Tag

บำรุงผิว

Browsing

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ ช่วยให้หน้าเนียนใส ปลอดภัย 100%

การดูแลผิวหน้า เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ดังนั้นทุกคนอาจจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิว ปัญหาผิวไม่สม่ำเสมอ ความกระจ่างใสของผิวหน้า ที่ใคร ๆ ก็อยากจะรักษาหรือบำรุงให้สวยงามตามต้องการอยู่ตลอดเวลา แต่ปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามาทำร้ายผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็น อายุ ฮอร์โมน แสงแดด รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมอย่างมลพิษในปัจจุบัน ทำให้ใครหลายคนเกิดภาวะต่าง ๆ บนใบหน้ามากมาย หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของ การเกิดฝ้านั่นเอง แน่นอนเลยว่าวันนี้พวกเราได้รวบรวมเรื่องของ “ฝ้า” ให้คนรักผิวหน้าได้ทำความเข้าใจ พร้อมทั้งอธิบายถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดฝ้า ผลกระทบที่จะตามมาในอนาคต รวมไปถึง คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการรักษาดูแลไม่ให้เกิดภาวะนี้ และที่สำคัญก็คือการป้องกันไม่ให้ภาวะนี้เข้าใกล้ผิวหน้าของคุณ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดจะรวบรวมข้อมูลที่เมื่อได้อ่านแล้วจะทำให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น เพราะนี่คือการ รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ ช่วยให้หน้าใส ปลอดภัย ไร้กังวล


สาเหตุของการเกิดฝ้า

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ

สำหรับ “ฝ้า” คือปัญหาผิวที่มีลักษณะเป็นวงสีน้ำตาลอ่อน ไปจนถึงเข้ม โดยจะปรากฏออกมาเห็นอย่างชัดเจนในจุดต่าง ๆ บนใบหน้า ตัวอย่างเช่น โหนกแก้ม หน้าผาก รวมทั้งคาง โดยจะมีรู้แบบทั้งฝ้าลึก ฝ้าตื้น โดยปัญหาฝ้าบนใบหน้านั้นเป็นปัญหาที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะมีวิธีการรักษาที่ค่อนข้างยาก ใช้เวลานาน ไม่หายขาด อีกทั้งความมั่นใจที่จะสูญเสียไปกับร่องรอยของ “ฝ้า” ที่จะเป็นผลกระทบทางด้านจิตใจด้วย ดังนั้นทุกคนจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดภาวะนี้ซึ่งพวกเราได้สรุปมาแบบสั้น ๆ เข้าใจง่ายถึง 4 ปัจจัยด้วยกันดังต่อไปนี้ 

1.กรรมพันธุ์ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

กรรมพันธุ์ หรือ จะหมายถึง DNA ที่ส่งต่อมาจากพ่อ แม่ ซึ่งจะต้องบอกเลยว่าเมื่อใครเห็นว่าคนในครอบครัวนั้น เป็นฝ้าอยู่แล้ว ก็อาจจะทำให้ตัวของคุณเองมีความเสี่ยงที่จะเกิดฝ้าได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าจะเป็นการส่งต่อจากรุ่น สู่รุ่น นี่จึงเป็นสาเหตุแรกที่คุณอาจจะเลี่ยงไม่ได้ต่อการเกิดฝ้า อย่างไรก็ตามก็ยังมีวิธีที่จะช่วยให้ยับยั้งไม่ให้ภาวะฝ้าถูกมองเห็นได้ง่าย ๆ จากวิธีการรักษาทั้งแบบธรรมชาติ และการรักษาทางการแพทย์ 

2.ฮอร์โมนในร่างกาย 

การดูแลร่างกาย รักษาสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ ยังคงเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงอยู่เสมอ ซึ่งร่างกายหากอ่อนแอ หรือ ทำงานไม่เป็นระบบ ทุกอย่างก็จะเสียสมดุลไปด้วย ดังนั้นจะส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานผิดพลาด ผิดเวลา นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้าบนใบหน้าเช่นเดียวกัน แต่สำหรับบางรายเช่น คุณผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด หรือ ในช่วยที่กำลังตั้งครรภ์ ก็จะมีภาวการณ์เกิดฝ้าบนใบหน้าด้วยเช่นเดียวกัน  ดังนั้นทางออกของเรื่องนี้ก็คือ จะต้องรักษาสมดุลร่างกายให้คงที่อยู่เสมอเป็นทางดีที่สุด ถึงแม้จะเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับฮอร์โมนด้วยเช่นกัน 

3.อายุ และ กาลเวลา

เวลาหมุนเร็วขึ้นทุกวัน ใช่แล้วสิ่งนี้จะทำให้เรามีอายุที่มากขึ้น ดังนั้นเมื่ออายุมากขึ้น การเกิดฝ้าจะเกิดมากขึ้นในกลุ่มของผู้หญิง มากกว่าผู้ชาย เพราะเมื่ออายุมากขึ้นกลไกในการผลัดเซลล์ผิวของร่างกายก็ทำงานช้าลง อีกทั้งกาลเวลาที่ใช้ชีวิตมาอย่างยาวนาน การรับมลภาวะไม่ดี หรือ สิ่งแวดล้อมที่คอยทำร้ายผิว ก็ส่งผลให้อาจจะเกิดภาวะฝ้าบนใบหน้าได้นั่นเอง อีกหนึ่งเรื่องก็คือคอลลาเจนในผิวผลิตออกมาได้น้อยลงตามอายุ ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระไม่เพียงพอต่อการรักษาสภาพผิวนั่นเอง 

4.แสงแดด ตัวร้ายทำลายผิว

สำหรับอันตรายจากแสงแดดนั้น ถือได้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำร้ายผิวในทุกเรื่อง ซึ่งสาเหตุนี้จะนำไปสู่โรคผิวหนังหลายโรคทั้งบนใบหน้า รวมทั้งผิวกาย  ซึ่งใครที่ได้รับแสงแดดบ่อย ๆ ทำงานกลางแจ้ง จะมีรังสี   UVA  กับ UVB  ที่คอยทำร้ายผิวอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ไม่เคยได้ใช้ครีมกันแดดเลยก็มีโอกาสที่จะเกิดฝ้าบนผิวหน้าสูง สำหรับแสงแดดไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวเท่านั้น แต่แสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์ กับ โทรศัพท์ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คอยทำร้ายผิวอยู่เสมอ 

จะเห็นได้เลยว่าทั้ง 4 สาเหตุนี้ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะฝ้าบนใบหน้า โดยการเกิดภาวะนี้ถึงแม้ว่าไม่ใช่โรคอันตรายแต่ค่อนข้างเสี่ยงมากที่ในอนาคตอาจจะมีการสะสมจนเกิดโรคร้ายแรงอย่าง มะเร็ง  หรือ ผิวหนังอักเสบ ซึ่งจะทำไปสู่ภาวะผิวแพ้ง่าย แต่เรื่องใหญ่เลยก็คือริ้วรอยฝ้าที่ยังคงอยู่บนใบหน้าทำให้สาว ๆ สูญเสียความมั่นใจไปอย่างมาก ด้วยภาวะที่รักษายากใช้เวลานาน อาจจะมีค่าใช้จ่ายสูงในระยะยาวนั้นทำให้ใครหลายคนถึงกับเครียดกับเรื่องนี้จนสุขภาพย่ำแย่ไปมากกว่าเดิมด้วย จึงทำให้การเลือกผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดสำคัญเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามการรักษาฝ้ายังสามารถใช้วิธีทางธรรมชาติ ที่คุณเองสามารถทำได้เองที่บ้านด้วยเช่นกัน แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลากับความอดทนสักหน่อย 


รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ ทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ

หลังจากที่พูดถึงเรื่องสาเหตุของการเกิดฝ้าไปแล้ว คราวนี้พวกเราก็จะมาแนะนำ วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ สามารถทำได้เอง ถึงแม้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยากมาก แต่อาจะต้องใช้เวลา ความอดทน รวมทั้งวินัยในการดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้ผิวที่เป็นฝ้าหายขาดได้ แต่จะทำให้ดูจางลง และมีสุขภาพผิวหน้าที่ดีขึ้นนั่นเอง ซึ่งจะมีวิธีการรักษาในแบบออแกนิก ไร้สารเคมี จะเป็นผลดีต่อทุกสภาพผิวหน้า กับ 7 การรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ ไร้สารเคมี 


1.วิตามิน A , C และ E ช่วยลดฝ้าได้

การรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ เริ่มต้นได้จากการกิน ซึ่งแน่นอนเลยว่า วิตามิน A , C และ E จะมีคุณสมบัติอย่างสารต้านอนุมูลอิสระช่วยให้ลดการเกิดฝ้าได้ โดยวิตามินเหล่านี้มาจากผัก ผลไม้  แต่ทว่าจะต้องได้รับในปริมาณที่พอดีต่อวันไม่เช่นนั้นอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ อีกหนึ่งข้อดีของการรับประทานวิตามินก็คือ จะช่วยให้ผิวแข็งแรง ทนต่อแสงแดดได้ดีนั่นเอง นี่จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากเกิดฝ้ากับ วิตามินเอ ซี และ อี ที่จะช่วยในเรื่องนี้ได้แบบธรรมชาติไร้สารเคมี แต่จะเห็นผลมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน เพราะการดูดซึมวิตามินนั้นไม่เหมือนกัน

2.ว่านหางจระเข้ รักษาฝ้า

อีกหนึ่งสูตรธรรมชาติที่จะทราบกันดีก็คือ “ว่านหางจระเข้” ที่จะเป็นยาสมุนไพรขนานดีใช้สำหรับทาภายนอกเกี่ยวกับ แผล หรือ บำรุงผิว ซึ่งแน่นอนเลยว่าเจ้าพืชชนิดนี้สามารถรักษาฝ้าให้จางลงได้เช่นเดียวกัน โดยใช้ 1 ใบชองว่างหาง เลือกใบที่แก่แล้ว นำมาแช่น้ำ 10 นาที ปอกเปลือกออก ล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปปั่นให้ละเอียด ขั้นตอนต่อมาให้พอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาที ทำแบบนี้เป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยให้ผิวหน้าดูมีความกระชับ ชุ่มชื้น ฝ้าที่เป็นอยู่จะจางลง สามารถใช้วิธีนี้เพื่อเป็นการบำรุงผิวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหน้า แต่วิธีนี้อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษา เพราะแต่ละคนอาจจะเห็นผลช้า หรือ เร็วที่ต่างกัน 

3.หัวไชเท้า พอกหน้า

สูตรรักษาฝ้าแบบธรรมชาติอย่างการใช้ หัวไชเท้านั้น ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับวิธีนี้จะช่วยให้ฝ้าดูจางลง พร้อมทั้งยังลดริ้วรอยต่าง ๆ ได้ พร้อมทั้งทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้นอีกด้วย ซึ่งจะต้องนำหัวไชเท้านั้นมาบดหยาบ ๆ ผสมกับน้ำมะนาวเล็กน้อย แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งเอาไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น โดยจะต้องทำแบบนี้เป็นประจำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือ จะทำวิธีนี้วันเว้นวันก็ได้เช่นกัน แต่วิธีรักษาฝ้าด้วยตัวเอง ข้อควรระวังคือสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายนั้นไม่ควรใช้สูตรนี้ เพราะว่ามีมะนาวที่ออกฤทธิ์เป็นกรด อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบได้นั่นเอง 

4.มะขามเปียก ช่วยลดฝ้า 

อีกหนึ่งวิธีธรรมชาติที่หาได้จากก้นครัว นั่นก็คือ การนำมะขามเปียกมาสกัดน้ำข้น ๆ แล้วนำน้ำมาทาบาง ๆ ในบริเวณที่เป็นฝ้า ก่อนจะปล่อยทิ้งเอาไว้ประมาณ 3-5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผลลัพธ์ของวิธีนี้จะส่งผลให้รอยฝ้าดูจางลง อีกทั้งยังช่วยลดรอยด่างดำได้ดีด้วย ด้วยจุดเด่นของมะขามเปียกที่มีกรด AHA  กับคุณสมบัติที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกนั่นเอง

5.ใบบัวบก เช็ดแทนโทนเนอร์

โดยปกติทั่วไปแล้วเราเองจะใช้ โทนเนอร์ เช็ดเครื่องสำอาง ทำความสะอาดผิวหน้า ก่อนนอนเป็นประจำทุกวัน แต่สำหรับในครั้งนี้ใครที่เป็นฝ้าที่ผิวหน้า ให้นำใบบัวบกมาสกัดเช็ดแทน โดยมีวิธีการก็คือ นำใบบัวบกนั้นมาปั่น กรองเอาแต่น้ำ แล้วนำสำลีมาชุบน้ำสกัดใบบัวบก แล้วเช็ดทำความสะอาดแทน ซึ่งทำทุกวันก่อนนอน จะช่วยลดรอยฝ้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังส่งผลให้ผิวเรียบเนียน เป็นสูตรยอดนิยมที่ทำให้หน้าใส ไร้ริ้วรอยด้วย 

6.สูตรน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์

น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์เป็นอีกหนึ่งวิธีธรรมชาติที่จะช่วยลดฝ้า พร้อมทำให้ผิวเนียนนุ่มได้อีกครั้ง วิธีนี้จะต้องนำน้ำของแอปเปิ้ลไซเดอร์ มาผสมกับน้ำเปล่า เพื่อให้ลดกรดจากน้ำแอปเปิ้ล ต่อมาให้นำสำลีมาชุบแล้วเช็ดไปทั่วไปใบหน้า ก่อนจะปล่อยให้แห้งแล้วทำความสะอาดด้วยน้ำเย็น ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะเห็นผลได้ว่ารอยฝ้าดูจางลง อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวให้ดูกระจ่างใสด้วย

7.ไข่ขาว พอกหน้า ลดฝ้า

ประโยชน์ของไข่เรียกได้ว่ามากมายเหลือล้น แต่งานนี้บอกเลยว่าในวงการความงาม ไข่ขาว จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบทางธรรมชาติที่สำคัญมาก เพราะเมื่อนำมาผสมกับน้ำมะนาว จะได้เหมือนครีมพอกหน้าที่ช่วยลดฝ้าได้ โดยให้นำมาทาไปทั่วบริเวณในจุดที่เกิดฝ้า แล้วปล่อยทิ้งเอาไว้ประมาณ 5-10 นาที ก่อนที่จะล้างออกด้วยโฟมล้างหน้าปกติ โดยทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยดูดซับสิ่งสกปรก ลดรอยฝ้า พร้อมทั้งบำรุงให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนมากขึ้น 

ในปัจจุบันมีครีมรักษาฝ้า รวมทั้ง บำรุงผิวมากมาย แต่สำหรับคนแพ้ง่าย หรือ กลัวที่จะเป็นอย่างอื่นร่วมด้วยก็คงต้องลองวิธีการแบบธรรมชาติที่คุณทำเองได้ที่บ้าน ซึ่งนี่ก็คือ 7 การรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ ไร้สารเคมี ซึ่งจะช่วยให้คนที่ผิวหน้าแพ้ง่าย หรือ ยังไม่มั่นใจ ลองวิธีการลดฝ้าแบบธรรมชาติดูก่อนเป็นอันดับแรก เพราะว่าจะเป็นวิธีที่ปลอดภัย 100% ไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมี หรือ สารตกค้างใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้นทั้ง 7 วิธีนี้ยังใช้ได้ผลด้วย แต่สำหรับช่วงเวลาที่จะเห็นผลลัพธ์นั้นจะต้องใช้ความอดทน ความมีวินัยในการรักษา รวมทั้งการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องของผู้ที่เป็นฝ้า จะต้องป้องกันตัวเองในระดับหนึ่งจากสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า ไม่ว่าจะเป็น แสงแดด หรือ สิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เมื่อรู้แบบนี้แล้วคุณเองก็จะต้องรู้จักวิธีป้องกันการเกิดฝ้าด้วยเช่นกัน 


วิธีป้องกันการเกิดฝ้า

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ

ข้อมูลต่อไปนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการป้องกันการเกิดฝ้า ซึ่งผู้ที่อยู่ในภาวะเป็นฝ้าบนผิวหน้า หรือ ผู้ที่ยังไม่ได้เป็น ก็สามารถศึกษาเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันเป็นข้อมูลได้ ยิ่งไปกว่านั้นใครที่กำลังอยู่ในช่วงรักษาฝ้า ก็จำเป็นอย่างมากที่จะต้องเรียนรู้วิธีดูแลตัวเอง วิธีป้องกันตัวเองจากสาเหตุการเกิดฝ้า เพราะไม่เช่นนั้นแล้วการรักษาก็จะไม่ส่งผลต่อตัวเอง อีกทั้งอาจจะทำให้เกิดฝ้าในจุดอื่นบริเวณใบหน้าด้วยเช่นกัน โดยวิธีการป้องกันทั้งหมดจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 

1.หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ตัวการทำร้ายผิว

แสงแดด คือ อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำร้ายผิวเป็นอย่างมาก เพราะว่ารังสียูวีเอ กับ ยูวีบี ทำร้ายผิวโดยตรง นอกจากการเกิดฝ้า กระ หรือ ทำให้ผิวอักเสบแล้ว ก็ยังส่งผลสะสมให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังในอนาคตได้เช่นกัน แต่ทว่าในความจริงเราเองไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ แต่ก็จะต้องขอแนะนำเลยว่าป้องกันด้วยการหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดในช่วงเวลาตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง บ่าย 3 โมงเย็น แต่สำหรับในปัจจุบันแล้วแดดอาจจะจัดไปถึงช่วงเวลา 4 – 5 โมงเย็นเลยทีเดียว อีกทั้งการใส่หมวก หรือ พกร่ม เสื้อแขนยาว ก็จะช่วยให้คุณลดอันตรายจากแสงแดดได้ในระดับหนึ่งเลย 

2.ทาครีมกันแดด อย่างสม่ำเสมอ 

ครีมกันแดด คือ อีกหนึ่งเครื่องสำอางบำรุงผิวที่กลายเป็นหนึ่งในไอเทมสำคัญ สำหรับคุณผู้ชาย กับ คุณผู้หญิงไปแล้ว เพราะว่าเจ้าครีมกันแดดนี่แหละ จะช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีที่อยู่ในแสงแดด รวมทั้งมลภาวะต่าง ๆ ที่ร่างกาย หรือ ผิวหน้าได้รับ ไม่ว่าจะเป็น แสงสีฟ้า หรือ ฝุ่น ควัน ก็จะช่วยเป็นหนึ่งในเกราะป้องกันสิ่งเหล่านั้น ไม่ให้มาทำร้ายผิว สำหรับใครที่ไม่เคยใช้ครีมกันแดดเลย อาจจะเกิดฝ้าฝังลึกจนยากที่จะรักษาในอนาคตด้วยนั่นเอง แน่นอนเลยว่า ครีมกันแดด จำเป็นจะต้องทาทุกวัน หรือ ทุกกิจกรรม ถึงแม้ว่าไม่ได้ออกจากบ้าน ก็ยังมีแสงสีฟ้า พร้อมกับ รังสียูวีที่เข้ามากระทบได้จากทุกที่ ซึ่งการเลือกครีมกันแดด ก็จะต้องเลือกค่า SPF50 ขึ้นไป พร้อมกับ PA++++ จะเป็นค่าที่ดูแลผิวของเราได้อย่างดีที่สุด หากคุณไม่รู้ว่าจะทาครีมกันแดดแบบไหนดี คุณอาจสนใจบทความนี้ รีวิวกันแดดทาหน้ายอดนิยม

3.เลือกครีมบำรุงผิวให้ดี 

ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้า หรือ ผิวกาย ก็ต้องการการดูแลใส่ใจ การเลือกครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับผิว จะช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้น อีกทั้งการเลือกครีมที่ไม่มีส่วนผสมของ แอลกอฮอล์ กับ น้ำหอม ก็จะช่วยให้ผิวของคุณห่างไกลฝ้าได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน การใช้ทาผิวอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยบำรุงผิวให้เรียบเนียน ดูสุขภาพดีได้นั่นเอง 

4.ดูแลสุขภาพ ด้วยอาหาร

หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีส่วนทำร้ายร่างกายทางอ้อม รวมทั้ง ควันบุหรี่ ที่มีสารเคมีที่ทำร้ายผิวได้ด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นแล้วยังส่งผลต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตด้วย ดังนั้นการเลือกทานอาหารจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะป้องกันการเกิดฝ้าด้วยเช่นกัน เพราะการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ รวมทั้งการบำรุงไปด้วยผัก ผลไม้ ที่มีวิตามินซี อี เอ ที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ผิวแข็งแรง ก็จะเกิดฝ้าขึ้นได้ยาก ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระก็จะช่วยให้ริ้วรอยเกิดยาก ซึ่งสุขภาพดีก็มาจากอาหารด้วยส่วนใหญ่ ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยให้คุณห่างไกลฝ้า และ โรคภัยอื่น ๆ ได้นั่นเอง 

5.การออกกำลังกาย ความเครียด 

อีกหนึ่งวิธีป้องกันที่จะช่วยให้ร่างกายแข็ง ห่างไกลฝ้า ถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีอ้อม ๆ ที่อาจจะถูกมองว่าเน้นไปทางผลลัพธ์ทางร่างกายแข็งแรงมากกว่า แต่เชื่อหรือไม่ว่าการออกกำลังกายจะช่วยให้สุขภาพภายในของร่างกายดี ส่งผลให้มีผิวพรรณที่เรียบเนียน เปล่งปลั่ง การทำงานของระบบภายในร่างกายปกติ ลดความเครียด วิตกกังวล มองโลกในแง่ดี ซึ่งใครที่มีภาวะความเครียดเกิดขึ้น ต้องบอกเลยว่าจะมีแต่โรคภัยเข้ามารุมเร้าในช่วงที่ร่างกายกำลังอ่อนแอแน่นอน ดังนั้นการออกกำลังกายควรจะเกิดขึ้นอย่างน้อยวันละ 30 นาที ส่วนความเครียด ใครที่เป็นอยู่ก็ต้องมองหาเรื่องผ่อนคลายทำ เช่น ออกไปเที่ยว หรือ ทำกิจกรรมคลายเครียด 

สำหรับวิธีการป้องกัน จะสอดคล้องกับการรักษา ไม่ว่าคุณเองจะทำการรักษาอยู่หรือไม่ พฤติกรรมเหล่านี้ก็ควรจะต้องยึดเอาไว้เป็นตัวอย่างเพื่อไม่ให้ในอนาคตเป็นฝ้าบนผิวหน้า อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ช่วยทำให้คุณมีสุขภาพดี ทั้งร่างกาย ผิวพรรณ อารมณ์ ซึ่งบอกเลยว่าเป็นข้อดีทั้งหมดถ้าหากว่าคุณเองสามารถทำตามได้ ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ไม่ได้ลดฝ้าเพียงอย่างเดียว


เรียกได้ว่าปัญหาผิวหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับทุกคน เพราะคือจุดที่จะทำให้คุณมีความมั่นใจในการใช้ชีวิต ซึ่งไม่มีใครอยากให้ผิวหน้าตัวเองมีสิว หรือ กระ หรือ เป็นฝ้า เพราะจะทำให้สุขภาพจิตย่ำแย่ตามไปด้วย แน่นอนเลยว่าการดูแล ป้องกัน ด้วยวิธีการที่พวกเราได้รวบรวมข้อมูลมาแนะนำกันในบทความข้างต้น ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยาก แต่จำเป็นจะต้องใช้วินัยสูงในการดูแลรักษาตัวเอง การป้องกัน การบำรุงผิวที่สม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณมีผิวพรรณที่ดี ไม่เป็นฝ้า พวกเราเชื่อเลยว่า 7 วิธี รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ รวมทั้ง สาเหตุ กับ วิธีป้องกันฝ้า จะช่วยให้คุณเข้าใจภาวะนี้มากขึ้น เพราถึงแม้ว่าจะไม่ได้ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่ก็เป็นอีกหนึ่งภาวะที่รักษาให้หายยาก พร้อมทั้งเกิดความวิตกกังวล สุดท้ายนี้ถ้าอยากให้สุขภาพแข็งก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และ ลดความเครียด แล้วชีวิตจะดีขึ้น 


อ้างอิงจาก

5 วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ หน้าเนียนใส หายขาดได้แน่นอน (trueid.net)

6 สูตรรักษาฝ้าจากธรรมชาติ เนรมิตหน้าใส อวดความมั่นใจอีกครั้ง (sanook.com)

8 สูตรรักษาฝ้า กระ จากธรรมชาติ ปลอดภัยและได้ผลจริง – sophistmedic

บอกต่อ! 6 อันดับ ครีมทาฝ้า รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ เห็นผลจริงและเร็วที่สุด (sistacafe.com)

รูขุมขนกว้างทําไงดี ? รวมวิธีบำรุงและดูแลให้ใบหน้ากระชับขึ้น

รูขุมขนกว้างทําไงดี ? รวมวิธีบำรุงและดูแลให้ใบหน้ากระชับขึ้น

ปัญหาเรื่องผิวถือว่าเป็นเรื่องของความมั่นใจในการใช้ชีวิตในประจำวัน ในหลายคนจึงให้ความสำคัญในการดูแลบำรุงผิวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะผิวกายหรือผิวหน้า และอีกหนึ่งปัญหาที่คุ้นเคย ไม่ว่าจะยุคไหนหรือวัยใดคือปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้าง ซึ่งเกิดได้บ่อยมาก ๆ แม้ว่าจะไม่ได้มีโทษหรือสร้างความเจ็บปวด แต่หลายคนก็สูญเสียความมั่นใจไปเลยก็มี วันนี้เราเลยจะพามาไขข้อข้องใจ รูขุมขนกว้างทําไงดี พร้อวิธีบำรุงและดูแลให้ใบหน้ากระชับขึ้น


แล้วรูขุมขนกว้าง ทำไงดี ? สาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่

รูขุมขนกว้างทําไงดี

เคยสังเกตตัวเองไหมว่า เมื่ออายุยังไม่เข้าสู่วัยรุ่นหรือช่วงวัยรุ่นตอนต้น ผิวของเราทุกคนเรียบเนียบและไม่มีรูขุมขนขรุขระเลย จนกระทั่งฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงและสภาพผิวที่เปลี่ยนไป และเมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไปรูขุมขนก็มีโอกาสขยายใหญ่ขึ้นได้อีกตามธรรมชาติ! แค่ฟังก็น่าตกใจแล้วใช่ไหม แล้วยังมีอีกสาเหตุอื่นอีกไหมที่เป็นต้นตอของเจ้ารูขุมขน มาดูกันเลยดีกว่า

เกิดจากพันธุกรรม เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะสายพันธุได้ส่งต่อกันมา การรักษาทำได้เพียงให้ขุมขนไม่ขยายใหญ่ไปมากกว่านี้

ฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะช่วงวุยแตกหนุ่มสาวที่มีการผลิตฮอร์โมนมากจำนวนมาก หน้าจึงผลิตน้ำมัน (เซบัม) มากเกินไป ทำให้ผิวต้องการขับความมันออกมาจากรูขุมขนและทำให้รูขุมขนขยายใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

ผู้มีปัญหาสิว แน่นอนว่าสิวเกิดจากไขมันในรูขุมขนอุดตัน อาจจะเป็นทั้งจากฮอร์โมน หรือสิ่งเร้าต่าง ๆ เมื่อสิวเกิดขึ้นไม่ว่าจะสิวอักเสบ สิวผด สิวเสี้ยน การที่ไขมันอุดตันผสมกับเซบัมส่วนเกินบนใบหน้า หากไม่ได้รับการรักษาสิวอย่างถูกวิธีและต่อเนื่อง ผิวก็สามารถเกิดรูขุมขนกว้างอย่างถาวรได้เช่นกัน

สภาพอากาศ แต่ละคนมีผิวหน้าที่ต่างกัน สภาพอากาศรอบตัวก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดรูขุมขนได้ เช่น สภาพอากาศหนาวเย็น ทำให้ผิวแห้งง่าย หากได้ระบความชุ่มชื้นไม่มากพอก็จะหน้าแห้ง เกิดรูขุมขนกว้าง หรือ สภาพอากาศที่ร้อนจัดเหงื่ออกบ่อย ร่างกายขับน้ำมันเซบัมออกจากผิวทำให้รูขุมขนขยายระบายนำมันและความร้อน เป็นต้น

สภาวะด้านจิตใจ ความเครียด หลายคนคงสงสัยว่าความเครียดเกี่ยวข้องได้อย่างไร เราจะมาไขข้อสงสัยกันที่นี่ ความเครียดหรือ Cortisol คือ ฮอร์โมนความเครียดของร่างกาย เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะผลิตคอร์ติซอลเป็นจำนวนมากส่งผลให้ไปกระตุ้นการสร้างน้ำมันบนร่างกาย โดยเฉพาะใบหน้าของเรา
ดูแลผิวอย่างไม่เหมาะสม กล่าวคือการขัดผิวที่มากเกินไป หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว จนเป็นสาเหตุให้ผิวอ่อนแอ เกิดรูขุมขนอุดตัน หรือผลัดผิวมากเกินไปแต่ขาดความชุ่มชื้นจนเกิดอาการแสบแดง

ทำความสะอาดได้ไม่หมดจดพอ ปัญหานี้เกิดขึ้นได้กับผู้ที่ล้างหน้าไม่สะอาด ล้างเพียงน้ำเปล่า ล้างเครื่องสำอางค์ไม่หมดหรือนอนทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เช็ดเครื่องสำอางค์ จนเกิดสภาวะไขมันอุดตันบนใบหน้า

ไม่ใช้ครีมกันแดด การโดนแสงแดดประจำโดยขาดการป้องกัน ทำให้ชั้นผิวอิลาสตินเสื่อมลง นั่นหมายความว่าคอลลาเจนในผิวก็จะเสื่อมลงไปด้วย ทำให้ผิวเหี่ยวแห้ง หย่อยคล้อย รูขุมขนกว้าขึ้นเพราะการทำงานของคอลลาเจนที่สะสมไว้ใต้ชั้นผิวลดลง ฉะนั้นอย่าลืมทาครีมกันแดดรองพื้นปกปิดเพื่อป้องกันแสงยูวีทำร้ายผิวหนัง รวมถึงยังสามารถช่วยปกปิดรูขุมขนได้อีกด้วย

ไม่ใช้ครีมบำรุงผิว ไม่จำเป็นต้องเป็นเซรั่มหรือโทนเนอร์ราคาแพง การที่ผิวได้รับความชุ่มชื้นจากมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เป็นเรื่องพื้นฐานของผิวที่ดีและมีน้ำ


12 วิธีกระชับรูขุมขน ให้ใบหน้าเนียนใสยิ่งขึ้น

รูขุมขนกว้างทําไงดี

ถึงแม้ว่าสาเหตุที่กระตุ้นการเกิดรูขุมขนกว้างนั้นมีมากมาย หรือใครที่มีรูขุมขนกว้างแล้วก็ตามจงอย่าได้เสียใจไป เพราะเรามีสารพัดวิธีกระชับรูขุมขนให้กลับมาเล็กลงอย่าแน่นอน

1.รักษาความสะอาด

ไม่ว่าจะชำระล้างร่างกายหรือใบหน้าควรใช้เวลาฟอกถูนำสิ่งสกปรกออกไปให้หมด สำหรับคนที่แต่งหน้าควรทำการดับเบิ้ลคลีนซิ่ง (Double Cleaning) ด้วยผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางค์ตามที่คุณประสงค์ เพื่อให้คราบเครื่องสำอางค์ชะล้างออกไปให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะล้างหน้าด้วยคลีนซิ่งโฟมหรืออื่น ๆ ตามปกติ และควรล้างอย่างเบามือ ไม่ขัดถูแรงจนเกินไป

2.ไม่ล้างหน้าบ่อยเกินไป

ควรล้างวันละ 2 ครั้งเท่านั้นจึงจะพอดี เป็นการล้างหน้าแบบถูกวิธี เพราะยิ่งล้างออกมากก็ยิ่งกระตุ้นให้ต่อมรูขุมขนกระตุ้นผลิตน้ำมันออกมากปกป้องรักษาความชุ่มชื้นบนใบหน้า ฉะนั้นแล้วหากคุณเหงื่อไหลออกมากแนะนำว่าให้ซับออกก็เพียงพอ แล้วฉีดสเปรย์น้ำแร่ในบางท่านที่ต้องการความเย็นชุ่มฉ่ำ

3.ใช้โทนเนอร์ปราศจากแอลกอฮอล

ในสภาพผิวหน้าของบางคนมีความมันมากเกินไป โทนเนอร์จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยกำจัดความมันก่อนเตรียมลงผิวในขั้นตอนต่อไป หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่มีแอลกอฮอลจัดเพราะว่ายิ่งทำให้ผิวหน้าระคายเคืองและเกิดสิวขึ้นได้

4.ใช้ครีมบำรุงผิวให้ถูกกับสภาพผิวหน้า

คือการเติมน้ำให้กับผิวนั่นเอง หลายคนที่ผิวมันอาจจะขัดใจว่าผวมันแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงเพิ่มน้ำ เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะไม่ว่าสภาพผิวใดต่างก็ต้องการความชุ่มชื้น และแต่ละผิวต้องการเนื้อครีมที่แตกต่างกันจึงต้องเลือกใช้ครีมให้เหมาะกับผิวหน้าจึงจะสามารถช่วยบำรุงได้อย่างถูกจุด

  • ผิวมัน ใช้มอยซ์เจอร์ไรซ์เซอร์ประเภทเนื้อเจลหรือโลชั่นเนื้อบางเบา จะลงการอุดตันของผิวได้
  • ผิวแห้ง ใช้มอยซ์เจอร์ไรซ์เซอร์ประเภทเนื้อครีม แต่ควรมีการวอร์มอัพที่ฝ่าก่อนลงบนใบหน้าจะดีที่สุด จากนั้นใช้ฝ่ามือที่มีครีมแปะลงบนผิวหน้าให้ทั่วอย่างบางเบา
  • ผิวผสม ใช้มอยซ์เจอร์ไรซ์เซอร์ประเภทเนื้อเจลหรือเนื้อครีมก็ได้

5. ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ

นอกจากความชุ่มชื้นแล้ว ผิวยังต้องการเกราะป้องกันอีกชั้นจากแสงแดด ขึ้นชื่อว่าแสงแดดเป็นศัตรูธรรมชาติร้ายกาจที่ทำลายชั้นผิวของเราได้อย่างรุนแรง ดังนั้นหลีกหลีกผิวมันและแห้งกร้านจากรังสียูวีที่เป็นสาเหตุรูขุมขนกว้าง แนะนำให้ทาครีมกันแดดทุกวัน อย่างน้อย SFP 30 PA++++ และทาซ้ำทุกๆ 3-4ชั่วโมง

6. ลดการรับประทานของทอด

น้ำมันเยิ้ม และอาการเค็มจัด ของทอดกรอบน้ำมันเยิ้มตั่งต่าง นอกจากจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีความสัมพันธ์กับความมันบนใบหน้าอีกด้วย ดังนั้นการรับประทานอาหารที่เกี่ยวข้องกับภายในสำคัญมาก ถ้าหากสุขภาพลำไว้และภายในดี ผิวก็จะเปล่งปลั่งสุขภาพดี คอลลาเจนในร่างกายยังทำงานได้ดี ทำชะลอการเกิดรูขุมขนกว้างเมื่ออายุที่มากขึ้น

7. เลือกเครื่องสำอางค์ประเภทปราศจากน้ำมัน

โดยเฉพาะคนที่มีผิวหน้ามัน ผลิตภัณฑ์ประเภทออยล์เบส (Oil based) ยิ่งเสี่ยงรูขุมขนอุดตันมากยิ่งขึ้นแม้ว่าจะเคลมว่าเนื้อสัมผัสเบาบางและออร์แกนิคมากเท่าไร เนื้อสัมผัสนั้นยังคงเป็นน้ำมันอยู่ดี หากให้แนะนำ ใช้เป็นแป้งรองพื้นที่ควบคุมความมันที่มีส่วนผสมของ Licorice Extract, EGCG (Green Tea Extract), Vitamin B6 (Pyridoxine Hydrochloride), Zinc PCA, Bakuchiol, Copper PCA, Methylsulfonylmethane, Ammonium Glycyrrhizate, Salicylic Acid และ Silicone จะดีกว่า ทริคเพิ่มเติมเกี่ยวกับซิลิโคน (Silicone) ว่าไม่ได้เป็นสารอันตราย หรือกระตุ้นเกิดสิวแต่อย่างใด แต่เจ้าสารเคมีตัวนีจะช่วยกักเก็บน้ำล็อคผิวไว้นั่นเอง

8. ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นยาวิเศษที่ไม่มีราคาต้องจ่าย เมื่อร่างกายได้ออกแรง ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดหมุนเวียนร่างกายได้ดีมากขึ้น เลือดที่หมุนเวียนในบริเวณใบหน้าก็ยิ่งดีมากขึ้นและมีเลือดฝาด รูขุมขนกระชับ และหน้าใสเปล่งประกาย

9. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

เมื่อร่างกายของคุณได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ใบหน้าที่ล้าโ?รมก็จะไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไป เวลานอนนั้นสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับระบบภายในและระบบฮอร์โมนอย่างชัดเจน จะสังเกตได้ว่าเมื่อเวลานอนน้อยคุณจะไม่สดชื่น หิวบ่อย ใบหน้าซีดเซียว ฮอร์โมนที่ทำงานได้ไม่ดีจะส่งผลให้สุขภาพผิวแย่และเกิดการสร้าน้ำมันเซบัมเกินความจำเป็น (เพราะร่างกายเกิดควาวมเครียดและอ่อนล้า) เกิดรูขุมขนกว้างขยายใหญ่ขึ้นตามมาอย่าหลีกเลี่ยงไม่ได้

10. ดื่มน้ำเป็นประจำ

น้ำเป็นสื่งที่หล่อเลี้ยงร่างกายให้สมดุล ดังนั้นหากดื่มน้ำไม่เพียงพอก็สามารถเกิดหลายอาการ เช่น เลือดหมุนไหลเวียนได้ไม่ดี ท้องผูก ผิวแห้ง ไตทำงานาหนักขึ้น อาการต่าง ๆ เหล่านี้เป็นจุดก่อเกิดรูขุมขนที่กว้างบนใบหน้าตามมา ดังนั้นควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 3 ลิตร หรือพยายามจิบน้ำบ่อยให้ได้มากที่สุด เพื่อรักษาความชุ่มชื้นในร่างกายและความดันเลือดอย่างสม่ำเสมอ

11. รับประทานคอลลาเจน

คอลลาเจนไม่ได้ช่วยเพียเรื่องผิวขาวสวยอย่างเดียว แต่รูขุมขนจะกระชับขึ้นเพราะร่างกายได้รับคอลลาเจนได้ปริมาณที่สมควรได้รับและคอลลาเจนส่วนใหญ่ก็จช่วยสร้างสายใยโปรตีนที่เป็นพื้นฐานของการผลิตคอลลาเจนในร่างกายอีกด้วย

12. พิโค่เลเซอร์ (Pico Laser)

เทคโนโลยีล่าสุดและได้ผลไวที่สุดแม้จะต้องแลกการความเจ็บสักเล็กน้อย โดยจะเป็นคลื่น Alexandrite 755 นาโนเมตร (nm) ทำให้เม็ดสีเกิดการสั่นสะเทือนระดับสูง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้รูขุมขนกระชับอย่ารวดเร็ว แต่อย่างไรก็ดีควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง


สรุปได้ว่ามีปัจจัยหลากหลายสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดรูขุมขนกว้าง ไม่ว่าจะพันธุกรรม อาหาร สภาพอากาศ สภาพผิวหรือผลิตภัณฑ์บำรุงใบหน้าที่ใช้เป็นประจำ ดังนั้นเมื่อเราที่มาและสาเหตุกระตุ้นต่าง ๆ ก็จะหลีกเลี่ยงรูขุมขนที่กว้างขึ้นได้เป็นอย่างดี เริ่มตั้งแต่อาหารการกิน การใช้ชีวิตประจำให้ระมัดระวังมากขึ้น และในสำหรับคนที่ใจร้อนแต่ไม่ร้อนเงิน ในปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้เนรมิตรูขุมขนให้จางหายไปในเวลาอันสั้นอย่างง่ายดาย


ที่มา

https://aedit.com/concern/large-pores
https://www.aad.org/public/everyday-care/skin-care-secrets/face/treat-large-pores

ผิวหน้าไม่เรียบ รูขุมขนกว้าง จัดการอย่างไรดี?

ผิวหน้าไม่เรียบ รูขุมขนกว้าง จัดการอย่างไรดี?

ปัญหา ผิวหน้าไม่เรียบ รูขุมขนกว้างถือเป็นเรื่องที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้นกับใบหน้าของตน แต่บางครั้งก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องหาวิธีจัดการให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียน ซึ่งวันนี้เรามีเทคนิคการดูแลและบำรุงผิวหน้าให้เรียบเนียนมากฝากกัน รับรองว่าทุกวิธีเด็ดจริง ๆ 


สาเหตุที่ทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียน

ผิวหน้าไม่เรียบ

การที่ผิวหน้าของเราไม่เรียบเนียนมีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ ก็คือ ความเสื่อมของสภาพผิว โดยเฉพาะปริมาณคอลลาเจนและอีลาสตินที่อยู่ใต้ผิวมีปริมาณลดลง เนื่องจากคอลลาเจนและอีลาสตินเป็นตัวที่ปรับสภาพผิวให้มีความแข็งแรง เรียบเนียนและรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว ดังนั้นเมื่อเซลล์มีปริมาณคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง จึงทำให้รูขุมขนกว้าง ผิวหยาบ ไม่เรียบเนียนนั่นเอง ฉะนั้นแล้วใครที่กำลังมองหาวิธีดูแลให้รูขุมขนกว้างเล็กลงมาดูกันว่าต้องทำอย่างไรบ้าง


ทำไมรูขุมขนบนใบหน้าถึงกว้างขึ้น

ผิวหน้าไม่เรียบ

ผิวหน้าที่ไม่เรียบจะสังเกตเห็นชัดก็ต่อเมื่อรูขุมขนบนใบหน้ามีขนาดที่กว้างขึ้น ยิ่งรูขุมขนกว้าง ผิวหน้าก็จะขรุขระมากขึ้น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้รูขุมขนบนใบหน้ากว้างมีดังนี้

  1. อายุ เมื่ออายุมากขึ้น ผิวจะมีความเสื่อมมากขึ้นและมีอัตราการสร้างคอลลาเจนกับอีลาสตินใต้ผิวน้อยลง ส่งผลให้รูขุมขนมีการสะสมของน้ำมันและไขมนันมากขึ้น ทำให้รูขุมขนมีขนาดกว้างขึ้นเมื่อายุมากขึ้น ยิ่งอายุมากขึ้นรูขุมขนก็จะกว้างมากขึ้นด้วย
  2. ชนิดของผิว ผู้ที่มีผิวมันและผิวผสมจะมีการสะสมของน้ำมันที่บริเวณรูขุมขนมากกว่ผู้ที่มีผิวธรรมดาหรือผิวแห้ง เมื่อผิวมีน้ำมันมากก็จะเข้าไปสะสมอยู่ที่บริเวณรูขุมขนมากขึ้น ทำให้รูขุมขนเกิดการขยายตัวและมีขนาดกว้างขึ้น 
  3. พันธุกรรม จากการสำรวจพบว่าผู้ที่คนในครอบครัวมีรูขุมขนกว้างจะมีลักษณะรูขุมขนที่กว้างตามไปด้วย ซึ่งรูขุมขนกว้างที่เกิดจากพันธุกรรมจะสังเกตเห็นได้ตั้งแต่เด็กหรือช่วงที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เรียกได้ว่าเป็นสาเหตุที่สามารถสังเกตเห็นได้เร็วที่สุด 
  4. การดูแลผิวที่ผิด ปัญหาผิวมีอยู่ด้วยกันหลายอย่าง โดยเฉพาะปัญหาสิวเป็นสาเหตุที่ทำให้รูขุมขนกว้างได้ง่าย เพราะเวลาที่เกิดสิว หากทำการบีบ กดหรือแกะสิวจะทำให้รูขุมขนเกิดการอักเสบและมีขนาดที่กว้างขึ้น นอกจากนี้การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่ไม่เหมาะสมหรือทำตามขั้นตอนการทาสกินแคร์ที่ผิด ก็อาจทำให้มีความมันตกค้างอยู่บนผิวหน้ามากก็จะทำให้รูขุมขนกว้างขึ้นได้เช่นกัน

จะเห็นว่าสาเหตุที่ทำให้รูขุมขนกว้างสามารถเกิดขึ้นอยู่ได้ตลอดเวลา เมื่อรูขุมขนกว้างก็จะทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียน ส่งผลให้สูญเสียความมั่นใจได้ 


7 วิธีบำรุงผิวหน้าให้เรียบเนียน

ผิวหน้าไม่เรียบ

ปัญหาผิวหน้าไม่เรียบ รูขุมขนกว้างสามารถแก้ไขได้ด้วยการบำรุงผิวหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการบำรุงผิวหน้าให้เรียบเนียนมีวิธีดังนี้

  1. ดูแลผิวหน้าให้สะอาด ความสะอาดของผิวหน้ามีความสำคัญมาก เพราะผิวหน้าที่ไม่สะอาดจะทำให้มีการสะสมสิ่งสกปรก ไขมันและน้ำมันในรูขุมขนมากขึ้น ทำให้เกิดสิวซึ่งเป็นสาเหตุของรูขุมขนกว้าง ดังนั้นควรเลือกการใช้คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสําอางและล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้ง หลังจากแต่งหน้าและก่อนนอน
  2. บำรุงด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวหน้า แต่ละคนมีผิวหน้าที่ต่างกันออกไป ดังนั้นควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิวของตนเอง โดยเฉพาะคนที่มีผิวมันและผิวผสมที่มีปริมาณน้ำมันบนผิวมากกว่าผิวชนิดอื่น จะต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวโดยเฉพาะ เพื่อลดปริมาณน้ำมันบนผิวให้เหมาะสม ลดการสะสมของน้ำมันบนใบหน้าและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เน้นกระชับรูขุมขน สำหรับคนที่มีรูขุมขนกว้าง
  3. ขัดผิว การขัดผิวด้วยสครับหรือผลิตล้างหน้าที่มีสครับเป็นประจำจะช่วยขัดสิ่งสกปรกตกค้างที่อยู่บนผิวให้ออกไป และช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกระชับ ในการล้างหน้าสครับหรือการสครับผิวจะต้องทำด้วยความเบามือ โดยการหมุนวนเป็นวงกลมไปเล็ก ๆ ไปจนรอบผิวหน้า ห้ามขัดด้วยความรุนแรง เพราะจะทำให้ผิวหน้าอักเสบแดงและเป็นรอยแผลได้ 
  4. มาส์กหน้า การมาส์กหน้าอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง โดยเลือกมาส์กชนิดที่เสริมความชุ่มชื้นและดูดซึมไขมันส่วนเกิน ซึ่งการมาส์กหน้าจะช่วยดูดไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ในรูขุมขนแบบล้ำลึกที่การล้างหน้าธรรมดาไม่สามารถขจัดออกได้ ให้ออกมาจากรูขุมขน ทำให้รูขุมขนสะอาดและกระชับ โดยมาส์กหน้าที่นิยมใช้กระชับรูขุมขนคือ มาส์กแบบโคลนที่สามารถดูดซึมไขมันได้ดีมาก
  5. เสริมคอลลาเจน การที่คอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวมีปริมาณลดลงทำให้รูขุมขนมีขนาดที่กว้างขึ้น ดังนั้นเพื่อปรับขนาดรูขุมขนให้เล็กลงและปรับสภาพผิวหน้าให้เรียบ เนียน นุ่ม เปล่งปลั่งจะต้องเสริมปริมาณคอลลาเจนลีลาสตินให้กับผิว ด้วยการเลือกอาหารประเภทโปรตีน ผักผลไม้ เช่น ถั่ว ผักผลไม้สีแดง ปลาทะเลน้ำลึก เป็นต้น 
  6. ดื่มน้ำมากๆ เซลล์มีส่วนประกอบของน้ำมากถึง 80% โดยเฉพาะเซลล์ผิวหน้าและเซลล์รูขุมขน หากร่างกายขาดน้ำ เซลล์ผิวจะแห้ง หยาบกระด้างและทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน เพื่อไม่ให้เซลล์เกิดภาวะขาดน้ำ ซึ่งจะทำให้ผิวชุ่มชื้นและรูขุมขนเล็กลง
  7. นอนพักให้เพียงพอ ถึงแม้ว่าเราจะบำรุงผิวมากแค่ไหน หากร่างกายได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ สิ่งที่บำรุงเข้าไปไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารเพื่อเสริมสารอาหารและคอลลาเจน การทาครีม การบำรุงผิวต่างๆ ก็จะไม่ทำให้ผิวเนียนได้ เพราะร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมเซลล์ผิวให้กลับมาแข็งแรงได้ ดังนั้นเราจะต้องพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อร่างกายจะได้ทำการซ่อมแซมเซลล์ในช่วงที่เรานอนได้อย่างเต็มที่นั่นเอง 

จะเห็นว่าการบำรุงผิวให้เรียบเนียนนั้นง่ายมาก แต่ถ้าเราไม่สามารถหาสารอาหารให้เพียงพอ โดยเฉพาะคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวเนียนและแข็งแรงมากขึ้น ควรหาอาหารเสริมคอลลาเจนมารับประทานร่วมด้วย เพียงเท่านี้ผิวเรียบเนียนก็จะมาอยู่บนใบหน้าของคุณแล้ว


ที่มา

https://hellokhunmor.com/

https://theskin.co.th/article/uneven-skin-tone-wide-pores-how-to-fix-it/

เลือกใช้ครีมให้เหมาะกับผิวหน้ายังไงดี ให้หน้ากระจ่างใส

เมื่ออายุมากขึ้น ผิวจะยืดหยุ่นน้อยลงและกักเก็บน้ำมันและน้ำได้น้อยลง ซึ่งจะทำให้ผิวแห้งตึงและยืดหยุ่นน้อยลง เพื่อต่อสู้กับสิ่งนี้ หลายคนหันไป เลือกใช้ครีม ทาหน้าเพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและปกป้องผิว ครีมบำรุงผิวหน้ามีหลายประเภทและแต่ละประเภทก็มีข้อดีและข้อเสียต่างกันไป


หน้ามัน แห้ง ผิวผสม หรือแพ้ง่าย เลือกใช้ครีม บำรุงผิวหน้ายังไงดี

หลายคนที่กำลังมองหาครีมบำรุงผิวหน้านั้น อาจจะเกิดข้อสงสัยว่าในเมื่อผิวของเราแต่ละคนนั้นมีสภาพที่แตกต่างกัน อย่างนั้นแล้วแต่ละสภาพผิวนั้นควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวหน้าแบบใดจึงจะได้ประโยชน์ และทำให้สุภาพผิวได้อัปเกรดมากที่สุด วันนี้เราจะไปดูว่าสภาพผิวแบบต่างๆ ควร เลือกใช้ครีม บำรุงผิวหน้าแบบไหนถึงจะดีต่อผิว

หน้ามัน แห้ง ผิวผสม หรือแพ้ง่าย เลือกใช้ครีม บำรุงผิวหน้ายังไงดี

ผิวธรรมดา

คนที่มีผิวธรรมดานั้นถือว่าโชคดีมาก เพราะว่าผิวธรรมดาเป็นผิวที่ดูแลได้ง่ายมาก ไม่ต้องคอยหงุดหงิดกับความมันที่เกิดขึ้นได้ง่าย และก็ไม่ต้องคอยดูแลเรื่องผิวแห้งกร้าน เพราะว่ามีรูขุมขนที่ละเอียดมาก ขอเพียงเลือกครีมบำรุงผิวหน้าที่มีผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ในการทาผิวพรรณตอนเช้าและก่อนนอนก็เพียงพอแล้ว หรือหากว่าต้องออกกิจกรรมระหว่างวันที่ต้องพบเจอกับแสงแดด อาจจะทาครีมป้องกันรังสียูวีหรือครีมกันแดดรองพื้น เพื่อช่วยเรื่องการปกป้องผิวด้วยก็ได้ ถือว่าผิวธรรมดาดูแลกันได้ง่ายจริงๆ

ผิวมัน

ผิวมัน ถือว่าเป็นสภาพผิวที่สามารถเกิดสิวได้ง่ายมากๆ และปัญหาเรื่องสิวเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยและร่องรอยของจุดด่างดำที่น่าหงุดหงิด ทำให้สีผิวไม่เรียบเนียน ครีมสำหรับคนหน้ามันที่ควรเลือกใช้ ควรไม่มีสารประกอบของน้ำมัน และใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนประกอบของน้ำ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น และต้องเป็นชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดสิว ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอมหรือพวกสารกันเสียต่างๆ ที่จะทำให้ผิวอุดตัน แต่ว่าคนที่ผิวมันนั้นก็มีข้อดีเช่นกันเพราะว่าจะชะลอการแก่โดยอัตโนมัตินั่นเอง จะมีริ้วรอยน้อยมาก เพราะว่าผิวไม่แห้ง

ผิวแห้ง

คนที่มีผิวแห้งนั้นมักจะสภาพผิวที่ไม่เรียบเนียน เพราะผิวแห้งจะสูญเสียน้ำอยู่ตลอดเวลา ผิวจะเป็นขุยได้ง่าย ขาดความยืดหยุ่น ดังนั้นไม่ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นหรือล้างหน้าบ่อยเกินไป ควรใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่ผสมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ หรืออาจจะใช้ไนท์ครีมบำรุงผิวที่ผสมน้ำมันก็ได้เพื่อช่วยในการกักเก็บน้ำ แต่สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงอย่างมากคือ ครีมบำรุงผิวหน้าที่ผสมแอลกอฮอล์ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวหน้าแห้งและเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น

ผิวผสม

ผิวชนิดนี้จะเกิดสิว เกิดรอยได้ง่าย และดูแลได้ยากมาก ในส่วนของคนไทยจะมีผิวสภาพนี้ค่อนข้างเยอะ สิ่งที่ต้องระวังสำหรับการทาครีมบำรุงผิวหน้าคือ การทาครีมบำรุงผิวหน้าบริเวณทีโซน เพราะว่าบริเวณนี้จะเกิดสิวได้ง่ายมาก บริเวณโหนกแก้มต้องระวังเรื่องผิวแห้งอีกด้วย ส่วนครีมบำรุงผิวหน้าที่ควรเลือกนั้นมีการผลิตครีมบำรุงผิวหน้าสำหรับคนที่มีผิวผสมค่อนข้างเยอะ ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดหลากหลายยี่ห้อ

ผิวบอบบางแพ้ง่าย

อีกหนึ่งผิวที่ดูแลได้ยาก เพราะว่าใช้ครีมบำรุงผิวหน้าก็มักจะแพ้อยู่ตลอด อาจจะคัน มีสิวขึ้น มีรอยแดง หรืออาจทำให้ผิวหน้าบอบช้ำได้เลย ครีมบำรุงผิวหน้าที่เลือกใช้จึงควรเลือกครีมบำรุงผิวหน้าที่ใช้กับผิวของเด็ก และสำหรับผิวที่แพ้ง่ายเท่านั้น

ทั้งหมดนี้คือการ เลือกใช้ครีม ตามสภาพผิวต่างๆ ของคนเราที่พบได้ส่วนใหญ่ ไม่ว่าคุณจะมีผิวแบบไหนก็คงไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้วในการใช้ครีมบำรุงผิวหน้าให้ถูกต้องกับสภาพผิว นอกจากนี้ยังมีครีมหน้าใสที่น่าสนใจมากฝากทุกคนอีกด้วย จะมีแบรนด์ใดบ้างตามไปดูกัน


เลือกใช้ครีม ช่วยหน้าใสยี่ห้อไหนดี 15 ไอเทม จัดด่วน ได้ผลจริง

สำหรับสาวๆ ที่อยากจะซื้อครีมหน้าใส หน้าขาวมาทาเพื่อช่วยเสริมความสาวความสวยให้อยู่ยงคงกระพัน แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปหาซื้อยี่ห้ออะไร ที่ไหนดี เพราะมีหลายยี่ห้อที่ทำออกมาและก็มีหลายคำแนะนำที่เคยได้ยินมา ดังนั้นวันนี้เราก็เลยจะมาช่วยจัดอันดับ 15 ครีมหน้าใสที่ได้ผลจริงๆ กับสาวๆ ทั่วประเทศมาแล้ว ไปดูกันเลยว่ามีครีมหน้าใสยี่ห้อไหนติดอันดับบ้าง

เลือกใช้ครีม Olay Natural White

อันดับ 15 

Olay Natural White นี่คือแบรนด์ที่หลายคนรู้จักอย่างแน่นอน และโอเลย์ก็ครีมทาผิวที่หาได้ง่ายและราคาก็ไม่แพง สามารถซื้อขนาดเล็กและแบบซองมาลองใช้ได้ด้วย ซึ่งก็ดูเป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าทำไมต้องมาอยู่ในอันดับที่ 15 ล่ะ ก็เพราะว่าโอเลย์ชนิดนี้ช่วยให้หน้าขาวแค่อย่างเดียว แต่ไม่ช่วยในการรักษาสิวฝ้าและรอยจุดด่างดำใดๆ ทั้งสิ้น แต่ข้อควรระวังก็คือสาวผิวมันไม่ควรใช้ครีมนี้เลย

เลือกใช้ครีม Garnier

อันดับ 14 

Garnier หรือที่เรียกว่า การ์นิเย่ นั่นแหละ ซึ่งนี่ก็เป็นครีมหน้าขาวที่หลายคนชอบมากๆ ประโยชน์ของครีม คือเห็นผลเร็วเมื่อเทียบกับครีมหน้าใสชนิดอื่นๆ และยังช่วยขจัดจุดด่างดำได้เป็นอย่างดี แต่ครีมการ์นิเย่ก็มีความเข้มข้นของ AHA เยอะมาก ซึ่งอาจทำให้หลายคนรู้สึกแสบผิวได้ และไม่เหมาะกับสาวผิวบางเป็นอย่างมาก

ครีม Hadalabo เซรั่ม อาร์บูติน

อันดับ 13

Hadalabo เซรั่ม อาร์บูติน ซึ่งเป็นเซรั่มที่สาวๆ ชอบมาก เพราะครีมมีความบางและสามารถทาสนิทไปกับผิวหน้าได้เลย แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความยาวนานในการใช้ เพราะครีมฮาดะลาโบะมีขนาดความเข้มข้นของสารอาร์บูตินอยู่น้อยมาก ทำให้ต้องใช้หลายขวดหลายรอบมากๆ และข้อดีก็คือทำให้ไม่แพ้ แต่ผลเสียก็คือเห็นผลช้านั่นแหละ

ครีม Vit C บูทติ้ง เซรั่ม

อันดับ 12

Vit C บูทติ้ง เซรั่ม เป็นเซรั่มบำรุงผิวที่บำรุงด้วยวิตามินซี ซึ่งก็เป็นผลิตภัณฑ์ของ Oriental Princess ซึ่งครีมมีความเบาบางและมีกลิ่นหอมของส้มด้วย และเมื่อใช้ไปนานๆ จะช่วยให้ผิวเรียบเนียนแบบเห็นได้ชัด และยังช่วยให้ลดเลือนจุดด่างดำ สิวฝ้าได้ดีมากๆ แต่ก็ไม่เหมาะกับผิวที่แห้ง เป็นขุยง่าย เพราะเป็นครีมที่ไม่ให้ความชุ่มชื่นกับผิว และยังมีราคาที่แพง แถมยังมีส่วนผสมของน้ำหอมอยู่มากทีเดียว ซึ่งใครที่ไม่ชอบน้ำหอมก็เลี่ยงได้เลย

เลือกใช้ครีม สมูทโตะ โทเมโท คอลลาเจน ไวท์ เซรั่ม

อันดับ 11 

สมูทโตะ โทเมโท คอลลาเจน ไวท์ เซรั่ม เป็นเซรั่มที่หลายคนได้ยินมาว่าใช้ซองนี้หนึ่งซองจะได้เท่ากับกินมะเขือเทศ 10 ลูก ซึ่งก็เป็นครีมที่สาวๆ หลายคนชอบใช้ และมีขนาดเล็กเหมาะกับคนที่ชอบพกพาครีมไปที่ต่างๆ แถมยังมีราคาที่ไม่แพงและหาซื้อได้ง่ายมากๆ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยระยะเวลาที่นานมากๆ ในการที่จะเห็นผล เพราะจะเน้นไปที่เรื่องกระชับรูขุมขนและการบำรุงมากกว่า และยังเป็นครีมที่ไม่มีกลิ่นหอมเลย ทำให้บางคนอาจจะไม่ชอบ แถมยังไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบมะเขือเทศ

ครีม Scentio White Collagen

อันดับ 10

Scentio White Collagen ผลิตภัณฑ์ของดีจาก บิวตี้ บุฟเฟ่ต์ ซึ่งเหมาะกับสาวๆ ผิวแห้ง และสาวๆ ผิวที่เป็นขุยอย่างมาก เพราะเป็นครีมที่ให้ความชุ่มชื่นของผิวเป็นอย่างมาก ซึ่งการใช้ก็ควรจะแตะไปหน้าเบาๆ แต่ก็ไม่เหมาะกับสาวๆ ที่อยากขาวไวๆ เพราะตัวนี้ก็เน้นไปที่การบำรุงและการชุ่มชื่นกับผิวเช่นกัน และครีมนี้ก็ยังมีกลิ่นน้ำหอมเล็กๆ ด้วย อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมนะ

เลือกใช้ครีม POND'S White Beauty Cream

อันดับ 9

POND’S White Beauty Cream ครีมดูแลผิวหน้าให้ดูขาวเรียบเนียนกระจ่างใสอมชมพู ตรงเข้าสยบ 10 ปัญหาผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำที่จัดการยาก สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าชั้นนำทั่วไป แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกันออกไป เพราะบางคนก็บอกว่าใช้ได้ดีมาก ช่วยให้หน้าขาวใสได้ดี แต่บางคนก็มีการแพ้และแสบหน้า ดังนั้นก่อนใช้ก็ควรจะเช็กให้ดีก่อน

ครีม Za True White

อันดับ 8 

Za True White เป็นครีมที่เป็นที่ชื่นชอบมากๆ ในกลุ่มสาวๆ วัยรุ่น เพราะมีส่วนผสมที่ช่วยในการยับยั้งสารที่ทำให้ผิวเราหมองคล้ำ และนอกจากนี้ยังทำให้ผิวเรากระจ่างใส ซึ่งก็เป็นครีมที่มีราคาแพงพอสมควร เพราะขายเป็นชุด แต่ก็อยากให้ลองใช้ผสมกับครีมประจำที่ใช้อยู่ รับรองว่าปังแน่นอน

เลือกใช้ครีม Fracora Placenta Extract

อันดับ 7

Fracora Placenta Extract เป็นครีมหน้าขาวที่ใช้รองพื้นก่อนที่จะใช้ครีมตัวประจำ เพราะจะทำให้หน้าขาวได้ไวขึ้น และครีมนี้เป็นครีมที่สกัดจากรกหมู ทำให้สาวๆ มุสลิมใช้ไม่ได้ และไม่เหมาะกับคนที่ชอบกลิ่นแรงๆ ของซอสญี่ปุ่น เพราะเจ้าตัวนี้กลิ่นแรงมาก

ครีม La Roche-Posay Effaclar Duo Plus

อันดับ 6 

La Roche-Posay Effaclar Duo Plus เนื้อครีมเจลที่ทาแล้วไม่เหนอะหนะผิว ทาไปแล้วให้ความชุ่มชื้นผิว  เหมาะกับคนที่เป็นสิวง่าย ผิวอักเสบ แพ้ง่ายบ่อยๆ ไม่มีกลิ่นที่แรง ลดการอักเสบของผิวและฟื้นบำรุงผิวให้แข็งแรงสดใสขึ้น นอกจากจะช่วยบำรุงให้ผิวขาวกระจ่างใสแล้ว ตัวนี้ยังมีส่วนผสมของ LHA มาช่วยต้านแบคทีเรีย P.Acne ที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว หาซื้อได้ง่ายแต่ราคาค่อนข้างแพง

SkinFood Yaja Water C

อันดับ 5 

SkinFood Yaja Water C เป็นครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินซีเยอะมาก ซึ่งเป็นการสกัดจากส้มยูซุ แต่ก็เป็นครีมที่มีราคาแพงพอตัว ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผิวกระจ่างใสแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ได้ด้วย ซึ่งจะช่วยให้หน้าดูเต่งตึงและกระชับได้ดีมากๆ แต่ไม่เหมาะกับสาวๆ ที่ผิวแพ้ง่าย เพราะมีส่วนผสมของน้ำหอมอยู่ ดังนั้นควรทดสอบการใช้ก่อน

ครีม Guerisson 9 Complex Cream

อันดับ 4 

Guerisson 9 Complex Cream ชื่ออาจไม่คุ้น แต่หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า ครีมน้ำมันม้า แน่นอน เพราะเป็นครีมที่มาจากประเทศเกาหลี สรรพคุณคือช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส แต่ก็ต้องใช้งานไปนานพอสมควรกว่าจะเห็นผล เพราะเน้นไปที่การบำรุง และเน้นไปที่ความชุ่มชื่นมากกว่า

ครีม Loreal White Perfect Laser

อันดับ 3

Loreal White Perfect Laser ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า เป็นครีมที่ราคาแพงแต่ก็มีส่วนผสมของเซรั่มสูงมาก ซึ่งจะเห็นผลได้แค่ในช่วงเดือนแรกเท่านั้น แต่ก็ทำให้สิว ฝ้าทั้งหลายหายไปได้แน่นอน ซึ่งใครที่ชอบความขาวใสแบบทันตาก็ต้องรอนานนิดนึง

ครีม Neutrogena Hydro Boost Gel Cream

อันดับ 2

Neutrogena Hydro Boost Gel Cream เป็นครีมที่ใช้กันทั่วโลก เพราะสามารถช่วยในเรื่องความกระจ่างใส พร้อมกับความชุ่มชื่นในตัว และเหมาะมากๆ กับสาวๆ ที่ชอบความกระชับของผิว แต่ก็ทำให้ผิวแห้งได้ง่ายมาก ซึ่งก็ไม่เหมาะกับสาวผิวแห้งเลย

เลือกใช้ครีม SK-II GENOPTICS AURA ESSENCE

อันดับ 1

SK-II GENOPTICS AURA ESSENCE ผิวกระจ่างใสดูมีออร่า ด้วยส่วนประกอบจากพิเทร่าเข้มข้น และ GenOptics Aura Complex ที่จะช่วยลดเลือนการก่อตัวของจุดด่างดำทั้งที่มองเห็นและที่ซ่อนอยู่ภายใน ช่วยแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ปรับสีผิวขาวกระจ่างใสขึ้นและเปล่งประกาย ช่วยลดความหมองและจุดด่างดำ จะใช้เป็นเดย์ครีมก็ได้หรือไนต์ครีมก็ดี ไม่ทิ้งความเหนอะหรือความมันไว้บนผิวด้วย

ครีมบำรุงผิวหน้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือครีมที่ทำมาเพื่อลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างอายุ ซึ่งครีมเหล่านี้สามารถช่วยปรับปรุงลักษณะที่ปรากฏของผิวโดยการลดริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น และโดยการป้องกันผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม รวมถึงครีมบำรุงผิวหน้าที่ช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นทาแล้วช่วยบำรุงผิวให้ดีขึ้นได้จริง 

นี่ก็เป็นเพียง 15 อันดับที่เราคัดมาให้ได้เลือกกัน ใครที่ผิวแบบไหนก็ลองดูส่วนประกอบในการพิจารณาเลือกซื้อมาใช้กันได้ และมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้มาตรฐานอย่างแน่นอน


10 สมุนไพรที่ดีต่อใจและดีต่อผิว หามาให้แล้วที่จะทำหน้าใสจริง

เลือกใช้ครีม

การใช้พวกสมุนไพรทาหน้าก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากหลายคนเชื่อว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีประสิทธิภาพมากกว่ามอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวหน้าทั่วไป หรือมีเหตุผลอีกหลายประการที่ผู้คนอาจเลือกใช้ครีมทาหน้าสมุนไพร รวมทั้งความเชื่อที่ว่ามีประสิทธิภาพในการปรับปรุงสุขภาพผิวมากขึ้น ลดเลือนริ้วรอย และป้องกันมะเร็งผิวหนัง เนื่องจากมาธรรมชาติ

เราจึงได้เลือก 10 สมุนไพรที่ดีต่อใจและดีต่อผิวที่จะทำหน้าใสจริง จะมีอะไรบ้างตามมาดูกันได้เลย

1. เลือกใช้ครีม สมุนไพรตะไคร้

ตะไคร้คือสมุนไพรยอดฮิตที่ใครๆ ก็นำมาผสมกับผลิตภัณฑ์ตัวเอง ซึ่งตะไคร้ก็เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ที่ช่วยต่อต้านการเกิดของเชื้อราบนผิวหนังของเราได้เป็นอย่างดี และตะไคร้ยังอุดมไปด้วยสารที่สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระ นั่นแปลว่าตะไคร้มีสามารถในการที่จะบำรุงผิวของเราได้ดี และยังช่วยให้ผิวหนังของเราเปล่งปลั่ง ดูกระจ่างใส พร้อมทั้งทำให้ผิวหนังเราดูอ่อนเยาว์ นุ่มเนียนอยู่เสมอ แถมยังช่วยลดสิว และรอยต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

2. ครีมสมุนไพรมะขามเปียก

มะขามเปียกคือสมุนไพรอย่างหนึ่ง ที่สามารถช่วยในการกำจัดสิ่งสกปรกในผิวหนังออกไปได้ เพราะมะขามเปียกมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ซึ่งจะช่วยในการกำจัดคราบสกปรกจากผิวหนังได้เป็นอย่างดี โดยบางตำราอาจจะใช้มะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่น แล้วนำมาพอกที่ผิวหนัง โดยมะขามเปียกจะเน้นขัดไปที่บริเวณรอยด้านที่ผิวหนัง จำพวกฝ่ามือ ข้อศอก ตาตุ่ม หรือบริเวณรักแร้ และขาหนีบ ซึ่งจะสามารถช่วยทำให้ผิวหนังเราที่มีรอยดำจางลงไปได้ ซึ่งก็จะทำให้ผิวขาวนุ่มนวล น่าสัมผัสขึ้น

3. เลือกใช้ครีม สมุนไพรขมิ้นชัน

ในขมิ้นจะประกอบไปด้วยสารเคอร์คูมิน น้ำมันหอมระเหยของขมิ้น โดยขมิ้นจะมีฤทธิ์ที่สามารถช่วยในการยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้หลากหลายชนิด โดยเราสามารถใช้ทาบนผิวหนังที่มีอาการเป็นผดผื่นคัน ซึ่งก็จะช่วยซ่าเชื้อได้ และการใช้ผงขมิ้นใช้ทาตัวจะทำให้ขาวขึ้น โดยสามารถใช้บำรุงผิวหรือใช้ฆ่าเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังได้ดีอีกด้วย

4. ครีมสมุนไพรว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติที่ช่วยบำรุงผิว ซึ่งก็จะทำให้ผิวพรรณของเราดูเนียนนุ่มชุ่มชื้น และว่านหางจระเข้ยังสามารถแก้ปัญหาผิวแห้งกร้านบริเวณข้อศอก หัวเข่า หรือแถวๆ ส้นเท้าได้ โดยแค่ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ นำไปแช่ในน้ำเปล่าที่สะอาด โดยในขณะอาบอยู่ให้ใช้เนื้อวุ้นว่าน ถูตัวตามส่วนต่างๆ แต่ต้องระวังให้ล้างยางสีเหลืองในว่านออกให้หมดก่อน เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผิวกับคนผิวบาง

5. เลือกใช้ครีม สมุนไพรแตงกวา

แตงกวาเป็นสมุนไพรที่มีวิตามินสูง และในแตงกวาก็ยังมีตัวเอนไซม์อีเลพซิน ซึ่งมีความสามารถในการที่จะช่วยย่อยโปรตีนในร่างกายได้เป็นอย่างดี และเอนไซม์ชนิดนี้จะสามารถไปลอกผิวหนังที่หยาบกร้านให้หลุดออกไปจากผิวหนังได้ ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ผิวของเราดูอ่อนนุ่ม น่าสัมผัสมากขึ้น โดยแตงกวาเป็นทั้งผลไม้และสมุนไพรที่มีประโยชน์ มีราคาถูก สามารถหาซื้อได้ตามตลาด หรือจะปลูกเองก็ได้ ถ้าใช้เป็นประจำรับรองว่าผิวสวย ดูสดชื่น และมีน้ำมีนวลนุ่มเนียนน่าสัมผัสแน่นอน 

6. ครีมสมุนไพรน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งอาจจะไม่ใช่สมุนไพรเสียทีเดียว แต่น้ำผึ้งก็มีคุณสมบัติที่เหมาะกับการรักษาผิวได้เป็นอย่างดี ซึ่งน้ำผึ้งจะประกอบไปด้วยน้ำตาลฟรุกโตส น้ำตาลกลูโคส ขี้ผึ้ง และส่วนประกอบอื่นๆ ประกอบอยู่ปะปนกันไป โดยจะน้ำผึ้งใช้เป็นส่วนประกอบของครีมเครื่องสำอางส่วนมาก และส่วนใหญ่จะเป็นครีมสมุนไพรที่ใช้ในการพอกหน้า ซึ่งก็สามารถทำให้ผิวหน้าดูชุ่มชื่น มีความเปล่งประกาย และยังทำให้ผิวดูมีน้ำมีนวลขึ้นอีกด้วย

7. เลือกใช้ครีม สมุนไพรมะพร้าว

ผลไม้มะพร้าวสามารถช่วยทำให้ผิวดูสดใส เปล่งปลั่ง มีประกาย ซึ่งก็จะไปทำให้ผิวเราดูขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เนื่องจากในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่ซึ่งทำให้ผิวดูขาวขึ้นได้

8. ครีมสมุนไพรน้ำมันมะกอก

มะกอกเป็นสมุนไพรที่ไม่ค่อยรู้จักกัน และสำหรับในน้ำมันมะกอกนั้นจะมีวิตามินอีปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งก็มีประโยชน์ต่อผิวเป็นอย่างมาก และยังช่วยบํารุงคอลลาเจนใต้ผิวหนังของเรา ซึ่งคอลลาเจนก็จะทำให้ผิวหนังของเรามีความเนียนนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติ น่าสัมผัสยิ่งขึ้น

9. เลือกใช้ครีม สมุนไพรแครอท

แครอทเป็นสมุนไพรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่เยอะพอสมควร โดยจะสามารถทำให้ผิวพรรณของเราดูเปล่งปลั่ง กระจ่างใส และยังช่วยในการชะลอความชราไม่ให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเร็วได้อีกด้วย ซึ่งในทางกลับกันก็จะทำให้เราดูอ่อนเยาว์ขึ้นเป็นกอง

10. ครีมสมุนไพรมะละกอ

มะละกอเป็นสมุนไพรที่ประกอบไปด้วยเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมะละกอยังช่วยลดความอ้วนได้ดีอีกด้วย แถมเมื่อสุกแล้วก็จะอร่อย หวานหอม ที่สำคัญคือรักษาสิวได้ นี่แหละที่ต้องการกับการนำมาทำครีมสมุนไพรที่ดีสุดๆ

แม้ว่าการใช้ครีมทาหน้าสมุนไพรจะมีประโยชน์มากมาย แต่สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวหน้าแบบเดิมๆ และสิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ซึ่งอาจรวมถึงการระคายเคืองผิวหนังและอาการแพ้ด้วย หากคุณกำลังจะใช้สมุนไพรเพื่อบำรุงผิวก็อย่าลืมเรื่องนี้ด้วย แม้จะเป็นของธรรมชาติแต่บางคนก็อาจจะแพ้ได้ ดังนั้น หากจะใช้อะไรก็เลือกใช้ให้เหมาะกับผิวของตัวเองจะดีที่สุด


อ้างอิง:

10 Tips On How To Choose The Right Moisturizer : https://www.alchimie-forever.com/blogs/the-alchemist-blog/10-tips-on-how-to-choose-the-right-moisturizer-for-your-skin

How to Choose the Skincare Products Best Suited for Your Skin : https://www.realsimple.com/beauty-fashion/skincare/how-to-choose-skin-care-products

ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีวิธีไหนช่วยลดเลือนได้บ้าง

ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีวิธีไหนช่วยลดเลือนได้บ้าง

ริ้วรอยรอบดวงตา นอกจากเป็นสัญลักษณ์แห่งก้าวผ่านช่วงวัยแล้ว มีหลาย ๆ คนเกิดความไม่มั่นใจเพราะว่าริ้วรอยที่ตานั้นสามารถมองได้ง่ายและชัดเจน อีกทั้งมีความบอบบางสูงดูแลรักษาค่อนข้างละเอียดอ่อน วันนี้เราจะพาทุกท่านมาหาคำตอบ ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีวิธีไหนช่วยลดเลือนได้บ้าง ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง


ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดจากอะไร

ริ้วรอยรอบดวงตา

แล้วทำไมริ้วรอยจึงเกิดขึ้นรอบดวงตา คำตอบก็คือ ผิวของเราเกิดความไม่ยืดหยุ่นดังเดิม เป็นเพราะว่าผิวสูญเสียอิลาสตินและคอลลาเจนในผิวถูกทำลายในระหว่างช่วงวัยหรือพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น

  • สภาพอากาศ ไม่ว่าจะแดดจ้าร้อนจัดและต้องอยู่ตากแดดนาน ๆ โดยไม่ได้ป้องกันผิวทำให้เกิดความเหี่ยวย่นได้ ฉะนั้นการออกแดดทุกครั้งควรทาครีมกันแดดบริเวณเปลือกตาและสวมแว่นกันแดดเป็นประจำ หรือสภาพอากาศที่หนาวเหน็ยทำให้ผิวขาดคววามชุ่มชื้น อันเป็นบ่อเกิดเหตุแห่งริ้วรอยได้
  • พฤติกรรมประจำวัน เช่นการขยี้ตา นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน
  • การแสดงออกทางสีหน้า เช่น การยิ้ม หัวเราะ ทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าขยับและยืดหหดบ่อยครั้ง
  • ผิวขาดความชุ่มชื้น ถึงแม้ว่าบริเวณรอบดวงตาจะบอบบางแต่ใช่ว่าจะละเลยการทาครีมบำรุงไปเลย หากเมื่อใดที่ผิวบริเวณรอบดวงตาแห้ง ไม่ชุ่มชื้น ชั้นไขมันที่กักสะสมก็จะน้อยลงไปด้วย
  • อายุที่มากขึ้น นอกจากผิวที่สูญเสียคอลาเจนและอิลาสติน กระดูกใต้ตาของบางคนก็จะยุบตัวลง ทำให้เนื้อบริเวณดวงตาน้อยลง ทำให้ดูมีรอยเหี่ยวย่น
  • การล้างหน้าที่ไม่อ่อนโยน กรณีเกิดขึ้ึนได้ทุกเพศ เพราะถ้าหากการล้างหน้าโดยถูหน้า ดวงตาที่รุนแรงทุกวันทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นได้
  • การสูบบุหรี่ นิโคตินเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวเหี่ยวย่น และการสูบบุหรี่ทำให้เส้นเลือดหดตัวและออกซิเจนไม่สามารถส่งผ่านได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผิวขาดอากาศหายใจ และไม่แม้แต่แค่บริเวณรอบดวงตาและเป็นทั้งใบหน้าเลยทีเดียว
  • พันธุกรรมและภูมิแพ้จากสุขภาพส่วนตัว ในบางคนอาจมีพันธุกรรมใต้ตามีริ้วและสีคล้ำมาตั้งแต่กำเนิด หรือสุขภาพส่วนตัวเช่นเปนภูมิแพ้ ทำให้รอบดวงตาบอบช้ำง่าย 

ประเภทของริ้วรอย

ริ้วรอยรอบดวงตา

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ถึจะเกิดริ้วรอยขึ้น แต่ว่าก็ยังแยกประเภทอีกว่าสามารถรักษาฟื้นฟูให้กลับมาเต่งตึงได้ดังเดิมหรือไม่ ซึ่งประเภทของริ้วรอยแบ่งด้ 2 อย่าง ดังนี้

  1. Dynamic Line

เป็นริ้วรอยที่เกิดจากกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังมีการหดตัวซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง การยืดหดตัวเช่นนี้มาจากการแสดงสีหน้า(Expression Wrinkle) ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวบริเวณใบหน้านั่นเอง ซึ่งการเกิดริ้วรอยประเภทนี้มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้นและบางรายแทบจะกลับมาสู่สภพเดิมได้ แม้ใช้การบำรุงรอบดวงตาด้วยวิธีธรรมชาติ ก็คือทำให้บริเวณรอบดวงตาชุ่มชื้นตลอดเวลา ทำให้คอลลาเจนบนผิวคงสมดุลและเต่งตึง

  1. Static Line

เป็นริ้วรอยคงที่ที่เกิดจากผิวหหนังเกิดความเสียหายทำให้ริ้วรอยอยู่คงที่ สาเหตุนั้นมาจากการสูญเสียคอลลาเจน ผิวที่แห้งกร้านขาดการดูแล การแสดงสีหน้าบ่อยครั้งสะสม ซึ่งรอยชนิดนี้แม้ไม่ได้ขยับก็สามารถเห็นริ้วรอยร่องลึกได้อย่างชัดเจน และยังคงอยู่บนใบหน้าตลอด การักษามีสองหนทางคือการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้น หรือฉีดไขมันเข้าไปเติมร่องลึกให้อิ่มฟูขึ้นมา


วิธีลดเลือน ริ้วรอยรอบดวงตา

ริ้วรอยรอบดวงตา

1.มาส์กธรรมชาติ

การเลือกใช้มาส์กที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ หรือมาส์กที่เราสามารถผสมได้เองนั้นก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อช่วยในการลดเลือนริ้วรอย ส่วนผสมจากธรรมชาติอย่างแรกที่มีคุณสมบัติที่ดีต่อการบำรุงผิวนั้นก็คือ น้ำผึ้ง ซึ่งมีการใช้กันมาอย่างยาวนานเป็นพัน ๆ ปี เพราะน้ำผึ้งมีฤทธิ์ในการปลอบประโลมผิว และช่วยในการสมานผิวที่อ่อนแอให้กลับมาแข็งแรงยิ่งขึ้น อีกหนึ่งส่วนผสมธรรมชาติก็คือโยเกิร์ต ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นขึ้นได้ภายในไม่กี่นาที แบะความชุ่มชื้นนี่เองที่จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยรอบดวงตาขึ้นได้ 

2. ครีมบำรุง

การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่สามารถช่วยในการบำรุงให้ริ้วรอยรอบดวงตาดูจางลง หรือปกกันไม่ให้มีริ้วรอยใหม่เกิดขึ้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะสามารถช่วยในเรื่องของริ้วริยได้ในระยะยาว โดยอายครีมที่เลือกใช้นั้นควรมีส่วนผสมที่สามารถช่วยปัญหาริ้วรอยได้โดยเฉพาะ และที่สำคัญคือจะต้องมีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้น้พียงพอ เพราะเมื่อผิวของเรามีความชุ่มชื้นเพียงพอนั้นก็จะเปิดความหยืดหยุ่นผิวหนังไม่แห้งตึงจนเกิดเป็นปัญหาริ้วรอย สำหรับส่วนผสมสำคัญที่เราควรมองหาในครีมบำรุงรอบดวงต่นั้นก็เช่น

  • Retinol ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้เกิดริ้วรอยได้ยากยิ่งขึ้น
  • Q10 ช่วยในการปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายจากแสงแดด และชะรอการเกิดริ้วรอย
  • Vitamin C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีที่จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอย
  • Hyaluronic acid เพิ่มความชุ่มชื่นให้กักผิว ช่วยให้ผิวกักเก็บความชื้นได้ดียิ่งขึ้น
  • Vitamin E ช่วยในการปลอบประโลมผิว และบำรุงอย่างล้ำลึก
  • Ceramides ช่วยให้ผิวแข็งแรง เสริมสร้างเกราะให้กับผิว

อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการเลือกครีมทารอบดวงตานั้นก็คือการเลือกใช้ครีมที่มีความอ่อนโยนเพราะผิวรอบดวงตานั้นมีความบอบบาง และอาจไวต่อสารต่าง ๆ ในครีมได้

3. เทคนิคแพทย์

  • โบท็อกซ์ เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดริ้วรอบรอบดวงตาที่เป็นที่นิยมมาก ๆ สำหรับการฉีดโบท็อกซ์นั้น จะเริ่มเห็นผลของความเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 5-7 วัน และจะเห็นผลได้อย่างชัดเจนที่สุดเมื่อครบ 2 สัปดาห์ และจะคงอยู่เช่นนั้นเป็นเวลา 3 – 6 เดือน โดยขึ้นอยู่กัยคุณภาพของโบท็อกซ์ และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต 
  • เลเซอร์ลดริ้วรอยใต้ตา 
  • รักษาด้วยคลื่นวิทยุ (Radio Frequency – RF) เป็นวิธีที่เหมาะมาก ๆ กับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากการที่ผิวขาดคอลลาเจน คลื่นวิทยุนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว และทำให้ผิวกลับมาดูเต่งตึงอีกครั้ง
  • ฉีดไขมัน เป็นวิธีที่ค่อนข้างยุ่งยากเมื่อเทียงกับการใช้ฟิลเลอร์ หรือโบท็อกซ์ เพราะจะต้องมีการเก็บไขมันจากตัวผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยจากต้นขา หรือหน้าท้อง ซึ่งก็อาจจะก่อให้เกิดแผลเป็นได้ นอกจากนี้ยังต้องทำหลายครั้งถึงจะเห็นผลเพราะไขมันนั้นร่างกายสามารถที่จะดูดซึมกลับไปใช้ได้ การลดริ้วรอยรอบดวงตาด้วยการฉีดไขมันนี้เหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยงในการแพ้สารต่าง ๆ อย่างรุนแรง เพราะเป็นการใช้ไขมันจากร่างกายตนเอง ไม่ใช่การฉีดสารอย่างอื่นเข้าไปนั่นเอง 
  • ฉีดฟิลเลอร์ การฉีดฟิลเลอร์นั้นเป็นการเข้านำเอาฟิลเลอร์เจ้าไปเติมเต็มชั้นผิวที่ยุบตัวลง ใครที่มีปัญหาริ้วริยรอบดวงตาที่มาจากเบ้าตาลึก รอยพับตา หรือมีรอยย่นใต้ตามาก การฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่แพทย์ทางด้านผิวหนังส่วนใหญ่แนะนำ

การป้องกันไม่ให้เกิด ริ้วรอยรอบดวงตา

ริ้วรอยรอบดวงตา

  1. ปกป้องผิวหน้าจากแสงแดด

แสงแดดเป็นตัวอันตรายและเป็นปัจจัยสำคัญที่เกิดริ้วรอยก่อนวัย เนื่องจากรังสี UVA และ UVB ทำลายชั้นอนุมูลอิสระบนผิวหนัง และบางครั้งดวงตาก็เป็นจุดที่หลายคนอาจเผลอละเลยทาครีมกันแดดบริเวณรอบเปลือกตา หรือการม้สวมแว่นกันแดดตอนออกแดดจ้าทำให้ริ้วรอยรอบดวงตายิ่งเกิดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

  1. ใช้อายครีมเป็นประจำ

เนื่องด้วยดวงตาของเราก็เป็นส่วนหนึ่งของผิวหนัง การรักษาความชุ่มชื้นและคงให้ผิวอิ่มน้ำ เติมเต็มคอลลาเจนก็เป็นอีกหนึ่งหนทางในการบำรุงให้การเกิดริ้วรอยใต้ดวงตาน้อยลง เพื่อทางที่ดีควรใช่ควบคู่กับครีมกันแดดสูตรที่ไม่แสบตา อนึ่งครีมที่ทารอบดวงตาก็ไม่จำเป็นต้องแพงมากนัก สามารถใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์แทนกันได้เลยหรือวาสลีนทาแทนก็ย่อมได้ อีกทั้งกักเก็บความชุ่มชื้นในนานกว่าด้วย เน้นทาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำสม่ำเสมอ

  1. ดื่มน้ำ พักผ่อนให้เพียงพอ

การดื่มน้ำ (ตามดัชนีมวลของร่างกายแต่ละคน) และการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพออย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมงขึ้นไปส่งผลต่อผิวและความชุ่มชื้นอย่างเห็นได้ชัด หากคุณมีปัญหาในการดื่มน้ำ อย่างน้อยตอนตื่นนอนพยายามดื่มให้ได้สักครึ่งแก้ว และจิบน้ำเปล่าระหว่างวันบ่อย ๆ ก็จะช่วยคุณได้มาก ส่วนในเรื่องของการนอนพักผ่อน ไม่มีสูตรใดดีที่ดีสุดเท่ากับการนอนหลับให้เต็มอิ่มเพราะระบบในร่างกายจะฟื้นฟูได้ดีที่สุดเมื่อยามเรานอนหลับนั่นเอง

  1. ไม่เครียด และ ออกกำลังกายเป็นประจำ

การเครียดทำให้เรามักต้องมีการแสดงอารมณ์และสีหน้าด้วยความตึงเครียด และมีฮอร์โมตัวหนึ่งที่ทำให้หน้าหมองคล้ำและเกิดริ้วรอยบนดวงตาได้ ควรหาทำกิจกรรมอื่นเพื่อให้จิตใจได้ผ่อนคลาย อย่างเช่นดูหนัง ฟังเพลง ออกกำลังกาย ใช่แล้วเมือเราออกกำลังอย่างสม่ำเสมอทำให้เลือดสูบฉีดดี ร่างกายได้สะบัดความเครียดออกไป สร้างฮอร์โมนความสุขออกมาเป็นผลดีทั้งจิตใจและสุขภาพผิวพรรณ

  1. การรับประทานวิตามินเสริม คอลลาเจน

การรับประทานอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ และความงามก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เรามารถทำได้เพื่อให้เกิดการบำรุงอย่างล้ำลึกจากภายในสู่ภายนอก เช่นการเลือกรับประทานวิตามินซีซึ่งมีคุณประโยชน์หลากหลาย วิตามินซีนอกจากจะช่วยให้ผิวกระจ่างใสแล้วนั้น ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยเข้าไปเสริมสร้างผิวให้แข็งแรงทำให้ริ้วรอยต่าง ๆ นั้นเกิดใหม่ได้ยากขึ้น อีกหนึ่งอาหารเสริมสามารถช่วยเรื่องของริ้วรอยได้ก็คือ คอลลาเจนบำรุงผิว โดยเฉพาะคอลลาเจนไทป์ที่ 1 มีหลากหลายรูปแบบให้สามารถเลือกรับประทานได้ตามความชอบ และความสะดวก ไม่ว่าจะทั้งแบบผงชง แบบเจลลี่พร้อมทาน คอลลาเจนที่มาในรูปแบบเครื่องดื่ม เรียกได้ว่าใครสะดวกกับแบบไหน ชอบรสชาติแบบไหนมากกว่าก็เลือกตามที่ชอบได้ คอลลาเจนนั้นมีความสารถในการเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอในร่างกาย เรียกได้ว่าเป็นสารที่เพิ่มความยืดหยุ่นซึ่งส่งผลให้ผิวของเรานั้นไม่แห้งตึงจนก่อให้เกิดริ้วรอย ดีตั้งแต่ภายในสู่ภายนอกนั่นเอง


อ้างอิงจาก

https://www.ncbi.nlm.nih.gov

https://www.mountsinai.org/health-library/symptoms/wrinkles

https://www.phyathai.com/

https://www.rama.mahidol.ac.th/

สกินแคร์รูทีน 7 ขั้นตอนสกินแคร์ทาอย่างไรให้ผิวสวยใสแบบสาวเกาหลี 

สกินแคร์รูทีน 7 ขั้นตอนสกินแคร์ทาอย่างไรให้ผิวสวยใสแบบสาวเกาหลี 

สาว ๆ หลายคนอาจจะสงสัยใช่ไหมล่ะว่าทำไมผู้หญิงเกาหลีถึงได้มีผิวหน้าที่เนียนสวยแล้วก็กระจ่างใสกันได้ขนาดนั้น ซึ่งสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญกันก็คือการลงสกินแคร์รูทีนนั่นเอง วันนี้แอดมินจึงจะมาเผยขั้นตอนการลง สกินแคร์รูทีน ที่ถูกต้องกัน เพราะการเรียงลำดับการทาที่ถูกนั่นจะช่วยให้สกินแคร์ซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังได้ดีและเห็นผลจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง แต่ก่อนที่เราจะไปดูขั้นตอนการทานั้น เรามาทำความรู้จักสกินแคร์แต่ละประเภทกันก่อนดีกว่า


สกินแคร์ มีกี่ประเภท? แต่ละประเภทช่วยเรื่องอะไรบ้าง 

สกินแคร์รูทีน

สกินแคร์แต่ละประเภทนั้นมีหลายรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป โดยแต่ละประเภทก็ได้ผลิตออกมาเพื่อตอบโจทย์ต่อการใช้งานตามปัญหาผิวและสภาพผิวที่แตกต่างกันของแต่ละคน มาดูกันว่าจะมีประเภทอะไรบ้าง


1.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า 

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าหรือ คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอางดีๆ จะมีลักษณะเป็นของเหลวและมาในรูปแบบ น้ำ เจล หรือ ออยล์ สามารถใช้โดยการนวดที่หน้าได้โดยตรงหรือจะหยดลงบนสำลีแล้วเช็ดบนผิวหน้าก็ได้ ผู้ที่แต่งหน้าหรือทาครีมกันแดดต้องใช้คลีนซิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอุดตันบนในหน้า


2.ผลิตภัณฑ์หน้าล้าง

สิ่งนี้จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าและช่วยขจัดคราบความมันบนใบหน้า รวมถึงสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในรูขุมขน ซึ่งจะมีทั้งรูปแบบ โฟมล้างหน้า เจลล้างหน้า และสบู่ก้อน


3.โทนเนอร์

Toner เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการทำความสะอาดผิวหน้าที่ช่วยให้ผิวหน้าสะอาดหมดจดยิ่งขึ้นกว่าเดิม ส่วนใหญ่มักมาในเนื้อโลชั่นบาง ๆ และมักจะมีวิตามินช่วยบำรุงผิว

4.มอยส์เจอร์ไรเซอร์

ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีส่วนผสมของโลชั่นและครีม ผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวมันก็สามารถทาได้เพราะจะช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นไว้ ทำให้ผิวไม่ขาดน้ำจึงสามารถช่วยลดความมันบนใบหน้าได้

5.ครีม

สกินแคร์ประเภทนี้มีส่วนผสมของน้ำมันเยอะมากกว่าประเภทอื่น ๆ เนื้อจึงมีความเข้มข้นที่สุดและอาจทำให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ช้า แต่มันสามารถคงความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ดีที่สุดจึงเหมาะกับคนผิวแห้งมากที่สุด โดยคุณสามารถบำรุงด้วยไนท์ครีมในตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันก็บำรุงด้วยครีมทั่วไปได้

6.โลชั่น

โลชั่นไม่ได้มีไว้สำหรับบำรุงผิวกายเท่านั้น เพราะผิวหน้าก็สามารถบำรุงด้วยได้ด้วยเช่นกัน โดยมันจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวใช้ได้ทั้งผู้ที่มีผิวธรรมดาและผิวผสม ซึ่งโลชั่นที่ทางฝั่งเอเชียนิยมใช้และไม่หนักหน้าจนเกินไปจะมาในรูปแบบที่เราเรียกกันว่า ‘น้ำตบ’ นั่นเอง

7.เอสเซนส์

อีกหนึ่งรูปแบบผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าในขั้นตอนแรก ๆ ซึ่งเอสเซนส์จะมีลักษณะเป็นน้ำเหลว ๆ บางเบา จึงซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วแม้ว่าสภาพผิวแบบไหนก็สามารถใช้ได้ โดยส่วนใหญ่มักจะมาในรูปแบบน้ำตบเช่นเดียวกัน

8.เซรั่ม 

ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีความเข้มข้นว่าเอสเซนต์และมีส่วนผสมของน้ำมันค่อนข้างมาก จึงไม่ค่อยเหมาะสำหรับคนผิวมันเท่าไหร่ แต่มันสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างล้ำลึก เช่น ลดรอยสิว ลดริ้วรอย และปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ

9.ผลิตภัณฑ์กันแดด 

ในตอนเช้าต้องทาผลิตภัณฑ์กันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV หากผู้ที่ไม่ได้ทากันแดดในตอนเช้านั้นอาจส่งผลให้รังสียูวีเข้าไปทำลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง ส่งผลให้ผิวเหี่ยวย่นและเกิดฝ้า กระ ตามมาได้ โดยผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีทั้งในรูปแบบครีม เจล โลชั่น สเปรย์ และขี้ผึ้ง 


7 ลำดับการทา สกินแคร์รูทีน ที่ถูกต้อง

หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักกับสกินแคร์แต่ละประเภทกันไปแล้ว ต่อไปเรามาดูกันว่าขั้นตอนการลงสกินแคร์รูทีนที่ถูกต้องนั้น ต้องเรียงลำดับการทาอย่างไรบ้าง


Step 1 : เช็ดผิวหน้าด้วยคลีนซิ่ง

สกินแคร์รูทีน

หลังจากที่ผิวหน้าของเราเผชิญเครื่องสำอาง ฝุ่น และมลพิษต่าง ๆ มาทั้งวันแล้วควรเช็ดผิวหน้าให้สะอาดด้วยเมคอัพรีมูฟเวอร์ก่อน เพื่อให้ผิวหน้าสะอาดและขจัดสิ่งสกปรกที่เข้าไปอุดตันในรูขุมขน 


Step 2 : ล้างหน้าให้สะอาด

สกินแคร์รูทีน

เมื่อขจัดสิ่งสกปรกออกจากผิวหน้าไปแล้ว ต่อไปคือขั้นตอนการล้างหน้าเพื่อลดความมันบนใบหน้าและทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก


Step 3 : เช็ดด้วยโทนเนอร์

สกินแคร์รูทีน

การใช้โทนเนอร์จะช่วยขจัดคราบต่าง ๆ บนใบหน้าให้ผิวสะอาดมากยิ่งขึ้นทำให้ลดการอุดตันของสิ่งสกปรกและช่วยลดการเกิดสิวได้


Step 4 : ลงเอสเซนส์

สกินแคร์รูทีน

ต่อไปก็เริ่มบำรุงผิวหน้าโดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเหลวมากที่สุดก่อน นั้นก็คือการลงเอสเซนส์หรือน้ำตบเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผิวในการลงสกินแคร์ รูทีนขั้นต่อไป


Step 5 : ลงผลิตภัณฑ์รักษาสิว

สกินแคร์รูทีน

สำหรับผู้ที่เป็นผิว สามารถลงครีมรักษาสิวเฉพาะจุดได้ก่อนเลยและควรเลือกเป็นครีมชนิดที่ซึมเข้าผิวไว เพราะต้องรอให้เนื้อครีมซึมเข้าผิวจนแห้งสนิทก่อนจึงจะสามารถลงสกินแคร์ในขั้นต่อไปได้


Step 6 : ทาเซรั่มและมอยส์เจอไรเซอร์

สกินแคร์รูทีน

สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวมันก็สามารถลงเซรั่มหรือมอยส์เจอไรเซอร์ได้เช่นกันเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและไม่ขาดน้ำ ทำให้เป็นสกินแคร์วัย 30+ที่คนอายุเริ่มเข้าเลข 3 ต้องใช้ทุกคน


Step 7 : ทาครีมกันแดด

สกินแคร์รูทีน

ขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นหนึ่งสเตปที่ขาดไม่ได้เลย สำหรับในตอนเช้าไม่ว่าคุณจะออกจากบ้านหรือไม่ก็ตามควรทาครีมกันแดดทุกวันเพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV ไม่ให้ทำลายผิวหน้า ผู้ที่ไม่ได้ทาครีมกันแดดอาจจะเกิดฝ้าและกระบนใบหน้าได้ รวมถึงทำให้หน้าเหี่ยวย่นก่อนวัยอีกด้วย


ทั้งหมดนี้ก็คือลำดับในการทาสกินแคร์รูทีนอย่างถูกวิธีนั่นเอง หากคุณบำรุงตามขั้นตอนดังต่อไปนี้มันก็จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญสาว ๆ แต่ละคนก็อย่าลืมเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองด้วยเพื่อให้สกินแคร์เหล่านั้นบำรุงได้อย่างตรงจุดมากที่สุด ผิวของเราจะได้เนียนใสปิ๊งเหมือนสาวเกาหลี


อ้างอิง:

https://www.lifestyleissue.com/beauty/skincare-types/ 

https://vogue.co.th/beauty/6-step-skin-care-for-oily-skin