Tag

ริ้วรอย

Browsing

ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีวิธีไหนช่วยลดเลือนได้บ้าง

ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีวิธีไหนช่วยลดเลือนได้บ้าง

ริ้วรอยรอบดวงตา นอกจากเป็นสัญลักษณ์แห่งก้าวผ่านช่วงวัยแล้ว มีหลาย ๆ คนเกิดความไม่มั่นใจเพราะว่าริ้วรอยที่ตานั้นสามารถมองได้ง่ายและชัดเจน อีกทั้งมีความบอบบางสูงดูแลรักษาค่อนข้างละเอียดอ่อน วันนี้เราจะพาทุกท่านมาหาคำตอบ ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีวิธีไหนช่วยลดเลือนได้บ้าง ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง


ริ้วรอยรอบดวงตา เกิดจากอะไร

ริ้วรอยรอบดวงตา

แล้วทำไมริ้วรอยจึงเกิดขึ้นรอบดวงตา คำตอบก็คือ ผิวของเราเกิดความไม่ยืดหยุ่นดังเดิม เป็นเพราะว่าผิวสูญเสียอิลาสตินและคอลลาเจนในผิวถูกทำลายในระหว่างช่วงวัยหรือพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น

  • สภาพอากาศ ไม่ว่าจะแดดจ้าร้อนจัดและต้องอยู่ตากแดดนาน ๆ โดยไม่ได้ป้องกันผิวทำให้เกิดความเหี่ยวย่นได้ ฉะนั้นการออกแดดทุกครั้งควรทาครีมกันแดดบริเวณเปลือกตาและสวมแว่นกันแดดเป็นประจำ หรือสภาพอากาศที่หนาวเหน็ยทำให้ผิวขาดคววามชุ่มชื้น อันเป็นบ่อเกิดเหตุแห่งริ้วรอยได้
  • พฤติกรรมประจำวัน เช่นการขยี้ตา นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน
  • การแสดงออกทางสีหน้า เช่น การยิ้ม หัวเราะ ทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าขยับและยืดหหดบ่อยครั้ง
  • ผิวขาดความชุ่มชื้น ถึงแม้ว่าบริเวณรอบดวงตาจะบอบบางแต่ใช่ว่าจะละเลยการทาครีมบำรุงไปเลย หากเมื่อใดที่ผิวบริเวณรอบดวงตาแห้ง ไม่ชุ่มชื้น ชั้นไขมันที่กักสะสมก็จะน้อยลงไปด้วย
  • อายุที่มากขึ้น นอกจากผิวที่สูญเสียคอลาเจนและอิลาสติน กระดูกใต้ตาของบางคนก็จะยุบตัวลง ทำให้เนื้อบริเวณดวงตาน้อยลง ทำให้ดูมีรอยเหี่ยวย่น
  • การล้างหน้าที่ไม่อ่อนโยน กรณีเกิดขึ้ึนได้ทุกเพศ เพราะถ้าหากการล้างหน้าโดยถูหน้า ดวงตาที่รุนแรงทุกวันทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นได้
  • การสูบบุหรี่ นิโคตินเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวเหี่ยวย่น และการสูบบุหรี่ทำให้เส้นเลือดหดตัวและออกซิเจนไม่สามารถส่งผ่านได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผิวขาดอากาศหายใจ และไม่แม้แต่แค่บริเวณรอบดวงตาและเป็นทั้งใบหน้าเลยทีเดียว
  • พันธุกรรมและภูมิแพ้จากสุขภาพส่วนตัว ในบางคนอาจมีพันธุกรรมใต้ตามีริ้วและสีคล้ำมาตั้งแต่กำเนิด หรือสุขภาพส่วนตัวเช่นเปนภูมิแพ้ ทำให้รอบดวงตาบอบช้ำง่าย 

ประเภทของริ้วรอย

ริ้วรอยรอบดวงตา

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ถึจะเกิดริ้วรอยขึ้น แต่ว่าก็ยังแยกประเภทอีกว่าสามารถรักษาฟื้นฟูให้กลับมาเต่งตึงได้ดังเดิมหรือไม่ ซึ่งประเภทของริ้วรอยแบ่งด้ 2 อย่าง ดังนี้

  1. Dynamic Line

เป็นริ้วรอยที่เกิดจากกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังมีการหดตัวซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง การยืดหดตัวเช่นนี้มาจากการแสดงสีหน้า(Expression Wrinkle) ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวบริเวณใบหน้านั่นเอง ซึ่งการเกิดริ้วรอยประเภทนี้มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้นและบางรายแทบจะกลับมาสู่สภพเดิมได้ แม้ใช้การบำรุงรอบดวงตาด้วยวิธีธรรมชาติ ก็คือทำให้บริเวณรอบดวงตาชุ่มชื้นตลอดเวลา ทำให้คอลลาเจนบนผิวคงสมดุลและเต่งตึง

  1. Static Line

เป็นริ้วรอยคงที่ที่เกิดจากผิวหหนังเกิดความเสียหายทำให้ริ้วรอยอยู่คงที่ สาเหตุนั้นมาจากการสูญเสียคอลลาเจน ผิวที่แห้งกร้านขาดการดูแล การแสดงสีหน้าบ่อยครั้งสะสม ซึ่งรอยชนิดนี้แม้ไม่ได้ขยับก็สามารถเห็นริ้วรอยร่องลึกได้อย่างชัดเจน และยังคงอยู่บนใบหน้าตลอด การักษามีสองหนทางคือการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้น หรือฉีดไขมันเข้าไปเติมร่องลึกให้อิ่มฟูขึ้นมา


วิธีลดเลือน ริ้วรอยรอบดวงตา

ริ้วรอยรอบดวงตา

1.มาส์กธรรมชาติ

การเลือกใช้มาส์กที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ หรือมาส์กที่เราสามารถผสมได้เองนั้นก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อช่วยในการลดเลือนริ้วรอย ส่วนผสมจากธรรมชาติอย่างแรกที่มีคุณสมบัติที่ดีต่อการบำรุงผิวนั้นก็คือ น้ำผึ้ง ซึ่งมีการใช้กันมาอย่างยาวนานเป็นพัน ๆ ปี เพราะน้ำผึ้งมีฤทธิ์ในการปลอบประโลมผิว และช่วยในการสมานผิวที่อ่อนแอให้กลับมาแข็งแรงยิ่งขึ้น อีกหนึ่งส่วนผสมธรรมชาติก็คือโยเกิร์ต ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นขึ้นได้ภายในไม่กี่นาที แบะความชุ่มชื้นนี่เองที่จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยรอบดวงตาขึ้นได้ 

2. ครีมบำรุง

การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่สามารถช่วยในการบำรุงให้ริ้วรอยรอบดวงตาดูจางลง หรือปกกันไม่ให้มีริ้วรอยใหม่เกิดขึ้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะสามารถช่วยในเรื่องของริ้วริยได้ในระยะยาว โดยอายครีมที่เลือกใช้นั้นควรมีส่วนผสมที่สามารถช่วยปัญหาริ้วรอยได้โดยเฉพาะ และที่สำคัญคือจะต้องมีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้น้พียงพอ เพราะเมื่อผิวของเรามีความชุ่มชื้นเพียงพอนั้นก็จะเปิดความหยืดหยุ่นผิวหนังไม่แห้งตึงจนเกิดเป็นปัญหาริ้วรอย สำหรับส่วนผสมสำคัญที่เราควรมองหาในครีมบำรุงรอบดวงต่นั้นก็เช่น

  • Retinol ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้เกิดริ้วรอยได้ยากยิ่งขึ้น
  • Q10 ช่วยในการปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายจากแสงแดด และชะรอการเกิดริ้วรอย
  • Vitamin C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีที่จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอย
  • Hyaluronic acid เพิ่มความชุ่มชื่นให้กักผิว ช่วยให้ผิวกักเก็บความชื้นได้ดียิ่งขึ้น
  • Vitamin E ช่วยในการปลอบประโลมผิว และบำรุงอย่างล้ำลึก
  • Ceramides ช่วยให้ผิวแข็งแรง เสริมสร้างเกราะให้กับผิว

อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการเลือกครีมทารอบดวงตานั้นก็คือการเลือกใช้ครีมที่มีความอ่อนโยนเพราะผิวรอบดวงตานั้นมีความบอบบาง และอาจไวต่อสารต่าง ๆ ในครีมได้

3. เทคนิคแพทย์

  • โบท็อกซ์ เป็นอีกหนึ่งวิธีในการลดริ้วรอบรอบดวงตาที่เป็นที่นิยมมาก ๆ สำหรับการฉีดโบท็อกซ์นั้น จะเริ่มเห็นผลของความเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 5-7 วัน และจะเห็นผลได้อย่างชัดเจนที่สุดเมื่อครบ 2 สัปดาห์ และจะคงอยู่เช่นนั้นเป็นเวลา 3 – 6 เดือน โดยขึ้นอยู่กัยคุณภาพของโบท็อกซ์ และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต 
  • เลเซอร์ลดริ้วรอยใต้ตา 
  • รักษาด้วยคลื่นวิทยุ (Radio Frequency – RF) เป็นวิธีที่เหมาะมาก ๆ กับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากการที่ผิวขาดคอลลาเจน คลื่นวิทยุนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว และทำให้ผิวกลับมาดูเต่งตึงอีกครั้ง
  • ฉีดไขมัน เป็นวิธีที่ค่อนข้างยุ่งยากเมื่อเทียงกับการใช้ฟิลเลอร์ หรือโบท็อกซ์ เพราะจะต้องมีการเก็บไขมันจากตัวผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยจากต้นขา หรือหน้าท้อง ซึ่งก็อาจจะก่อให้เกิดแผลเป็นได้ นอกจากนี้ยังต้องทำหลายครั้งถึงจะเห็นผลเพราะไขมันนั้นร่างกายสามารถที่จะดูดซึมกลับไปใช้ได้ การลดริ้วรอยรอบดวงตาด้วยการฉีดไขมันนี้เหมาะกับผู้ที่มีความเสี่ยงในการแพ้สารต่าง ๆ อย่างรุนแรง เพราะเป็นการใช้ไขมันจากร่างกายตนเอง ไม่ใช่การฉีดสารอย่างอื่นเข้าไปนั่นเอง 
  • ฉีดฟิลเลอร์ การฉีดฟิลเลอร์นั้นเป็นการเข้านำเอาฟิลเลอร์เจ้าไปเติมเต็มชั้นผิวที่ยุบตัวลง ใครที่มีปัญหาริ้วริยรอบดวงตาที่มาจากเบ้าตาลึก รอยพับตา หรือมีรอยย่นใต้ตามาก การฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีที่แพทย์ทางด้านผิวหนังส่วนใหญ่แนะนำ

การป้องกันไม่ให้เกิด ริ้วรอยรอบดวงตา

ริ้วรอยรอบดวงตา

  1. ปกป้องผิวหน้าจากแสงแดด

แสงแดดเป็นตัวอันตรายและเป็นปัจจัยสำคัญที่เกิดริ้วรอยก่อนวัย เนื่องจากรังสี UVA และ UVB ทำลายชั้นอนุมูลอิสระบนผิวหนัง และบางครั้งดวงตาก็เป็นจุดที่หลายคนอาจเผลอละเลยทาครีมกันแดดบริเวณรอบเปลือกตา หรือการม้สวมแว่นกันแดดตอนออกแดดจ้าทำให้ริ้วรอยรอบดวงตายิ่งเกิดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

  1. ใช้อายครีมเป็นประจำ

เนื่องด้วยดวงตาของเราก็เป็นส่วนหนึ่งของผิวหนัง การรักษาความชุ่มชื้นและคงให้ผิวอิ่มน้ำ เติมเต็มคอลลาเจนก็เป็นอีกหนึ่งหนทางในการบำรุงให้การเกิดริ้วรอยใต้ดวงตาน้อยลง เพื่อทางที่ดีควรใช่ควบคู่กับครีมกันแดดสูตรที่ไม่แสบตา อนึ่งครีมที่ทารอบดวงตาก็ไม่จำเป็นต้องแพงมากนัก สามารถใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์แทนกันได้เลยหรือวาสลีนทาแทนก็ย่อมได้ อีกทั้งกักเก็บความชุ่มชื้นในนานกว่าด้วย เน้นทาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำสม่ำเสมอ

  1. ดื่มน้ำ พักผ่อนให้เพียงพอ

การดื่มน้ำ (ตามดัชนีมวลของร่างกายแต่ละคน) และการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพออย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมงขึ้นไปส่งผลต่อผิวและความชุ่มชื้นอย่างเห็นได้ชัด หากคุณมีปัญหาในการดื่มน้ำ อย่างน้อยตอนตื่นนอนพยายามดื่มให้ได้สักครึ่งแก้ว และจิบน้ำเปล่าระหว่างวันบ่อย ๆ ก็จะช่วยคุณได้มาก ส่วนในเรื่องของการนอนพักผ่อน ไม่มีสูตรใดดีที่ดีสุดเท่ากับการนอนหลับให้เต็มอิ่มเพราะระบบในร่างกายจะฟื้นฟูได้ดีที่สุดเมื่อยามเรานอนหลับนั่นเอง

  1. ไม่เครียด และ ออกกำลังกายเป็นประจำ

การเครียดทำให้เรามักต้องมีการแสดงอารมณ์และสีหน้าด้วยความตึงเครียด และมีฮอร์โมตัวหนึ่งที่ทำให้หน้าหมองคล้ำและเกิดริ้วรอยบนดวงตาได้ ควรหาทำกิจกรรมอื่นเพื่อให้จิตใจได้ผ่อนคลาย อย่างเช่นดูหนัง ฟังเพลง ออกกำลังกาย ใช่แล้วเมือเราออกกำลังอย่างสม่ำเสมอทำให้เลือดสูบฉีดดี ร่างกายได้สะบัดความเครียดออกไป สร้างฮอร์โมนความสุขออกมาเป็นผลดีทั้งจิตใจและสุขภาพผิวพรรณ

  1. การรับประทานวิตามินเสริม คอลลาเจน

การรับประทานอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ และความงามก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เรามารถทำได้เพื่อให้เกิดการบำรุงอย่างล้ำลึกจากภายในสู่ภายนอก เช่นการเลือกรับประทานวิตามินซีซึ่งมีคุณประโยชน์หลากหลาย วิตามินซีนอกจากจะช่วยให้ผิวกระจ่างใสแล้วนั้น ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยเข้าไปเสริมสร้างผิวให้แข็งแรงทำให้ริ้วรอยต่าง ๆ นั้นเกิดใหม่ได้ยากขึ้น อีกหนึ่งอาหารเสริมสามารถช่วยเรื่องของริ้วรอยได้ก็คือ คอลลาเจนบำรุงผิว โดยเฉพาะคอลลาเจนไทป์ที่ 1 มีหลากหลายรูปแบบให้สามารถเลือกรับประทานได้ตามความชอบ และความสะดวก ไม่ว่าจะทั้งแบบผงชง แบบเจลลี่พร้อมทาน คอลลาเจนที่มาในรูปแบบเครื่องดื่ม เรียกได้ว่าใครสะดวกกับแบบไหน ชอบรสชาติแบบไหนมากกว่าก็เลือกตามที่ชอบได้ คอลลาเจนนั้นมีความสารถในการเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอในร่างกาย เรียกได้ว่าเป็นสารที่เพิ่มความยืดหยุ่นซึ่งส่งผลให้ผิวของเรานั้นไม่แห้งตึงจนก่อให้เกิดริ้วรอย ดีตั้งแต่ภายในสู่ภายนอกนั่นเอง


อ้างอิงจาก

https://www.ncbi.nlm.nih.gov

https://www.mountsinai.org/health-library/symptoms/wrinkles

https://www.phyathai.com/

https://www.rama.mahidol.ac.th/