภทนั้นมีหลายรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป โดยแต่ละประเภทก็ได้ผลิตออกมาเพื่อตอบโจทย์ต่อการใช้งานตามปัญหาผิวและสภาพผิวที่แตกต่างกันของแต่ละคน มาดูกันว่าจะมีประเภทอะไรบ้าง


1.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า 

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าหรือ คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอางดีๆ จะมีลักษณะเป็นของเหลวและมาในรูปแบบ น้ำ เจล หรือ ออยล์ สามารถใช้โดยการนวดที่หน้าได้โดยตรงหรือจะหยดลงบนสำลีแล้วเช็ดบนผิวหน้าก็ได้ ผู้ที่แต่งหน้าหรือทาครีมกันแดดต้องใช้คลีนซิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอุดตันบนในหน้า


2.ผลิตภัณฑ์หน้าล้าง

สิ่งนี้จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าและช่วยขจัดคราบความมันบนใบหน้า รวมถึงสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในรูขุมขน ซึ่งจะมีทั้งรูปแบบ โฟมล้างหน้า เจลล้างหน้า และสบู่ก้อน


3.โทนเนอร์

Toner เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการทำความสะอาดผิวหน้าที่ช่วยให้ผิวหน้าสะอาดหมดจดยิ่งขึ้นกว่าเดิม ส่วนใหญ่มักมาในเนื้อโลชั่นบาง ๆ และมักจะมีวิตามินช่วยบำรุงผิว

4.มอยส์เจอร์ไรเซอร์

ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีส่วนผสมของโลชั่นและครีม ผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวมันก็สามารถทาได้เพราะจะช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นไว้ ทำให้ผิวไม่ขาดน้ำจึงสามารถช่วยลดความมันบนใบหน้าได้

5.ครีม

สกินแคร์ประเภทนี้มีส่วนผสมของน้ำมันเยอะมากกว่าประเภทอื่น ๆ เนื้อจึงมีความเข้มข้นที่สุดและอาจทำให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ช้า แต่มันสามารถคงความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ดีที่สุดจึงเหมาะกับคนผิวแห้งมากที่สุด โดยคุณสามารถบำรุงด้วยไนท์ครีมในตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันก็บำรุงด้วยครีมทั่วไปได้

6.โลชั่น

โลชั่นไม่ได้มีไว้สำหรับบำรุงผิวกายเท่านั้น เพราะผิวหน้าก็สามารถบำรุงด้วยได้ด้วยเช่นกัน โดยมันจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวใช้ได้ทั้งผู้ที่มีผิวธรรมดาและผิวผสม ซึ่งโลชั่นที่ทางฝั่งเอเชียนิยมใช้และไม่หนักหน้าจนเกินไปจะมาในรูปแบบที่เราเรียกกันว่า ‘น้ำตบ’ นั่นเอง

7.เอสเซนส์

อีกหนึ่งรูปแบบผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าในขั้นตอนแรก ๆ ซึ่งเอสเซนส์จะมีลักษณะเป็นน้ำเหลว ๆ บางเบา จึงซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วแม้ว่าสภาพผิวแบบไหนก็สามารถใช้ได้ โดยส่วนใหญ่มักจะมาในรูปแบบน้ำตบเช่นเดียวกัน

8.เซรั่ม 

ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีความเข้มข้นว่าเอสเซนต์และมีส่วนผสมของน้ำมันค่อนข้างมาก จึงไม่ค่อยเหมาะสำหรับคนผิวมันเท่าไหร่ แต่มันสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างล้ำลึก เช่น ลดรอยสิว ลดริ้วรอย และปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ

9.ผลิตภัณฑ์กันแดด 

ในตอนเช้าต้องทาผลิตภัณฑ์กันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV หากผู้ที่ไม่ได้ทากันแดดในตอนเช้านั้นอาจส่งผลให้รังสียูวีเข้าไปทำลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง ส่งผลให้ผิวเหี่ยวย่นและเกิดฝ้า กระ ตามมาได้ โดยผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีทั้งในรูปแบบครีม เจล โลชั่น สเปรย์ และขี้ผึ้ง 


7 ลำดับการทา สกินแคร์รูทีน ที่ถูกต้อง

หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักกับสกินแคร์แต่ละประเภทกันไปแล้ว ต่อไปเรามาดูกันว่าขั้นตอนการลงสกินแคร์รูทีนที่ถูกต้องนั้น ต้องเรียงลำดับการทาอย่างไรบ้าง


Step 1 : เช็ดผิวหน้าด้วยคลีนซิ่ง

สกินแคร์รูทีน

หลังจากที่ผิวหน้าของเราเผชิญเครื่องสำอาง ฝุ่น และมลพิษต่าง ๆ มาทั้งวันแล้วควรเช็ดผิวหน้าให้สะอาดด้วยเมคอัพรีมูฟเวอร์ก่อน เพื่อให้ผิวหน้าสะอาดและขจัดสิ่งสกปรกที่เข้าไปอุดตันในรูขุมขน 


Step 2 : ล้างหน้าให้สะอาด

สกินแคร์รูทีน

เมื่อขจัดสิ่งสกปรกออกจากผิวหน้าไปแล้ว ต่อไปคือขั้นตอนการล้างหน้าเพื่อลดความมันบนใบหน้าและทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก


Step 3 : เช็ดด้วยโทนเนอร์

สกินแคร์รูทีน

การใช้โทนเนอร์จะช่วยขจัดคราบต่าง ๆ บนใบหน้าให้ผิวสะอาดมากยิ่งขึ้นทำให้ลดการอุดตันของสิ่งสกปรกและช่วยลดการเกิดสิวได้


Step 4 : ลงเอสเซนส์

สกินแคร์รูทีน

ต่อไปก็เริ่มบำรุงผิวหน้าโดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเหลวมากที่สุดก่อน นั้นก็คือการลงเอสเซนส์หรือน้ำตบเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผิวในการลงสกินแคร์ รูทีนขั้นต่อไป


Step 5 : ลงผลิตภัณฑ์รักษาสิว

สกินแคร์รูทีน

สำหรับผู้ที่เป็นผิว สามารถลงครีมรักษาสิวเฉพาะจุดได้ก่อนเลยและควรเลือกเป็นครีมชนิดที่ซึมเข้าผิวไว เพราะต้องรอให้เนื้อครีมซึมเข้าผิวจนแห้งสนิทก่อนจึงจะสามารถลงสกินแคร์ในขั้นต่อไปได้


Step 6 : ทาเซรั่มและมอยส์เจอไรเซอร์

สกินแคร์รูทีน

สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวมันก็สามารถลงเซรั่มหรือมอยส์เจอไรเซอร์ได้เช่นกันเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและไม่ขาดน้ำ ทำให้เป็นสกินแคร์วัย 30+ที่คนอายุเริ่มเข้าเลข 3 ต้องใช้ทุกคน


Step 7 : ทาครีมกันแดด

สกินแคร์รูทีน

ขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นหนึ่งสเตปที่ขาดไม่ได้เลย สำหรับในตอนเช้าไม่ว่าคุณจะออกจากบ้านหรือไม่ก็ตามควรทาครีมกันแดดทุกวันเพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV ไม่ให้ทำลายผิวหน้า ผู้ที่ไม่ได้ทาครีมกันแดดอาจจะเกิดฝ้าและกระบนใบหน้าได้ รวมถึงทำให้หน้าเหี่ยวย่นก่อนวัยอีกด้วย


ทั้งหมดนี้ก็คือลำดับในการทาสกินแคร์รูทีนอย่างถูกวิธีนั่นเอง หากคุณบำรุงตามขั้นตอนดังต่อไปนี้มันก็จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญสาว ๆ แต่ละคนก็อย่าลืมเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองด้วยเพื่อให้สกินแคร์เหล่านั้นบำรุงได้อย่างตรงจุดมากที่สุด ผิวของเราจะได้เนียนใสปิ๊งเหมือนสาวเกาหลี


อ้างอิง:

https://www.lifestyleissue.com/beauty/skincare-types/ 

https://vogue.co.th/beauty/6-step-skin-care-for-oily-skin