10 ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี ตัวช่วยกำจัดสิวบนใบหน้าที่คนเป็นสิวต้องอ่าน
10 ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี ตัวช่วยกำจัดสิวบนใบหน้าที่คนเป็นสิวต้องอ่าน ปัญหาใหญ่ของคนเราก็คือสิว ซึ่งใครที่เป็นคนที่เกลียดกลัวสิวอยู่เป็นทุนเดิมแล้วละก็ อาจจะคิดว่าสิวเป็นปัญหาระดับมวลมนุษย์ชาติเลยก็ว่าได้
ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง ทำให้หลายบริษัทได้สร้างผลิตภัณฑ์ออกมาตอบสนองความต้องการของทุกคนกันอย่างล้นหลาม จนบางทีก็มีเยอะจนเลือกไม่ถูก และวันนี้เราก็จะมาแนะนำ 10 แบรนด์ของ ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี ที่ว่ากันว่าใช้แล้วดีและเหมาะกับคนเป็นสิวที่สุด ไปดูกันได้เลย!
1. LA ROCHE-POSAY EFFACLAR DUO PLUS
เป็นครีมบำรุงผิวหน้าที่เหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่เป็นสิวโดยเฉพาะ เพราะได้มีหลายคนที่ใช้แล้วออกมารับรองและการันตีเลยว่าผิวหน้าดีขึ้น สิวลดน้อยลง แถมยังช่วยลดรอยที่เกิดจากสิวได้อีกด้วย ซึ่งถ้าทาทิ้งไว้ตอนกลางคืน ตื่นขึ้นมาจะพบได้เลยว่าสิวมันยุบไปเยอะ แต่ในส่วนของราคาก็แพงตามประสิทธิภาพการใช้การ ราคาสูงหน่อยหลักพันต้นๆ แต่ก็ไม่น่าเสียดายเพราะใช้ดีจริงๆ
2. ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี SMOOTH E CREAM
ครีมบำรุงผิวหน้าสมูทอีครีม ถือเป็นของประจำตัวติดกระเป๋าคนเป็นสิวแน่นอน เพราะว่าการใช้งานมันดีจริงๆ ซึ่งแค่ตัวเดียวก็สามารถจัดการทั้งเรื่องสิวเสี้ยนและรอยดำรอยแดงจากสิวได้อีกด้วย และคนที่เป็นสิวเมื่อได้ใช้แล้วก็ต้องใช้ต่อไปทิ้งไม่ลงทีเดียว เพราะใบหน้าที่เต็มไปด้วยสิวจะค่อยๆ หายไปจนไม่มีเลย และที่สำคัญราคาก็ยังไม่แพงมากสามารถจับต้องได้ ราคาอยู่ที่ 100-500 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดและปริมาณ
3. PHYSIOGEL CREAM
สำหรับคนที่มีปัญหาทั้งเรื่องสิวและเรื่องหน้าแห้ง ลอกเป็นขุยง่าย บอกเลยว่าต้องบำรุงด้วยครีมตัวนี้ เพราะครีมตัวนี้มีความสามารถในการที่ทำให้หน้านุ่มและชุ่มชื่นขึ้น แถมยังช่วยลดปัญหาการอักเสบของสิว และช่วยลดรอยดำจากสิวได้ด้วย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอีกตัวที่คนเป็นสิวไม่ควรพลาดเลย และราคาก็อยู่ที่ประมาณ 500 บาท ก็เป็นราคาที่ไม่ถูกและไม่แพงจนเกินไป จับต้องได้
4. ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี DR.SOMCHAI ACNE REPAIR CREAM
ครีมลดสิวแบรนด์ไทยที่ช่วยการลดสิวเสี้ยนได้เป็นอย่างดี ซึ่งใครที่กำลังตามหาครีมบำรุงผิวที่จะช่วยลดรอยสิวไปในตัว และครีมที่ช่วยบำรุงรักษาผิวให้ขาวเนียนและชุ่มชื่นขึ้นไปในตัว ห้ามมองข้ามตัวนี้ไป เพราะถึงแม้จะหลอดเล็กแต่ประสิทธิภาพการทำงานเรียกว่าทำได้ดีมากๆ เพราะสามารถรักษารอยสิวได้เร็ว ใช้แล้วรับรองว่าชอบแน่ๆ ส่วนราคาก็อยู่ที่ประมาณ 100-200 แพงไปหน่อยเพราะหลอดเล็ก แต่รับรองว่าปังแน่นอน
5. YVES ROCHER PURE SYSTEM STOP ACNE LOTION
สำหรับครีมทาผิวตัวนี้ ถือเป็นครีมบำรุงผิวที่มีการทำงานได้ดีมากๆตัวหนึ่ง ซึ่งเหมาะมากๆสำหรับคนเป็นสิว เพราะเมื่อใช้แล้วใบหน้าที่มันจะค่อยๆ มันน้อยลง เนื่องจากครีมตัวนี้สามารถควบคุมความมันบนใบหน้าได้นาน และที่สำคัญเนื้อครีมตัวนี้จะอยู่ในรูปของเนื้อเจล ทำให้เวลาทาแล้วไม่หนัก ไม่เหนียว และไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน แถมยังช่วยในการลดการเกิดสิวใหม่ได้ดีมากๆ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในครีมสำหรับผู้มีผิวมัน ที่ตอบโจทย์มากๆ ราคาก็อยู่ที่ประมาณ 400 บาท
6. ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี PAPULEX OIL-FREE CREAM
อยากจะบอกว่าครีมบำรุงผิวหน้าตัวนี้เป็นสูตรที่ไม่มีน้ำมันและน้ำหอมปนอยู่เลย เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญหาหน้ามันง่ายและปัญหาสิวเสี้ยน รวมไปถึงปัญหาผิวแพ้ง่าย ถ้าใช้ตัวนี้จะถือว่าดีมาก เพราะสิวเสี้ยนที่เป็นอยู่จะค่อยหายไป และยังช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่อีกด้วย แถมครีมตัวนี้ยังสามารถช่วยความมันของหน้าได้อีกด้วย ราคาครีมตัวนี้อยู่ที่ประมาณ 1,200 บาท ซึ่งก็ถือว่าราสูงอยู่เหมือนกัน แต่ก็เป็นครีมที่ดีมากๆ อันหนึ่งเลยล่ะ
7. EUCERIN DERMO PURIFYER HYDRATING CARE
ใครที่มีผิวแพ้ง่าย แพ้อะไรนิดหน่อยก็เป็นสิวแล้ว ถ้าหากได้ลองครีมบำรุงผิวตัวนี้แล้วจะต้องติดใจและถูกใจอย่างแน่นอน เพราะเป็นครีมทาผิวที่เป็นไม่มีน้ำมันและไม่มีน้ำหอม ทำให้เวลาใช้แล้วคนผิวบางจึงไม่รู้สึกคันหรือระคายเคืองอะไร แถมยังสามารถจัดการในส่วนของเรื่องปัญหาหน้ามันและปัญหาสิวได้แบบอยู่หมัด ทั้งยังช่วยให้เวลาแต่งหน้า สามารถอยู่ทนได้อีกด้วย ราคาอยู่ที่ประมาณ 900 บาท แพงไปนิด แต่ก็ผลลัพธ์เกินคาด
8. ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี Puricas Anti Acne Gel
ตัวนี้เด็ดมาก เพราะช่วยดูแลปัญหาสิวและการอักเสบที่อาจเกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรีย ช่วยรักษาสิวที่ต้นเหตุ โดยลดการหลั่งน้ำมันใต้ชั้นผิว ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และขจัดสิ่งอุดตันในรูขุมขน สามารถตอบโจทย์และดูแลปัญหาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเจลแต้มสิวมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ ดูดหัวสิว ทำให้หัวสิวแห้งและสะกิดออกได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ยังมีความอ่อนโยนเหมาะกับผิวแพ้ง่าย เพราะปราศจากน้ำหอม พาราเบน และสารสเตียรอยด์อีกด้วย
9. Lion Pair Acne Cream W
ครีมแต้มสิวตัวฮิตจากญี่ปุ่น ช่วยขจัดสารพิษจากผิวอย่างมีประสิทธิภาพ ลดอาการคัน สิว ผดผื่น และอาการอักเสบบวมแดงของผิว คืนความชุ่มชื่นสู่ผิว ครีมแต้มสิวช่วยแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวอักเสบสิวอุดตัน ทำหน้าที่สลายเชื้อโรคและฆ่าเชื้อสิวบนใบหน้าให้หมดไปด้วยส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ ทำให้สิวยุบเร็วขึ้นและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นหลังสิวหาย ทั้งยังลดอัตราการเกิดสิวอย่างได้ผล เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อผู้มีปัญหาสิวอย่างแท้จริง
10. ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี Benzac AC
ใครที่มีปัญหาสิวอุดตัน สิวหัวแดง หรือสิวอักเสบบ่อยๆ ต้องรู้จัก Benzac เพราะช่วยในเรื่องลดการอักเสบของสิว และยังช่วยลดความมันส่วนเกินบนผิวหน้าได้อีกด้วย โดยใช้แต้มหัวสิวทิ้งไว้ก่อนล้างหน้าสัก 15-20 นาที สามารถใช้ควบคู่กับเจลล้างหน้าลดสิว ได้ แต่สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มใช้แนะนำให้ใช้ 2.5% หรือ 5% ก่อน แต่ตัวนี้อาจจะไม่เหมาะกับคนผิวแห้ง ที่สำคัญใช้แล้วอย่าลืมทาบำรุงหน้าด้วยเพื่อป้องกันหน้าลอกและการระคายเคือง
นี่ก็เป็น 10 แบรนด์ของ ครีมรักษาสิวยี่ห้อไหนดี ที่นำมาฝากกัน เพราะถ้าพูดถึงเรื่องสิว เชื่อว่าหลายคนคงไม่ชอบ และคงไม่อยากให้เกิดขึ้นบนใบหน้าของตัวเองกันหรอก ซึ่งสิวนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ และเมื่อเป็นสิวแล้วจึงพยายามหาวิธีทำให้สิวหายเร็วที่สุด ดังนั้น ตัวช่วยยอดฮิตอย่าง ครีมรักษาสิว ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยลดสิวให้หายไป
หน้าเป็นสิวใช้ครีมอะไรดี ถ้าเป็นสิว ควรใช้ครีมทาหน้าชนิดไหนดีที่สุด
หน้าเป็นสิวใช้ครีมอะไรดี ถ้าเป็นสิวควรใช้ครีมทาหน้าชนิดไหนดีที่สุด ผลิตภัณฑ์ทาหน้าและครีมบำรุงผิวหรือครีมหน้าขาวในปัจจุบันมีวางขายให้เลือกกันเยอะจริงๆ เพราะมีมากมายหลากหลายยี่ห้อ แถมมีให้เลือกหลากหลายราคา
ที่เห็นได้ชัดเจนมากๆ ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ชวนทำให้ใครหลายคนสงสัยก็คือในส่วนของความแตกต่างของเนื้อครีม ที่เราเห็นหลักๆ ในท้องตลาดก็จะมีเนื้อผลิตภัณฑ์แบบครีม แบบโลชั่น แบบเจล แบบเซรั่ม และวันนี้เราจะไปดูกันว่าทั้งหมดนั้นมีหน้าที่อะไร และคนที่เป็นสิวควรใช้ครีมแบบไหน
1. ครีมทาผิวเนื้อครีม (CREAM)
ครีมทาผิวแบบเนื้อครีม เป็นครีมที่มีการผสมน้ำกับน้ำมันเข้าไว้ด้วยกัน โดยส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของน้ำมันในปริมาณที่มากกว่า จึงทำให้เนื้อครีมค่อนข้างจะข้น หนืด แน่น และหนักกว่าเนื้อแบบอื่นๆ ซึ่งทำให้การทำงานในการซึมเข้าผิวจะช้ากว่าแบบตัวอื่น อาจจะพูดได้ว่าช้าที่สุดเลยก็ได้ ส่วนใหญ่เนื้อครีมนี้จะเคลือบติดอยู่บริเวณผิวหนังชั้นบนมากกว่า
ซึ่งเนื้อครีมเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวคนได้ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะการที่มันผสมน้ำมันเข้าไปเยอะนั่นแหละ แต่ก็ด้วยความที่มีน้ำมันนี่เองที่อาจทำให้ผิวหน้าเราเกิดความมัน และการอุดตันของน้ำมันได้ง่ายขึ้น และอาจเป็นที่มาของการเกิดสิวอุดตัน เนื้อครีมจึงเป็นสิ่งที่คนเป็นสิวควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด โดยเฉพาะคนที่มีผิวมันมากๆ
2. ครีมทาผิวเนื้อโลชั่น (LOTION)
ครีมทาผิวเนื้อโลชั่นเป็นครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันและน้ำเข้าด้วยกันเหมือนแบบเนื้อครีม แต่ส่วนผสมส่วนใหญ่จะมีปริมาณน้ำมากกว่า จุดเด่นของเนื้อโลชั่นคือ มีความสามารถที่ซึมเข้าผิวได้ดีกว่าแบบครีมมากๆ ทาแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนแบบครีม
ทำให้เหมาะกับคนที่มีผิวมัน โดยโลชั่นที่ใส่สารบำรุงผิวเยอะก็อยู่ในรูปของโลชั่นทาหน้า แต่ถ้าใส่สารบำรุงผิวน้อยก็จะอยู่ในรูปของโลชั่นทาผิวทั่วไป ซึ่งในท้องตลาดมีครีมทาผิวเนื้อโลชั่นวางขายอยู่เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่เป็นโลชั่นด้วย นั่นแสดงว่าเนื้อโลชั่นเป็นเนื้อที่เหมาะกับคนเป็นสิวและหน้ามัน
3. ครีมทาผิวเนื้อเจล (GEL)
ครีมทาผิวเนื้อเจลเป็นครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันในปริมาณที่น้อยมากหรือไม่ก็ไม่มีเลย โดยกระบวนการผลิตเนื้อเจลจะใส่สารที่ทำให้เกิดเนื้อเจล จากนั้นก็ผสมรวมกับสารอื่นๆทุกอย่าง ข้อดีของครีมทาผิวแบบเนื้อเจล คือ สามารถซึมเข้าผิวได้เร็วมาก ไม่แสดงอาการอุดตัน และทาแล้วไม่ทำให้หน้ามันเลย
นั่นแสดงว่าครีมทาผิวแบบเนื้อเจล จัดว่าเป็นครีมทาผิวที่เหมาะกับคนเป็นสิวมากที่สุด ซึ่งเห็นได้ว่ามีผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายตัวในท้องตลาดนิยมทำออกมาในรูปของเจล และแน่นอนครีมทาผิวแบบเนื้อเจลจะไม่เหมาะกับคนที่มีผิวแห้งหรือผิวบาง เพราะครีมทาผิวแบบเนื้อเจลส่วนใหญ่จะไม่ค่อยใส่สารที่มีความชุ่มชื้นหรือใส่พวกน้ำมันเข้าไปในผลิตภัณฑ์
4. ครีมทาผิวเนื้อเซรั่ม (SERUM)
ตามความเชื่อของสาวๆ หลายคน จะบอกว่าครีมทาผิวแบบเนื้อเซรั่มนั้นเป็นสุดยอดของครีมบำรุงผิว นิยมนำมาใช้เป็นรูปแบบไนท์ครีมที่ช่วยบำรุงผิวตอนกลางคืน ซึ่งได้ทาแล้วผิวหน้าจะเรียบเนียน เปล่งปลั่ง สวยกว่าครีมทาผิวทั่วไปแน่ๆ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ความเป็นจริงแล้วครีมทาผิวเนื้อเซรั่มบางตัวนั้นไม่ได้มีกระบวนการผลิตที่แตกต่างจากครีมทั่วไปเลย เพียงแต่ครีมทาผิวแบบเนื้อเซรั่ม จะใส่สารบำรุงผิวเข้าไปในปริมาณที่มากกว่าครีมแบบอื่น และเซรั่มก็เป็นครีมชนิดที่นิยมในการรักษาสิวมากชนิดหนึ่งเลย
ทีนี้คนเป็นสิวก็คงจะรู้แล้วว่า เราควรใช้ครีมเนื้อไหนดี โดยทั้งนี้ก็แนะนำว่าไปถามหมอหรือผู้เชี่ยวชาญเลยก็ได้ เพราะผิวของคนไม่ได้มีแค่ ผิวบาง แห้ง หรือมันเพียงอย่างเดียว ยังอีกมีแบบผสมและอีกมากมายที่ครีมทาผิวอาจใช้แล้วไม่ตรงกับจุดประสงค์เลยก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณใช้ครีมทาผิวตรงกับที่บอกไป ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้สิวหายและมีใบหน้าที่เรียบเนียนได้ไม่ยากแน่นอน
10 วิธีลดหลุมสิว เคล็ดลับ ลดรอยหลุมสิวดีๆ ที่ต้องบอกต่อ!
“หลุมสิว” แค่ได้ยินก็ขนลุกชูชันไปทั้งตัวแล้ว ก็ใครบ้างที่อยากจะมีร่องรอยหลุมบ่ออยู่บนใบหน้า แถมยังเป็นปัญหาผิวที่รักษาได้ยากเย็นเสียเต็มประดาอีกด้วย แทนที่จะมีผิวนวลผ่องดังแสงจันทร์ ก็กลับกลายเป็นว่ามีผิวขรุขระเหมือนพื้นผิวดวงจันทร์นั่นเอง
เป็นฝ้า กระ หรือสิวอักเสบ มันก็ยังพอใช้เครื่องสำอางกลบเกลื่อนกันได้ แต่กรณีของหลุมสิวนั้นแทบจะไม่มีอะไรปกปิดเอาไว้ได้เลย ทางที่ดีจึงต้องรักษาให้หายหรือป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
ลดหลุมสิว สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก ให้นึกถึงผิวหน้าที่เป็นหลุมบ่อเล็กๆ กระจายเต็มพื้นที่ มักพบในบริเวณที่เกิดสิวได้บ่อย คือ บริเวณจมูกและแก้ม เกิดจากผลกระทบของสิวอักเสบที่ลุกลามจนกินพื้นที่เนื้อให้ลึกลงไป และหลายๆ ครั้งก็เกิดจากพฤติกรรมอันสุ่มเสี่ยงของตัวเราเอง เมื่อไรที่มีสิวขึ้นมาก็พยายามไปบีบมันออก ด้วยความคันมือหรือรำคาญใจก็ไม่อาจรู้ได้
แต่ที่แน่ๆ คือบีบอย่างผิดวิธี จากสิวธรรมดาก็กลายเป็นสิวอักเสบ จากสิวอักเสบก็กลายเป็นการทำลายชั้นผิว สุดท้ายก็ทิ้งร่องรอยเอาไว้เต็มไปหมด ดังนั้นนอกเหนือไปจากสิ่งอื่นใด จงจำไว้ว่าอย่าบีบสิวจนติดเป็นนิสัยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นสิวหัวเล็ก สิวหัวใหญ่ หรือแม้แต่สิวเสี้ยนก็ตามที แต่หากว่าหลุมสิวมันเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ต้องวิตกกังวลมากเกินไป ค่อยๆ รักษาตามระดับความรุนแรงที่อาจแบ่งได้ 3 ระดับดังนี้
ICE PICK SCAR – ลดหลุมสิวแบบนี้มีลักษณะลึก ปากหลุมแคบ อาจถูกทำลายไปจนถึงชั้นหนังแท้ เป็นรูปแบบที่รักษาได้ยากที่สุด
BOX SCAR – หลุมมีลักษณะคล้ายบ่อ มีขอบที่กว้างและค่อนข้างชัดเจน แต่ก็ตื้นกว่าแบบแรกพอสมควร
ROLLING SCAR – กลุ่มนี้ยังไม่เห็นว่าเป็นหลุมเท่าไร เป็นเพียงแอ่งเว้าลงไป แต่ก็ทำให้ผิวไม่เรียบเนียนแบบที่สังเกตเห็นได้
การรักษามีทั้งแบบการใช้ยาและการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งต้องได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ ลองมาดูแนวทางในการลดรอยหลุมสิวที่ได้รับความนิยมกันบ้างดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
1. ใช้ผลิตภัณฑ์ลบรอยแผลเป็น
วิธีนี้ใช้ได้กับกรณีของ ROLLING SCAR เท่านั้น โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินอี AHA และ BHA เป็นหลัก เพราะองค์ประกอบสำคัญเหล่านี้มีหน้าที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง จึงสามารถเติมเต็มส่วนที่ถูกทำลายไปได้ แต่แน่นอนว่าต้องใช้เวลาค่อนข้างมากในการลดหลุมสิว หลุมสิวจะค่อยๆ ตื้นขึ้นทีละน้อย
จะเร็วหรือช้ามากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ตัวเองในส่วนอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างคอลลาเจน งดอาหารที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระจำนวนมาก ซึ่งมีผลกระทบต่อการเสริมสร้างคอลลาเจนเช่นเดียวกัน นอกจากนี้อาจใช้การสครับผิวหน้าอย่างอ่อนโยนเข้ามาช่วยอีกแรงหนึ่งได้
2. แต้มกรด TCA (TRICHLOROACETIC ACID)
สารประเภทกรดชนิดนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในวงการความสวยความงาม เราอาจได้เห็นผ่านตากันมาบ้าง ว่าช่วยแก้ปัญหาเรื่องสิว กระ ไฝ และรอยดำได้ด้วย กรด TCA มีคุณสมบัติในกัดกร่อน ลอกชั้นเซลล์ผิวหนังออก และเร่งผิวใหม่ให้เกิดการแบ่งตัวได้เร็วขึ้น ผิวจึงค่อยๆ เรียบเนียนขึ้นได้ แต่จะต้องศึกษาค่าความเข้มข้นที่เหมาะสมและวิธีการใช้อย่างถี่ถ้วน
เพราะถ้าผิดพลาดไปจะกลายเป็นทำร้ายผิวให้ยิ่งแย่ลงกว่าเดิม ผลข้างเคียงของการใช้กรด TCA ก็คืออาจเกิดรอยไหม้และสะเก็ดสีเข้มบนผิวได้ แล้วก็เป็นวิธีที่ไม่ควรทำบ่อยๆ หรือทำติดๆ กันทั่วใบหน้า เพราะอาจทำให้ผิวฟื้นตัวไม่ทัน
3. ลอกผิวด้วยกรดผลไม้
กรดผลไม้ที่เราคุ้นหูกันดีจะมีอยู่ 2 ตัวด้วยกัน คือ AHA และ BHA ทั้งสองมีความเหมือนและความต่างกันเล็กน้อย โดยมีสรรพคุณโดดเด่นในการเร่งผลัดเซลล์ผิวเหมือนกัน ผิวชั้นนอกสุดจึงหลุดออกและเริ่มทำการซ่อมแซมใหม่ ซึ่งอาจทำให้เกิดความระคายเคืองในผิวบอบบาง หรือเกิดอาการผิวแห้งขาดน้ำได้ ส่วนที่ต่างก็คือ AHA เป็นกรดผลไม้ที่สกัดจากธรรมชาติ สามารถละลายได้ในน้ำ ผ่านเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังได้น้อย
ในขณะที่ BHA เป็นกรดที่สังเคราะห์ขึ้นมา ละลายได้ในไขมัน และผ่านเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังได้ลึกกว่า จะเลือกใช้ตัวไหนลดหลุมสิวก็ตามความสะดวก วิธีนี้จะค่อยๆ ทำให้หลุมสิวเติมเต็มขึ้นเรื่อยๆ
4. ทากรดวิตามินเอ (RETINOIC ACID)
นี่ก็เป็นอีกตัวที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสารสารพัดประโยชน์ต่อผิวหน้า รักษาได้หมดตั้งแต่ฝ้า กระ สิว รอยด่างดำ และแก้ปัญหาผิวไม่เรียบเนียน กรดวิตามินเอตัวนี้ไม่ใช่ตัวเดียวกันกับวิตามินเออย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นอนุพันธ์ที่ถูกสกัดมาจากวิตามินเออีกที เหมาะกับการรักษาที่ไม่ได้รีบร้อนมากนัก และไม่ต้องการให้เกิดสะเก็ดแผลที่ต้องมาดูแลเพิ่มเติมอีกในภายหลัง
กรดวิตามินเอสามารถใช้ได้บ่อยกว่ากรด TCA โดยปริมาณที่เหมาะสมอยู่ที่อาทิตย์ละ 2 ครั้ง
5. ทายาที่อยู่ในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ
ยาลดหลุมสิวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Retin A เพราะเป็นยาตัวแรกๆ ที่ผลิตขึ้นมาสำหรับใช้ลดสิวอุดตัน ต่อมาก็แตกแขนงออกมาเป็นใช้ลดริ้วรอย ลดความมัน เป็นต้น Retin A จะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ริ้วรอยต่างๆ จึงตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สิ่งสำคัญคือไม่ควรใช้ยาตัวนี้ร่วมกับยารักษาสิวตัวอื่นๆ และควรทาแค่บางๆ เท่านั้น ไม่งั้นจะกลายเป็นว่าทำให้หน้าเกิดความระคายเคืองได้
6. ฉีดฟิลเลอร์
ตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าหลุมสิวบางประเภทนั้นรักษาได้ยากมาก และไม่อาจแก้ปัญหาได้ด้วยการทายาเพียงอย่างเดียว ต้องพึ่งพานวัตกรรมทางการแพทย์ร่วมด้วยจึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ ใช้ได้กับระดับ BOX SCAR และ ROLLING SCAR ส่วนใหญ่จะใช้สารเติมเต็มเป็นไฮยาลูรอนิกเอซิด (Hyaluronic Acid) เนื่องจากระคายเคืองและเกิดอาการแพ้ได้น้อยการคอลลาเจนหลายเท่า
ข้อดีคือฉีดแล้วเห็นผลทันทีว่าหลุมเล็กใหญ่บนใบหน้านั้นหายไป อย่างไรก็ตามการฉีดแต่ละครั้งจะคงสภาพไว้ได้ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปีเท่านั้น เป็นการแก้ปัญหาแบบชั่วคราวไม่ใช่ถาวร หากชอบการรักษาแบบนี้ก็แค่กลับมาเติมเพิ่มอีกเมื่อครบกำหนด
7. กรอผิวด้วยอัญมณี
นี่คือการลดหลุมสิว ด้วยการกรอผิวหนังในส่วนของหนังกำพร้าออกไปบางส่วน ซึ่งมีความบางมาก ยังไม่ถึงชั้นผิวที่ทำให้เกิดรอยแผลได้ ไม่เหมือนกับการกรอผิวด้วยเลเซอร์ทั่วไปที่จะต้องดูแลรอยแผลอยู่ระยะหนึ่งหลังการทำ การรักษาด้วยวิธีนี้จึงไม่ยุ่งยากในเรื่องของการดูแล สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติในทันที
ข้อดีคือผิวดูเรียบเนียน หลุมต่างๆ ดูตื้นขึ้น แถมยังมีผลพลอยได้เป็นการช่วยลดรอยด่างดำต่างๆ ด้วย การกรอผิวด้วยอัญมณีนี้เหมาะกับหลุมสิวประเภท BOX SCAR และ ROLLING SCAR
8. การทำ SKIN NEEDING
วิธีนี้อาจไม่ค่อยคุ้นหูมากนัก แต่เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการรักษาความไม่เรียบเนียนของใบหน้า และลดเลือนริ้วรอยต่างๆ โดยเฉพาะ ลักษณะของการทำ Skin Needing คือการใช้อุปกรณ์ที่เป็นเข็มขนาดเล็กมากและมีค่าความยาวที่เหมาะสม บรรจุตัวยาที่ทำหน้าที่กระตุ้นการฟื้นฟูชั้นผิว ฉีดเข้าไปตามจุดต่างๆ ทั่วใบหน้า แล้วลงเซรั่มวิตามินเป็นการปิดท้าย
ความพิเศษของการรักษาแบบนี้ก็คือเร่งให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็ว และไม่ทำให้ผิวชั้นนอกเกิดการลอกออก จึงไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เลย แต่ต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำบริเวณที่ทำการรักษาประมาณ 24 ชั่วโมง พร้อมหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงสัปดาห์แรกด้วย
9. ศัลยกรรมผ่าตัด
สำหรับหลุมสิวประเภท ICE PICK SCAR นั้น ลดหลุมสิวได้ยากมาก เกือบทั้งหมดเหมาะกับการรักษาด้วยการศัลยกรรม เพราะชั้นผิวถูกทำลายลึกมาก ต่อให้ใช้เลเซอร์หรือการกรอผิวก็ไม่ค่อยช่วยให้เห็นความแตกต่างมากเท่าไร จึงต้องจัดการด้วยวิธีนี้ และไม่ใช่แค่
ICE PICK SCAR เท่านั้น หากเป็นประเภทอื่นที่รักษามาทุกรูปแบบแล้วยังไม่หาย ก็ต้องมาจบที่การศัลยกรรมเช่นเดียวกัน โดยที่การศัลยกรรมลักษณะนี้ยังแบ่งออกได้อีก 4 วิธี ได้แก่
Punch excision เป็นการผ่าตัดเอาส่วนของรอยร่องหลุมออก ก่อนเย็บแผลให้ติดกัน
Punch elevation เป็นการผ่าตัดโดยตกเนื้อบริเวณก้นหลุม หรือบริเวณที่ต่ำกว่าให้ขึ้นมาสูงเทียบเท่ากับบริเวณใกล้เคียง
Punch grafting เป็นการนำเนื้อส่วนอื่นมาเติมเต็มหลุม แล้วเย็บปิดเพื่อให้เนื้อเยื่อเจริญเติบโตได้เต็มที่
Elliptical excision เป็นการกรีดร่องหลุมให้เป็นวงรี ก่อนเย็บปิดแผลให้แนบสนิท
ผลข้างเคียงเป็นเรื่องของรอยแผลเป็นขนาดเล็ก แต่ก็สามารถที่จะหายได้เองโดยไม่ต้องรักษาอะไรเพิ่มเติม
10. การทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว
ปิดท้ายด้วยวิธีที่ได้รับความนิยมสูงมากที่สุด เนื่องด้วยไม่เจ็บตัวและหาสถานบริการที่เชี่ยวชาญทำได้ง่าย ส่วนผลลัพธ์นั้นก็ไม่เลวทีเดียว เลเซอร์ที่ใช้เพื่อรักษาหลุมสิวมีหลายประเภท เช่น เลเซอร์ Yag เลเซอร์ Fraxel เลเซอร์ Fractional CO2 เป็นต้น ในรายละเอียดแล้ว แต่ละตัวก็จะมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าใครชื่นชอบแบบไหน อย่างไรก็ตามแกนหลักของการรักษาด้วยเลเซอร์ก็คือการกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ของเดิมนั่นเอง
จะเห็นได้ว่าการรักษา หรือการลดหลุมสิวนั้นยุ่งยากกว่าการป้องกันหลายเท่านัก และการป้องกันก็ไม่ได้ยากเกินไปด้วย ดังนั้นหากอยากมีใบหน้าเรียบเนียน ห่างไกลจากร่องริ้วรอยและหลุมบ่ออันขรุขระต่างๆ ก็ต้องใส่ใจดูแลผิวอย่างถูกต้องเหมาะสมอยู่เสมอ
อ้างอิง
Using Creams for Acne Treatment : https://www.verywellhealth.com/acne-creams-creams-for-acne-2633109
การรักษาหลุมสิว . https://www.mccormickhospital.com/web/articles/blogs/การรักษาหลุมสิว