ผิวสวยหน้าใส บำรุงได้ด้วยคอลลาเจน

ผิวสวยหน้าใส คือต้องใส่ใจในการดูแลเป็นทั้งสำหรับผู้หญิงและผู้ชายในทุกวัย ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงผิวหน้าที่มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลัก จึงเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันนี้ ในบทความนี้จึงพูดถึงประโยชน์ของคอลลาเจนต่อผิวหน้าและวิธีการดูแลผิวหน้าด้วยคอลลาเจนเพื่อช่วยให้คุณได้ผิวสวยหน้าใสที่มีความนุ่มนวลและชุ่มชื้นอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเทคนิคและวิธีการที่ถูกต้องที่จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการดูแลผิวหน้าของคุณได้


ผิวสวยหน้าใส ด้วยคอลลาเจน

ผิวสวยหน้าใส

ผิวสวยหน้าใส เป็นความปรารถนาของหลายคน ซึ่งการดูแลผิวหน้าด้วยวิธีที่ถูกต้องจะช่วยให้ได้ผลดีเป็นอย่างมาก ซึ่งประโยชน์ของคอลลาเจนต่อผิวหน้าที่จะช่วยให้คุณได้ผิวสวยหน้าใสอย่างมีประสิทธิภาพนั้นสามารถหาได้จากธรรมชาติหรือ อาหารเสริมคอลลาเจน ทั่วไป เนื่องจากคอลลาเจนเป็นโปรตีนที่มีอยู่ในร่างกายของคนเราอยู่เป็นปริมาณมาก โดยเฉพาะอยู่ในผิวหนัง กระดูก และเส้นเอ็น แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าคอลลาเจนในร่างกายลดลงก็อาจทำให้ผิวหน้าเสื่อมสภาพได้ ซึ่งการรับประทานคอลลาเจนสามารถช่วยเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในร่างกายได้ และสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพของผิวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ


1. หน้าที่ของคอลลาเจนต่อผิวหน้า

คอลลาเจนมีหน้าที่เสริมสร้างเนื้อเยื่อผิวหนัง เพื่อช่วยให้ผิวหน้ามีความยืดหยุ่น และไม่เสียเปลี่ยนไปง่าย ๆ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อของผิวหนัง เพื่อช่วยลดริ้วรอย และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า


2. การรับประทานคอลลาเจนเพื่อผิวหน้า

เมื่อร่างกายเริ่มมีการสูญเสียคอลลาเจน การรับประทานคอลลาเจนเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในร่างกายได้ ในปัจจุบันนี้มีหลายวิธีในการรับประทานคอลลาเจน อาทิเช่น รับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของคอลลาเจน เช่น ปลา สตูและเนื้อวัว เป็นต้น รวมถึงการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคอลลาเจน เช่น ผงคอลลาเจนหรือเม็ดคอลลาเจน และยังมีเครื่องดื่มคอลลาเจนที่เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบันอีกด้วย


3. การดูแลผิวหน้าด้วยคอลลาเจน

นอกจากการรับประทานคอลลาเจนเพื่อเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในร่างกายแล้ว ยังมีวิธีการดูแลผิวหน้าด้วยคอลลาเจนอีกด้วย อาทิเช่น การใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงผิวหน้าที่มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลัก เช่น ครีมบำรุงผิวหน้า หน้ากากหรือเซรั่ม ที่มีคอลลาเจนเข้าไปช่วยบำรุงผิวหน้าซึ่งสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้ และช่วยปรับปรุงสภาพผิวหน้าให้เป็นผิวสวยหน้าใสได้อย่างมีประสิทธิภาพ


7 วิธีบำรุง ผิวสวยหน้าใส แบบยั่งยืน

ผิวสวยหน้าใส

การบำรุงผิวให้สวยเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำเพื่อดูแลรักษาสุขภาพของผิวหน้าอย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ในบทความนี้จึงจะนำเสนอวิธีบำรุงผิวให้สวยบนใบหน้าให้ท่านได้อ่านและนำไปปฏิบัติตามได้ง่าย ๆ ดังนี้

1. ทำความสะอาดใบหน้าอย่างถูกต้อง

การทำความสะอาดใบหน้าอย่างถูกต้องเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบำรุงผิวหน้า เพราะหากไม่ทำความสะอาดให้ดีอาจทำให้หน้ามันเป็นสิวและผิวหน้าก็จะค่อย ๆ มีปัญหาตามมาได้

2. ใช้ที่นอนที่มีคุณภาพ

การนอนหลับในที่นอนที่มีคุณภาพสูงสามารถช่วยบำรุงผิวหน้าได้เป็นอย่างมาก เนื่องจากช่วยให้ผิวหน้าสดชื่นและไม่มีเส้นรอยและเป็นการช่วยลดเวลาการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ บนผิวหน้าได้

3. ใช้น้ำมะพร้าวบนผิวหน้า

น้ำมะพร้าวเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูง ช่วยบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื่นและเพิ่มความอ่อนเยาว์ให้กับผิวหน้า สามารถทานมะพร้าวในรูปแบบของน้ำหรือชิ้นเนื้อผสมผสานกับเครื่องสำอางหรือใช้ทาให้ผิวหน้าโดยตรง

4. ใช้สมุนไพรเพื่อบำรุงผิวหน้า

สมุนไพรบางชนิดมีสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์ต่อผิวหน้า เช่น พริกไทยขาวที่มีสารประกอบของวิตามินซีและวิตามินบี โดยสามารถนำมาบดและทาบนใบหน้าได้

5. ใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่เหมาะสม

ครีมบำรุงผิวหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญในการบำรุงผิวหน้า เนื่องจากช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื่นและสดชื่น นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิวหน้าจากแสงแดดและสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่อาจทำให้ผิวหน้าเสียหายได้ ควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้า หากคุณกำลังมองหาครีมที่ชุ่มชื่น เราขอแนะนำบทความ 10 ครีมบำรุงช่วยให้ผิวหน้าแห้ง

6. อาหารที่เหมาะสม

การบำรุงผิวหน้าไม่ได้แค่การทำความสะอาดใบหน้า การดื่มน้ำเพียงพอ การใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่เหมาะสม และอาหารที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวหน้า เช่น ผลไม้และผักสีสันต่าง ๆ ที่มีวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ซึ่งช่วยเสริมสร้างสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวหน้าได้

7. หลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจเสียหายต่อผิวหน้า

การหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจเสียหายต่อผิวหน้าเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เช่น หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะทำให้ผิวหน้าขาดน้ำและสามารถทำให้เสียหายได้


พฤติกรรมที่ช่วยสร้างผิวสวยได้จากภายใน

ผิวสวยหน้าใส

  • ดื่มน้ำเพียงพอ: การดื่มน้ำเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายของคุณมีความชุ่มชื้นเพียงพอและสามารถแก้มตามองได้ง่าย นอกจากนี้ การดื่มน้ำเพียงพอยังช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกายออกและช่วยลดการเกิดสิวและริ้วรอยบนผิวหน้าได้ด้วย
  • ออกกำลังกาย: การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนไปยังผิวหน้า ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อผิวหนัง และช่วยลดการเกิดริ้วรอย
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: อาหารที่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูง จะช่วยสร้างเนื้อเยื่อผิวหนังและป้องกันการสูญเสียคอลลาเจน
  • การใช้เครื่องมือและผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม: การใช้เครื่องมือที่เหมาะสม เช่น แปรงทำความสะอาดหน้า
  • การลดการสัมผัสกับแสงแดด: การสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงจะทำให้ผิวหน้าของคุณแห้งและเสียเปลี่ยนไปง่ายๆ ดังนั้นควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดและหมวกป้องกันแสงแดดเมื่อออกนอกในช่วงเวลาที่แสงแดดแรง
  • การทำความสะอาดผิวหน้า: การทำความสะอาดผิวหน้าเป็นเรื่องสำคัญในการดูแลผิวหน้า เพราะจะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวหน้าที่ตายออกไป ทำให้ผิวหน้าของคุณสะอาด และช่วยให้ผิวหน้าสวยงามมากยิ่งขึ้น
  • การเลือกใช้ครีมให้เหมาะกับผิวหน้า: การใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมเพื่อบำรุงผิวหน้า เช่น ครีมบำรุงผิวหน้า หน้ากาก หรือเซรั่ม จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า และช่วยปรับปรุงสภาพผิวหน้าให้เป็นผิวสวยหน้าใสได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้ผิวหน้าเสียเปลี่ยนไป: การเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้ผิวหน้าเสียเปลี่ยนไป อาทิเช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การสัมผัสกับสารเคมี และการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง เป็นต้น

วิธีการดูแลผิวหน้าให้มีความชุ่มชื้น

ผิวสวยหน้าใส

แนะนำวิธีการดูแลผิวหน้าเพื่อให้มีการเติมเต็มความชุ่มชื้นและความอ่อนเยาว์ได้ดังนี้:

  • ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเอาเศษเหลือของเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกอื่นๆออกจากผิวหน้า ใช้สารล้างหน้าที่เหมาะสมสำหรับประเภทผิวของคุณ
  • ใช้โทนเนอร์หลังจากล้างหน้าเพื่อเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวต่อไป
  • เลือกใช้ครีมให้เหมาะกับประเภทผิวของคุณ เช่น ครีมบำรุงผิวหน้าที่มีสารต้านอนุมูลสร้าง สารช่วยกระชับผิวหน้า หรือสารช่วยให้ผิวเนียนเรียบเนียน
  • ใช้แผ่นมาร์คหน้าหลังจากใช้ครีมบำรุงผิวหน้าเพื่อช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า
  • เลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะกับวัย และใช้กันแดดทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เพราะแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นการเกิดริ้วรอยและเสียสีผิวหน้า
  • หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งที่อาจทำให้ผิวหน้าเสียหาย เช่น สบู่หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีสารเคมีที่อาจทำให้ผิวหน้าแห้งเป็นต้น
  • อย่าลืมทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวหน้า เช่น ผลไม้ และผักที่มีวิตามินและเส้นใยสูง เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับผิวหน้า
  • พักผ่อนให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงสตรีซในชีวิตประจำวัน เพราะการทำงานหนักหรือเครียดจะทำให้ผิวหน้าเสียหายได้
  • นอนหลับให้เพียงพอ เพราะการนอนไม่เพียงพอจะทำให้ผิวหน้าดูเหนื่อยเพรียว และอาจทำให้เกิดฝ้าและกระจุกดำบริเวณใบหน้าได้
  • พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวหน้า เพื่อให้ได้คำแนะนำและวิธีการดูแลผิวหน้าที่เหมาะสมกับประเภทผิวของคุณ

นอกจากการดูแลผิวหน้าด้วยวิธีการทั่วไปที่กล่าวมาแล้ว ยังมีวิธีการดูแลผิวหน้าอื่นๆ ที่อาจช่วยเพิ่มความสวยสดใสและช่วยบำรุงผิวหน้าได้อย่างดี เช่น

  • การทำสปาหน้าที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นและความสดชื่นให้กับผิวหน้า โดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น มะพร้าว, ผลไม้, และน้ำมันพืชต่างๆ
  • การนวดหน้าที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและยกกระชับผิวหน้า โดยใช้น้ำมันหอมระเหยต่างๆ หรือเครื่องมือนวดหน้าเฉพาะที่
  • การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เลเซอร์หน้า, ไฟฟ้าสเตอร์ไลท์ หรือ วิธีการดูแลผิวหน้าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ เช่น เลเซอร์สัมผัสแบบมิโครเนี้ยน, ไฮเดรตีเดอร์มา, และโทโฟเทอร์ปรับสมดุลความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า
  • การรักษาผิวหน้าโดยใช้ศาสตร์เคมี เช่น การใช้กระบวนการผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผิว โดยไม่ใช้สารเคมีที่อาจเสียหายต่อผิวหน้า หรือการผสมผสานสารสกัดจากธรรมชาติเพื่อเสริมสร้างสารอาหารสำหรับผิวหน้า

การดูแลผิวหน้าเพื่อให้ได้ ผิวสวยหน้าใส  แบบยั่งยืนนั้นไม่ได้มีอยู่เพียงวิธีเดียว แต่เป็นการรวมกันของหลายวิธี ดังนั้นจึงต้องมีความตั้งใจและการปฏิบัติตามเทคนิคการดูแลผิวหน้าที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง เพราะผิวหน้าเป็นส่วนที่ใคร ๆ ก็เห็นได้ชัดที่สุด ดังนั้นการดูแลผิวหน้าที่ดีจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการดูแลสุขภาพผิวหน้าของคุณให้เหมาะสมกับอายุและสภาพผิวหน้าของคุณในแต่ละช่วงเวลา


อ้างอิงจาก :

บำรุงรอบดวงตา ด้วยวิธีธรรมชาติให้ดูสดใสและลดรอยตีนกา

บำรุงรอบดวงตา บอกลารอยตีนกา พบเจอกับดวงตาที่มีความหวานเต่งตึงเหมือนเด็กอายุ 18 อีกครั้ง เพราะคนเราเมื่ออายุมากขึ้นแน่นอนว่าใบหน้าก็จะมีการเหี่ยวย่น หนึ่งในนั้นคือบริเวณรอบดวงตาของเราซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาผิวบนใบหน้าที่ผู้คนนั้นมักเจอ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นตามรอบดวงตาหรือที่เรียกง่าย ๆ ว่ารอยตีนกานั่นเอง บางคนอาจจะทำให้หมดความมั่นใจในตอนยิ้มไปเลย แน่นอนว่าบางครั้งการเข้าคลินิกเลือกวิธีรักษาเป็นคอร์สราคาก็แสนจะแพงจนทำให้เกินงบประมาณ หรือบางคนอาจจะซื้อเป็นครีมทาเฉพาะดวงตาที่สามารถช่วยกระชับอยู่ได้สักพักหนึ่ง แต่การใช้ครีมก็ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน เพราะผิวหน้าหรือว่าผิวรอบดวงตาของคนเรามีความแตกต่างกันออกไป ทำให้การรักษาแบบวิธีธรรมชาติก็มีหลากหลายวิธีที่เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสูตรจำพวกแบบใบบัวบกหรือสูตรใบตำลึงที่เพิ่มความเต่งตึงและลดริ้วรอย หากคุณอยากบำรุงรอบดวงตาให้กลบับมาสดใสด้วยวิธีธรรมชาติ มาดูกันว่าต้องทำอย่าไรบ้าง


สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหารอบดวงตา

บำรุงรอบดวงตา

สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหารอบดวงตา คือ คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ‘อีลาสติน’ หรือที่เรียกว่า ‘เส้นใยในผิว’ รวมไปถึงคอลลาเจนที่จะมาช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นและแข็งแรงให้ผิวนั้นจะค่อย ๆ ลดลงนั่นเอง และผลที่เกิดตามมาก็จะทำให้เกิดเป็นรอยเหี่ยวย่นและรอยตีนกาอย่างที่บอกไป บางคนก็มีการเข้าคอร์สรักษาตามคลินิกก็จะเห็นผลลัพธ์ไปตาม ๆ กัน แต่บางครั้งก็จำเป็นจะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก จึงทำให้การ วิธีลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตา ด้วยวิธีธรรมชาติแบบง่าย ๆ ก็เห็นผลลัพธ์ได้เช่นเดียวกัน แต่อาจจะช้ามากกว่าการเข้าคลินิก

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลากหลายปัญหาที่ทำให้เกิดริ้วรอบบริเวณรอบดวงตาได้ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการแสดงอารมณ์ทางใบหน้าที่มากจนเกินไปทั้งการยิ้มและขมวดคิ้ว สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญหลัก ๆ ที่ถึงแม้เราจะมีอายุน้อยก็สามารถทำให้เกิดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาหรือรอยตีนกาได้เช่นกัน


วิธี บำรุงรอบดวงตา แบบธรรมขาติ

บำรุงรอบดวงตา

บำรุงรอบดวงตา แบบธรรมชาติสามารถทำตามได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งการเลือกรับประทานอาหาร การใช้ชีวิตประจำวัน  หรือ ไนท์ครีมช่วยบำรุงผิวกลางคืน วันนี้แอดมินจึงนำเคล็ดลับที่ไม่ลับอีกต่อไปที่คุณนั้นสามารถทำให้รอบดวงตาไม่มีรอยตีนกาบวกกับวิธีการบำรุงไปได้ในตัว

  • พิ่มคอลลาเจนบริเวณรอบดวงตา เพราะการสูญเสียคอลลาเจนถือว่าเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตาหรือตีนกาได้ การเติมเต็มคอลลาเจนในร่างกายจึงมีส่วนช่วยทำให้ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัยและช่วยลดเรือนริ้วรอยได้ คุณสามารถหาแหล่งคอลลาเจนได้จากอาหารต่าง ๆ รวมถึงรูปแบบอาหารเสริมคอลลาเจนที่วางขายในตลาดสุขภาพและความงาม
  • เลือกกินอาหารที่ดีต่อการบำรุงสายตา ไม่ว่าจะเป็นผักผลไม้ ผักใบเขียว อะโวคาโด รวมไปถึงไข่ที่มีโปรตีนสูงจะช่วยซ่อมแซมร่างกายลอยเป็นการเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
  • การดูแลรักษาทำความสะอาดบริเวณขอบดวงตาอยู่เป็นประจำ ไม่ควรขยี้ดวงตาบ่อยหรือจะเลือกใช้เป็นการบำรุงแบบธรรมชาติ อย่างเช่น บำรุงรอบดวงตาด้วยใช้แตงกวา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นการรักษารอบดวงตาแบบธรรมชาติที่ดีมาก ๆ
  • บำรุงดวงตาวิธีที่ดีคือการจิบน้ำบ่อย ๆ จะช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา บวกกับการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยทำให้ดวงตาของคุณนั้นได้พักกับความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก
  • การใช้สมุนไพร เช่น ตะไคร้ รากว่า ยี่หร่า มะกรูด มะเขือเทศ สาหร่ายเส้น และลูกชิ้นชะอม ซึ่งมีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการบำรุงดวงตาและการลดการเสื่อมสภาพของดวงตาได้
  • รับประทานอาหารที่เหมาะสม เพราะการรับประทานอาหารที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ระบบตาแข็งแรงและสมบูรณ์ได้ดียิ่งขึ้น อาหารที่มีประโยชน์สำหรับดวงตาได้แก่ ผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักกาดขาว คะน้า ผักกาดหอม และผักกูด ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม และแตงกวา และอาหารที่มีปริมาณแคลอรี่ต่ำ เช่น ปลา เนื้อไก่ เป็นต้น
  • การพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะช่วยลดความเครียดและประสิทธิภาพของการทำงานของตา ให้เรามีพลังงานที่เพียงพอในการทำกิจกรรมประจำวัน โดยการนอนหลับให้เพียงพอและปรับปรุงการนอนให้มีคุณภาพดีขึ้น
  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สามารถทำให้ดวงตาเสื่อมสภาพได้และทำให้เกิดริ้วรอยต่าง ๆ ดังนั้นควรลดหรือเลิกสูบบุหรี่และไม่ดื่มแอลกอฮอล์เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี

นอกจากนี้ ยังมีวิธีธรรมชาติอื่น ๆ อีกมากมายในการบำรุงรอบดวงตาแบบธรรมชาติ หากไม่อยากเสียเงินเข้าคลินิกแพง ๆ อย่าง ขั้นตอนในการทาสกินแคร์รูทีน ก็สำคัญเช่นกัน วันนี้แอดมินมีสูตรลับมาจากสาว ๆ หลายคนที่มีปัญหาเหล่านี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการรักษาแบบวิธีธรรมชาตินั้นจะใช้เวลาในการบำรุงและเห็นผลได้ช้า แต่ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัย ไม่แพง ไม่ต้องเสียตังค์เยอะก็สามารถที่จะมีใบหน้ารอบดวงตาที่กลับมาอิ่มฟูเต่งตึงเหมือนเดิม


สูตรลดริ้วรอย บำรุงรอบดวงตา

บำรุงรอบดวงตาด้วยวิธีธรรมชาติที่อยู่บ้านก็สามารถทำได้ แทบไม่ต้องไปเข้าคอร์สคลินิกก็เห็นผลลัพธ์ได้ในไม่ช้าหากบำรุงในทุก ๆ วันนี้แอดมินจะมาแจกสูตรลดริ้วรอยลดรอยตีนกาและบำรุงขอบตาไปในตัว จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน

  1. บำรุงรอบดวงตาด้วย แตงกวา

บำรุงรอบดวงตา

สูตรการใช้แตงกวาจะช่วยทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นและลดรอยตีนกาได้เป็นอย่างดี เป็นวิธีธรรมชาติแบบดั้งเดิมที่ดีที่สุดเพราะสารในแตงกวานั้นจะมีความอิ่มน้ำ เมื่อนำมาร์คบริเวณรอบดวงตาจะช่วยเพิ่มความเต่งตึงได้นั่นเอง โดยนำแตงกวามาฝานให้เป็นแผ่นบาง ๆ ประทับบนเปลือกตาเอาไว้ให้ได้ประมาณ 20 นาทีต่อครั้ง อย่างน้อยควรทำอาทิตย์ละครั้งหรือ 2-3 ครั้งก็ได้ ซึ่งแตงกว่าจะมีทั้งวิตามินแร่ธาตุที่จะช่วยฟื้นฟูและลดรอยได้ดี สูตรนี้จะเป็นสูตรที่เหมาะสำหรับคนที่มีผิวหน้าที่แห้งอีกด้วย

  1. ไข่ขาวเพิ่มความกระชับ

บำรุงรอบดวงตาไข่ขาวเพิ่มความกระชับ

สูตรไข่ขาวเพิ่มความกระชับรอบดวงตา วิธีนี้ทำได้โดยการนำไข่มาตอกใส่ถ้วยหรือจะมีการแยกไข่แดงออกเอาแต่ไข่ขาวมาตีให้เป็นฟู ๆ ก็ได้ จากนั้นนำสำลีมาชุบแล้วค่อย ๆ นวดหรือทาบริเวณโหนกแก้มรอบดวงตาแล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีและล้างออกด้วยน้ำสะอาด

  1. สูตรมะขามเปียก

บำรุงรอบดวงตาด้วยมะขามเปียก

สูตรการใช้มะขามเปียกเหมาะกับคนที่ผิวมัน ให้นำส่วนผสมมะขามเปียก 1 กรัม น้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ และนมรสจืด 3 ช้อนโต๊ะ คนส่วนผสมเหล่านี้ให้เข้ากันและตามด้วยกรองใส่ผ้าขาวบาง จากนั้นก็ใส่ภาชนะปิดเก็บไว้ในตู้เย็นรอสักพักหนึ่ง ก่อนที่อยากใช้สูตรนี้ต้องล้างหน้าให้สะอาดหมดจด นำมามาร์กไว้ประมาณ 10 นาที แล้วค่อยล้างออก


สูตรบำรุงรอบดวงตาเหล่านี้ ถือว่าเป็นวิธีแบบธรรมชาติที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเอง เพราะส่วนผสมนั้นก็ถือว่าหาได้ไม่ยากและมีราคาไม่แพงเลย หากใครที่อยากให้ดวงตากลับมาดูสดใสและไม่มีริ้วรอย ลองนำสูตรเหล่านี้ไปใช้แต่ แต่ที่สำคัญก็อย่าลืมหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะทำให้เกิดริ้วรอยได้ เช่น การขมวดคิ้วบ่อย ๆ หรือการแสดงสีหน้าท่าทางต่าง ๆ 


อ้างอิงจาก :

เลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิว แต่งลุคไหนก็รอด!

การเลือกลิปสติกนอกจากผู้หญิงหลายคนจะเลือกจากแพ็กเกจที่น่ารักจนสะดุดสายตาแล้ว การ ‘ เลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิว ’ ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะต่อให้แพ็กเกจสวย น่ารัก ขนาดไหน แต่หากคุณเลือกสีลิปที่ไม่เข้ากับสีผิวของคุณก็อาจทำให้การแต่งหน้าวันนั้นดูไม่ปังหรือใบหน้าดูไม่สดใสได้ หากคุณอยากรู้ว่าแต่ละสีผิวต้องทาลิปสติกสีไหนถึงจะเข้ากับผิวและทำให้ใบหน้าดูสวย เปล่งปลั่งมากที่สุด วันนี้เรามีคำตอบมาให้คุณแล้ว


ทำความรู้จักกับ ‘อันเดอร์โทน’ ผิวของคุณอยู่โทนสีผิวไหน

เลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิว

อันเดอร์โทนสีผิว (Undertone) คือ สีของผิวหนังของคุณซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสีจริง ๆ ที่ดูจากเม็ดสีเมลานินภายใต้ผิวหนัง หากคุณรู้จักกับโทนสีผิวของคุณแล้วมันจะช่วยให้คุณหาเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ รวมถึงเครื่องประดับและเฉดสีการแต่งหน้าได้ง่ายขึ้น โดยอันเดอร์โทนสีผิวจะแบ่งออกเป็น 3 โทน ดังนี้

  • สีผิว Cool Tone : โทนสีผิวนี้จะเรียกว่า ‘ผิวโทนเย็น’ หรือ ‘ผิวโทนชมพู’ ให้คุณสังเกตที่ข้อมือหากมีเส้นเลือดเป็นสีม่วงหรือสีน้ำเงิน แสดงว่าอันเดอร์โทนของคุณอยู่ในโทนสีผิวนี้ ซึ่งเสื้อผ้าหรือเครื่องสำอางที่เหมาะกับคนสีผิวโทนนี้จะได้แก่ สีเขียว สีพีช สีฟ้า สีชมพู สีน้ำตาลนู้ด สีเขียวอมฟ้า สีฟ้าพาสเทล สีส้มนู้ด สีม่วง สีม่วงแดง สีแดง เป็นต้น
  • สีผิว Warm Tone : โทนสีผิววอร์มโทน คือ ‘โทนผิวร้อน’ หรือ ‘ผิวเหลือง’ หากสีเส้นเลือดของคุณออกเป็นสีเขียวหรือเขียวขี้ม้า แสดงว่าอันเดอร์โทนของคุณอยู่ในระดับนี้ คุณสามารถสวมเสื้อผ้าหรือเครื่องสำอางเฉดสีกลาง เช่น สีครีม สีเบจ สีส้ม น้ำตาล ส้มอมชมพู หรือเหลืองอมเขียว เป็นต้น
  • สีผิว Neutral Tone : โทนสีผิวธรรมชาติ คือโทนสีผิวกลาง ๆ ระหว่างสีชมพูและสีเหลือง ซึ่งโทนนี้เรียกได้ว่าเป็นสภาพโทนสีผิวที่แต่งตัวหรือแต่งหน้าได้ง่ายมาก ๆ เพราะสามารถสวมเสื้อผ้าหรือใช้เครื่องสำอางโทนสีไหนก็ได้ หากเส้นเลือดของคุณเป็นสีน้ำเงินหรือสีเขียว แสดงว่าอันเดอร์โทนของคุณอยู่ในระดับนี้

เลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิว เทคนิคง่าย ๆ รอดทุกลุค-วิธีเลือกลิปสติก

เลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิว

ผิวขาว

สีลิปสติกสำหรับคนผิวขาว ควรเลือกสีที่เหมาะสมกับสีผิวของคุณเพื่อที่จะได้ช่วยขับผิวให้ดูขาวและหน้าดูเปล่งประกาย โดยสีที่เหมาะสมสำหรับคนผิวขาวจะเป็นสีลิปสติกโทนชมพู แดง หรือส้ม ซึ่งจะทำให้ผิวหน้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งสีเหล่านี้ก็เรียกได้ว่าเป็นสีพื้นและเป็นไอเท็มเครื่องสำอางที่ผู้หญิงควรมี แต่สิ่งที่ต้องระวังอย่างหนึ่งของคนผิวขาวก็คือหากเลือกสีลิปสติกที่เป็นโทนอ่อนมากเกินไปอาจทำให้หน้าดูหมองและไม่สดใสได้

ผิวขาวเหลือง

ลิปสติกสำหรับคนผิวขาวเหลือง อาจเลือกเป็นประเภทของสีลิปสติกที่มีสีเข้มขึ้น เช่น น้ำตาลตุ่น สีบานเย็น หรือสีส้มอิฐ จะเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนผิวสีนี้เพราะจะทำให้ใบหน้าดูสดใส มีชีวิตชีวา และดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

ผิวเข้ม 

สำหรับคนผิวเข้ม สีลิปสติกที่เหมาะสมเรียกได้ว่าแทบจะทุกเฉดสี เพราะถึงแม้ว่าคนสีผิวนี้จะมีอันเดอร์โทนสีน้ำตาลเยอะแต่ก็สามารถทาลิปสติกได้หลายเฉดสีไม่จำเป็นต้องเป็นโทนใดโทนหนึ่งเท่านั้น แต่หากคุณเลือกทาลิปสติกสีนู้ด น้ำหรือ หรือสีแดงแบบเข้ม ๆ จะช่วยขับผิวได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะไม่ได้แต่งหน้าจัดเต็ม แต่เพียงแค่ทาลิปสีเหล่านี้ก็สามารถออกจากบ้านได้แบบไม่ดูโทรมแล้ว

ผิวสองสี

ลิปสติกสำหรับคนที่มีสีผิวสองสีสามารถเลือกได้หลายเฉดสีเช่นเดียวกับคนผิวเข้ม เพราะคนโทนสีนี้สามารถแต่งหน้าให้สวยละมุนได้ง่าย แต่สำหรับสีลิปสติกที่เข้ากับคนสีผิวโทนนี้มากที่สุดอาจเลือกเป็นสีโทนอิฐอย่างโทนส้มแดง สีชมพูอมส้ม หรือสีโทนนู้ด รวมถึงสีแดงเข้มหรือแดงกุหลาบก็สามารถทาลิปสติกสีนี้ได้เช่นกัน


เลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิว อย่างไรให้ปลอดภัยต่อร่างกาย

เลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิว

การใช้สีลิปสติก ช่วยทำให้ริมฝีปากของคุณดูสวยงามและใบหน้าดูสดใสขึ้น แต่อย่าลืมว่าการใช้ลิปสติกนั้นต้องปฏิบัติตามข้อแนะนำในการใช้งานและเลือกใช้ลิปสติกที่มีคุณภาพดี หรือเลือกเครื่องสำอางไทยคุณภาพดีก็ได้  เพื่อป้องกันการเกิดอาการผิดปกติหรืออาการแพ้ มาดูกันว่าจะต้องเลือกลิปสติกอย่างไรให้ปลอดภัยต่อร่างกาย

1. หลีกเลี่ยงลิปสติกที่มีน้ำหอม

การใช้ลิปสติกที่มีน้ำหอมอาจทำให้ลิปสติกมีความน่าซื้อและน่าใช้มากยิ่งขึ้น แต่อย่าลืมว่าน้ำหอมสามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ดังนั้น คุณควรเลือกใช้ลิปสติกที่ไม่มีน้ำหอมเพื่อความปลอดภัยและป้องกันไม่ให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้ โดยสามารถดูข้อมูลส่วนประกอบเกี่ยวกับน้ำหอมที่ใช้บนฉลากลิปสติก 

2. หลีกเลี่ยงลิปสติกที่ใส่สารกันเสีย

แม้ว่าสารกันเสียจะมีประโยชน์ต่าง ๆ มากมายโดยการช่วยรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้สามารถใช้งานได้นานขึ้นโดยไม่บูดหรือเสียไปก่อน แต่สารกันเสียบางชนิดก็อาจส่งผลเสียได้เช่นกันหากร่างกายได้รับสารชนิดนี้เข้าไปสะสมเป็นจำนวนมาก ซึ่งสารกันเสียที่ส่งผลเสียให้กับร่างกาย คือ Benzyl Benzoate, Parabens, BHT, Terpenes และ Phenoxyethanol  

3. ไม่ควรใช้ลิปสติกที่มีสารอันตราย

ลิปสติกบางชนิดอาจมีสารอันตรายเป็นส่วนผสมอยู่ ซึ่งสารอันตรายที่พบได้ในลิปสติกบางชนิดประกอบไปด้วย สารหนู สารตะกั่ว แอนติโมนี แคดเมียม หรือแมงกานีส หากลิปสติกมีสารเหล่านี้ผสมอยู่อาจทำให้ส่งผลต่อระบบประสาท ระบบหัวใจ หลอดเลือด รวมถึงอาจเป็นสารก่อมะเร็งได้ด้วยเช่นกัน

4. เช็ควันหมดอายุของลิปสติก

ลิปสติกหมดอายุอาจทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้ ส่วนใหญ่แล้วหลังจากการเปิดใช้งานลิปสติกทั่วไปจะสามารถใช้งานได้อีกประมาณ 1-2 ปี แต่ถ้าหากเป็นประเภทลิปกลอสจะสามารถใช้งานได้เพียง 1 ปีเท่านั้นจึงจะดีที่สุดต่อริมฝีปากของคุณ

5. เลือกลิปสติกที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ

ลิปสติกที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติอาจเป็นทางเลือกสำหรับคนที่มีปัญหาแพ้สารปรอทหรือผู้ที่แพ้ต่อสารต่าง ๆ ได้ง่าย ลิปสติกที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติอาจประกอบด้วยสารพิษต่ำกว่าลิปสติกที่มีส่วนผสมจากสารเคมี แต่ลิปสติกที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติอาจมีปริมาณสารป้องกันเสียน้อยกว่า ซึ่งอาจทำให้ลิปสติกที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติมีความแข็งแรงน้อยกว่าหรือใช้งานได้ในระยะเวลาที่สั้นกว่าเท่านั้นเอง แต่มันก็นับว่าเป็นลิปสติกสีติดทนนานด้วยเช่นกันหากคุณเลือกที่มีคุณภาพดีสักหน่อย


เลือกลิปสติกให้เข้ากับสีผิว หากคุณรู้ว่าโทนผิวของคุณอยู่ในระดับไหนก็จะช่วยให้คุณเลือกสีลิปออกได้อย่างตรงใจ ทำให้ทาแล้วช่วยขับใบหน้าและทำให้ใบหน้าดูสดใสไม่หมองคล้ำได้ ที่สำคัญหากคุณได้สีลิปสติกที่ตรงใจแล้วก็อย่าลืมตรวจสอบรายการสารสกัดว่ามีส่วนประกอบที่อาจทำให้คุณแพ้หรือไม่ หรือตรวจสอบวันหมดอายุของลิปสติกก่อนใช้งานเพื่อให้ผลลัพธ์ของผลิตภัณฑ์ออกมาสวยสมบูรณ์แบบและใช้งานได้ดีที่สุด


อ้างอิง : 

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ ช่วยให้หน้าเนียนใส ปลอดภัย 100%

การดูแลผิวหน้า เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ดังนั้นทุกคนอาจจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิว ปัญหาผิวไม่สม่ำเสมอ ความกระจ่างใสของผิวหน้า ที่ใคร ๆ ก็อยากจะรักษาหรือบำรุงให้สวยงามตามต้องการอยู่ตลอดเวลา แต่ปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามาทำร้ายผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็น อายุ ฮอร์โมน แสงแดด รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมอย่างมลพิษในปัจจุบัน ทำให้ใครหลายคนเกิดภาวะต่าง ๆ บนใบหน้ามากมาย หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของ การเกิดฝ้านั่นเอง แน่นอนเลยว่าวันนี้พวกเราได้รวบรวมเรื่องของ “ฝ้า” ให้คนรักผิวหน้าได้ทำความเข้าใจ พร้อมทั้งอธิบายถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดฝ้า ผลกระทบที่จะตามมาในอนาคต รวมไปถึง คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการรักษาดูแลไม่ให้เกิดภาวะนี้ และที่สำคัญก็คือการป้องกันไม่ให้ภาวะนี้เข้าใกล้ผิวหน้าของคุณ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดจะรวบรวมข้อมูลที่เมื่อได้อ่านแล้วจะทำให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น เพราะนี่คือการ รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ ช่วยให้หน้าใส ปลอดภัย ไร้กังวล


สาเหตุของการเกิดฝ้า

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ

สำหรับ “ฝ้า” คือปัญหาผิวที่มีลักษณะเป็นวงสีน้ำตาลอ่อน ไปจนถึงเข้ม โดยจะปรากฏออกมาเห็นอย่างชัดเจนในจุดต่าง ๆ บนใบหน้า ตัวอย่างเช่น โหนกแก้ม หน้าผาก รวมทั้งคาง โดยจะมีรู้แบบทั้งฝ้าลึก ฝ้าตื้น โดยปัญหาฝ้าบนใบหน้านั้นเป็นปัญหาที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะมีวิธีการรักษาที่ค่อนข้างยาก ใช้เวลานาน ไม่หายขาด อีกทั้งความมั่นใจที่จะสูญเสียไปกับร่องรอยของ “ฝ้า” ที่จะเป็นผลกระทบทางด้านจิตใจด้วย ดังนั้นทุกคนจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดภาวะนี้ซึ่งพวกเราได้สรุปมาแบบสั้น ๆ เข้าใจง่ายถึง 4 ปัจจัยด้วยกันดังต่อไปนี้ 

1.กรรมพันธุ์ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

กรรมพันธุ์ หรือ จะหมายถึง DNA ที่ส่งต่อมาจากพ่อ แม่ ซึ่งจะต้องบอกเลยว่าเมื่อใครเห็นว่าคนในครอบครัวนั้น เป็นฝ้าอยู่แล้ว ก็อาจจะทำให้ตัวของคุณเองมีความเสี่ยงที่จะเกิดฝ้าได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าจะเป็นการส่งต่อจากรุ่น สู่รุ่น นี่จึงเป็นสาเหตุแรกที่คุณอาจจะเลี่ยงไม่ได้ต่อการเกิดฝ้า อย่างไรก็ตามก็ยังมีวิธีที่จะช่วยให้ยับยั้งไม่ให้ภาวะฝ้าถูกมองเห็นได้ง่าย ๆ จากวิธีการรักษาทั้งแบบธรรมชาติ และการรักษาทางการแพทย์ 

2.ฮอร์โมนในร่างกาย 

การดูแลร่างกาย รักษาสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ ยังคงเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงอยู่เสมอ ซึ่งร่างกายหากอ่อนแอ หรือ ทำงานไม่เป็นระบบ ทุกอย่างก็จะเสียสมดุลไปด้วย ดังนั้นจะส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานผิดพลาด ผิดเวลา นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้าบนใบหน้าเช่นเดียวกัน แต่สำหรับบางรายเช่น คุณผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด หรือ ในช่วยที่กำลังตั้งครรภ์ ก็จะมีภาวการณ์เกิดฝ้าบนใบหน้าด้วยเช่นเดียวกัน  ดังนั้นทางออกของเรื่องนี้ก็คือ จะต้องรักษาสมดุลร่างกายให้คงที่อยู่เสมอเป็นทางดีที่สุด ถึงแม้จะเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับฮอร์โมนด้วยเช่นกัน 

3.อายุ และ กาลเวลา

เวลาหมุนเร็วขึ้นทุกวัน ใช่แล้วสิ่งนี้จะทำให้เรามีอายุที่มากขึ้น ดังนั้นเมื่ออายุมากขึ้น การเกิดฝ้าจะเกิดมากขึ้นในกลุ่มของผู้หญิง มากกว่าผู้ชาย เพราะเมื่ออายุมากขึ้นกลไกในการผลัดเซลล์ผิวของร่างกายก็ทำงานช้าลง อีกทั้งกาลเวลาที่ใช้ชีวิตมาอย่างยาวนาน การรับมลภาวะไม่ดี หรือ สิ่งแวดล้อมที่คอยทำร้ายผิว ก็ส่งผลให้อาจจะเกิดภาวะฝ้าบนใบหน้าได้นั่นเอง อีกหนึ่งเรื่องก็คือคอลลาเจนในผิวผลิตออกมาได้น้อยลงตามอายุ ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระไม่เพียงพอต่อการรักษาสภาพผิวนั่นเอง 

4.แสงแดด ตัวร้ายทำลายผิว

สำหรับอันตรายจากแสงแดดนั้น ถือได้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำร้ายผิวในทุกเรื่อง ซึ่งสาเหตุนี้จะนำไปสู่โรคผิวหนังหลายโรคทั้งบนใบหน้า รวมทั้งผิวกาย  ซึ่งใครที่ได้รับแสงแดดบ่อย ๆ ทำงานกลางแจ้ง จะมีรังสี   UVA  กับ UVB  ที่คอยทำร้ายผิวอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ไม่เคยได้ใช้ครีมกันแดดเลยก็มีโอกาสที่จะเกิดฝ้าบนผิวหน้าสูง สำหรับแสงแดดไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวเท่านั้น แต่แสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์ กับ โทรศัพท์ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คอยทำร้ายผิวอยู่เสมอ 

จะเห็นได้เลยว่าทั้ง 4 สาเหตุนี้ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะฝ้าบนใบหน้า โดยการเกิดภาวะนี้ถึงแม้ว่าไม่ใช่โรคอันตรายแต่ค่อนข้างเสี่ยงมากที่ในอนาคตอาจจะมีการสะสมจนเกิดโรคร้ายแรงอย่าง มะเร็ง  หรือ ผิวหนังอักเสบ ซึ่งจะทำไปสู่ภาวะผิวแพ้ง่าย แต่เรื่องใหญ่เลยก็คือริ้วรอยฝ้าที่ยังคงอยู่บนใบหน้าทำให้สาว ๆ สูญเสียความมั่นใจไปอย่างมาก ด้วยภาวะที่รักษายากใช้เวลานาน อาจจะมีค่าใช้จ่ายสูงในระยะยาวนั้นทำให้ใครหลายคนถึงกับเครียดกับเรื่องนี้จนสุขภาพย่ำแย่ไปมากกว่าเดิมด้วย จึงทำให้การเลือกผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดสำคัญเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามการรักษาฝ้ายังสามารถใช้วิธีทางธรรมชาติ ที่คุณเองสามารถทำได้เองที่บ้านด้วยเช่นกัน แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลากับความอดทนสักหน่อย 


รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ ทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ

หลังจากที่พูดถึงเรื่องสาเหตุของการเกิดฝ้าไปแล้ว คราวนี้พวกเราก็จะมาแนะนำ วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ สามารถทำได้เอง ถึงแม้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยากมาก แต่อาจะต้องใช้เวลา ความอดทน รวมทั้งวินัยในการดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้ผิวที่เป็นฝ้าหายขาดได้ แต่จะทำให้ดูจางลง และมีสุขภาพผิวหน้าที่ดีขึ้นนั่นเอง ซึ่งจะมีวิธีการรักษาในแบบออแกนิก ไร้สารเคมี จะเป็นผลดีต่อทุกสภาพผิวหน้า กับ 7 การรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ ไร้สารเคมี 


1.วิตามิน A , C และ E ช่วยลดฝ้าได้

การรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ เริ่มต้นได้จากการกิน ซึ่งแน่นอนเลยว่า วิตามิน A , C และ E จะมีคุณสมบัติอย่างสารต้านอนุมูลอิสระช่วยให้ลดการเกิดฝ้าได้ โดยวิตามินเหล่านี้มาจากผัก ผลไม้  แต่ทว่าจะต้องได้รับในปริมาณที่พอดีต่อวันไม่เช่นนั้นอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ อีกหนึ่งข้อดีของการรับประทานวิตามินก็คือ จะช่วยให้ผิวแข็งแรง ทนต่อแสงแดดได้ดีนั่นเอง นี่จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากเกิดฝ้ากับ วิตามินเอ ซี และ อี ที่จะช่วยในเรื่องนี้ได้แบบธรรมชาติไร้สารเคมี แต่จะเห็นผลมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน เพราะการดูดซึมวิตามินนั้นไม่เหมือนกัน

2.ว่านหางจระเข้ รักษาฝ้า

อีกหนึ่งสูตรธรรมชาติที่จะทราบกันดีก็คือ “ว่านหางจระเข้” ที่จะเป็นยาสมุนไพรขนานดีใช้สำหรับทาภายนอกเกี่ยวกับ แผล หรือ บำรุงผิว ซึ่งแน่นอนเลยว่าเจ้าพืชชนิดนี้สามารถรักษาฝ้าให้จางลงได้เช่นเดียวกัน โดยใช้ 1 ใบชองว่างหาง เลือกใบที่แก่แล้ว นำมาแช่น้ำ 10 นาที ปอกเปลือกออก ล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปปั่นให้ละเอียด ขั้นตอนต่อมาให้พอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาที ทำแบบนี้เป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยให้ผิวหน้าดูมีความกระชับ ชุ่มชื้น ฝ้าที่เป็นอยู่จะจางลง สามารถใช้วิธีนี้เพื่อเป็นการบำรุงผิวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหน้า แต่วิธีนี้อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษา เพราะแต่ละคนอาจจะเห็นผลช้า หรือ เร็วที่ต่างกัน 

3.หัวไชเท้า พอกหน้า

สูตรรักษาฝ้าแบบธรรมชาติอย่างการใช้ หัวไชเท้านั้น ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับวิธีนี้จะช่วยให้ฝ้าดูจางลง พร้อมทั้งยังลดริ้วรอยต่าง ๆ ได้ พร้อมทั้งทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้นอีกด้วย ซึ่งจะต้องนำหัวไชเท้านั้นมาบดหยาบ ๆ ผสมกับน้ำมะนาวเล็กน้อย แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งเอาไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น โดยจะต้องทำแบบนี้เป็นประจำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือ จะทำวิธีนี้วันเว้นวันก็ได้เช่นกัน แต่วิธีรักษาฝ้าด้วยตัวเอง ข้อควรระวังคือสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายนั้นไม่ควรใช้สูตรนี้ เพราะว่ามีมะนาวที่ออกฤทธิ์เป็นกรด อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบได้นั่นเอง 

4.มะขามเปียก ช่วยลดฝ้า 

อีกหนึ่งวิธีธรรมชาติที่หาได้จากก้นครัว นั่นก็คือ การนำมะขามเปียกมาสกัดน้ำข้น ๆ แล้วนำน้ำมาทาบาง ๆ ในบริเวณที่เป็นฝ้า ก่อนจะปล่อยทิ้งเอาไว้ประมาณ 3-5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผลลัพธ์ของวิธีนี้จะส่งผลให้รอยฝ้าดูจางลง อีกทั้งยังช่วยลดรอยด่างดำได้ดีด้วย ด้วยจุดเด่นของมะขามเปียกที่มีกรด AHA  กับคุณสมบัติที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกนั่นเอง

5.ใบบัวบก เช็ดแทนโทนเนอร์

โดยปกติทั่วไปแล้วเราเองจะใช้ โทนเนอร์ เช็ดเครื่องสำอาง ทำความสะอาดผิวหน้า ก่อนนอนเป็นประจำทุกวัน แต่สำหรับในครั้งนี้ใครที่เป็นฝ้าที่ผิวหน้า ให้นำใบบัวบกมาสกัดเช็ดแทน โดยมีวิธีการก็คือ นำใบบัวบกนั้นมาปั่น กรองเอาแต่น้ำ แล้วนำสำลีมาชุบน้ำสกัดใบบัวบก แล้วเช็ดทำความสะอาดแทน ซึ่งทำทุกวันก่อนนอน จะช่วยลดรอยฝ้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังส่งผลให้ผิวเรียบเนียน เป็นสูตรยอดนิยมที่ทำให้หน้าใส ไร้ริ้วรอยด้วย 

6.สูตรน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์

น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์เป็นอีกหนึ่งวิธีธรรมชาติที่จะช่วยลดฝ้า พร้อมทำให้ผิวเนียนนุ่มได้อีกครั้ง วิธีนี้จะต้องนำน้ำของแอปเปิ้ลไซเดอร์ มาผสมกับน้ำเปล่า เพื่อให้ลดกรดจากน้ำแอปเปิ้ล ต่อมาให้นำสำลีมาชุบแล้วเช็ดไปทั่วไปใบหน้า ก่อนจะปล่อยให้แห้งแล้วทำความสะอาดด้วยน้ำเย็น ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะเห็นผลได้ว่ารอยฝ้าดูจางลง อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวให้ดูกระจ่างใสด้วย

7.ไข่ขาว พอกหน้า ลดฝ้า

ประโยชน์ของไข่เรียกได้ว่ามากมายเหลือล้น แต่งานนี้บอกเลยว่าในวงการความงาม ไข่ขาว จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบทางธรรมชาติที่สำคัญมาก เพราะเมื่อนำมาผสมกับน้ำมะนาว จะได้เหมือนครีมพอกหน้าที่ช่วยลดฝ้าได้ โดยให้นำมาทาไปทั่วบริเวณในจุดที่เกิดฝ้า แล้วปล่อยทิ้งเอาไว้ประมาณ 5-10 นาที ก่อนที่จะล้างออกด้วยโฟมล้างหน้าปกติ โดยทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยดูดซับสิ่งสกปรก ลดรอยฝ้า พร้อมทั้งบำรุงให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนมากขึ้น 

ในปัจจุบันมีครีมรักษาฝ้า รวมทั้ง บำรุงผิวมากมาย แต่สำหรับคนแพ้ง่าย หรือ กลัวที่จะเป็นอย่างอื่นร่วมด้วยก็คงต้องลองวิธีการแบบธรรมชาติที่คุณทำเองได้ที่บ้าน ซึ่งนี่ก็คือ 7 การรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ ไร้สารเคมี ซึ่งจะช่วยให้คนที่ผิวหน้าแพ้ง่าย หรือ ยังไม่มั่นใจ ลองวิธีการลดฝ้าแบบธรรมชาติดูก่อนเป็นอันดับแรก เพราะว่าจะเป็นวิธีที่ปลอดภัย 100% ไม่ต้องกังวลเรื่องสารเคมี หรือ สารตกค้างใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้นทั้ง 7 วิธีนี้ยังใช้ได้ผลด้วย แต่สำหรับช่วงเวลาที่จะเห็นผลลัพธ์นั้นจะต้องใช้ความอดทน ความมีวินัยในการรักษา รวมทั้งการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องของผู้ที่เป็นฝ้า จะต้องป้องกันตัวเองในระดับหนึ่งจากสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า ไม่ว่าจะเป็น แสงแดด หรือ สิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เมื่อรู้แบบนี้แล้วคุณเองก็จะต้องรู้จักวิธีป้องกันการเกิดฝ้าด้วยเช่นกัน 


วิธีป้องกันการเกิดฝ้า

รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ

ข้อมูลต่อไปนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการป้องกันการเกิดฝ้า ซึ่งผู้ที่อยู่ในภาวะเป็นฝ้าบนผิวหน้า หรือ ผู้ที่ยังไม่ได้เป็น ก็สามารถศึกษาเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันเป็นข้อมูลได้ ยิ่งไปกว่านั้นใครที่กำลังอยู่ในช่วงรักษาฝ้า ก็จำเป็นอย่างมากที่จะต้องเรียนรู้วิธีดูแลตัวเอง วิธีป้องกันตัวเองจากสาเหตุการเกิดฝ้า เพราะไม่เช่นนั้นแล้วการรักษาก็จะไม่ส่งผลต่อตัวเอง อีกทั้งอาจจะทำให้เกิดฝ้าในจุดอื่นบริเวณใบหน้าด้วยเช่นกัน โดยวิธีการป้องกันทั้งหมดจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 

1.หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ตัวการทำร้ายผิว

แสงแดด คือ อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำร้ายผิวเป็นอย่างมาก เพราะว่ารังสียูวีเอ กับ ยูวีบี ทำร้ายผิวโดยตรง นอกจากการเกิดฝ้า กระ หรือ ทำให้ผิวอักเสบแล้ว ก็ยังส่งผลสะสมให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังในอนาคตได้เช่นกัน แต่ทว่าในความจริงเราเองไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ แต่ก็จะต้องขอแนะนำเลยว่าป้องกันด้วยการหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดในช่วงเวลาตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึง บ่าย 3 โมงเย็น แต่สำหรับในปัจจุบันแล้วแดดอาจจะจัดไปถึงช่วงเวลา 4 – 5 โมงเย็นเลยทีเดียว อีกทั้งการใส่หมวก หรือ พกร่ม เสื้อแขนยาว ก็จะช่วยให้คุณลดอันตรายจากแสงแดดได้ในระดับหนึ่งเลย 

2.ทาครีมกันแดด อย่างสม่ำเสมอ 

ครีมกันแดด คือ อีกหนึ่งเครื่องสำอางบำรุงผิวที่กลายเป็นหนึ่งในไอเทมสำคัญ สำหรับคุณผู้ชาย กับ คุณผู้หญิงไปแล้ว เพราะว่าเจ้าครีมกันแดดนี่แหละ จะช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีที่อยู่ในแสงแดด รวมทั้งมลภาวะต่าง ๆ ที่ร่างกาย หรือ ผิวหน้าได้รับ ไม่ว่าจะเป็น แสงสีฟ้า หรือ ฝุ่น ควัน ก็จะช่วยเป็นหนึ่งในเกราะป้องกันสิ่งเหล่านั้น ไม่ให้มาทำร้ายผิว สำหรับใครที่ไม่เคยใช้ครีมกันแดดเลย อาจจะเกิดฝ้าฝังลึกจนยากที่จะรักษาในอนาคตด้วยนั่นเอง แน่นอนเลยว่า ครีมกันแดด จำเป็นจะต้องทาทุกวัน หรือ ทุกกิจกรรม ถึงแม้ว่าไม่ได้ออกจากบ้าน ก็ยังมีแสงสีฟ้า พร้อมกับ รังสียูวีที่เข้ามากระทบได้จากทุกที่ ซึ่งการเลือกครีมกันแดด ก็จะต้องเลือกค่า SPF50 ขึ้นไป พร้อมกับ PA++++ จะเป็นค่าที่ดูแลผิวของเราได้อย่างดีที่สุด หากคุณไม่รู้ว่าจะทาครีมกันแดดแบบไหนดี คุณอาจสนใจบทความนี้ รีวิวกันแดดทาหน้ายอดนิยม

3.เลือกครีมบำรุงผิวให้ดี 

ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้า หรือ ผิวกาย ก็ต้องการการดูแลใส่ใจ การเลือกครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับผิว จะช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้น อีกทั้งการเลือกครีมที่ไม่มีส่วนผสมของ แอลกอฮอล์ กับ น้ำหอม ก็จะช่วยให้ผิวของคุณห่างไกลฝ้าได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน การใช้ทาผิวอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยบำรุงผิวให้เรียบเนียน ดูสุขภาพดีได้นั่นเอง 

4.ดูแลสุขภาพ ด้วยอาหาร

หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีส่วนทำร้ายร่างกายทางอ้อม รวมทั้ง ควันบุหรี่ ที่มีสารเคมีที่ทำร้ายผิวได้ด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นแล้วยังส่งผลต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตด้วย ดังนั้นการเลือกทานอาหารจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะป้องกันการเกิดฝ้าด้วยเช่นกัน เพราะการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ รวมทั้งการบำรุงไปด้วยผัก ผลไม้ ที่มีวิตามินซี อี เอ ที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ผิวแข็งแรง ก็จะเกิดฝ้าขึ้นได้ยาก ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระก็จะช่วยให้ริ้วรอยเกิดยาก ซึ่งสุขภาพดีก็มาจากอาหารด้วยส่วนใหญ่ ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยให้คุณห่างไกลฝ้า และ โรคภัยอื่น ๆ ได้นั่นเอง 

5.การออกกำลังกาย ความเครียด 

อีกหนึ่งวิธีป้องกันที่จะช่วยให้ร่างกายแข็ง ห่างไกลฝ้า ถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีอ้อม ๆ ที่อาจจะถูกมองว่าเน้นไปทางผลลัพธ์ทางร่างกายแข็งแรงมากกว่า แต่เชื่อหรือไม่ว่าการออกกำลังกายจะช่วยให้สุขภาพภายในของร่างกายดี ส่งผลให้มีผิวพรรณที่เรียบเนียน เปล่งปลั่ง การทำงานของระบบภายในร่างกายปกติ ลดความเครียด วิตกกังวล มองโลกในแง่ดี ซึ่งใครที่มีภาวะความเครียดเกิดขึ้น ต้องบอกเลยว่าจะมีแต่โรคภัยเข้ามารุมเร้าในช่วงที่ร่างกายกำลังอ่อนแอแน่นอน ดังนั้นการออกกำลังกายควรจะเกิดขึ้นอย่างน้อยวันละ 30 นาที ส่วนความเครียด ใครที่เป็นอยู่ก็ต้องมองหาเรื่องผ่อนคลายทำ เช่น ออกไปเที่ยว หรือ ทำกิจกรรมคลายเครียด 

สำหรับวิธีการป้องกัน จะสอดคล้องกับการรักษา ไม่ว่าคุณเองจะทำการรักษาอยู่หรือไม่ พฤติกรรมเหล่านี้ก็ควรจะต้องยึดเอาไว้เป็นตัวอย่างเพื่อไม่ให้ในอนาคตเป็นฝ้าบนผิวหน้า อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ช่วยทำให้คุณมีสุขภาพดี ทั้งร่างกาย ผิวพรรณ อารมณ์ ซึ่งบอกเลยว่าเป็นข้อดีทั้งหมดถ้าหากว่าคุณเองสามารถทำตามได้ ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ไม่ได้ลดฝ้าเพียงอย่างเดียว


เรียกได้ว่าปัญหาผิวหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับทุกคน เพราะคือจุดที่จะทำให้คุณมีความมั่นใจในการใช้ชีวิต ซึ่งไม่มีใครอยากให้ผิวหน้าตัวเองมีสิว หรือ กระ หรือ เป็นฝ้า เพราะจะทำให้สุขภาพจิตย่ำแย่ตามไปด้วย แน่นอนเลยว่าการดูแล ป้องกัน ด้วยวิธีการที่พวกเราได้รวบรวมข้อมูลมาแนะนำกันในบทความข้างต้น ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยาก แต่จำเป็นจะต้องใช้วินัยสูงในการดูแลรักษาตัวเอง การป้องกัน การบำรุงผิวที่สม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณมีผิวพรรณที่ดี ไม่เป็นฝ้า พวกเราเชื่อเลยว่า 7 วิธี รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ รวมทั้ง สาเหตุ กับ วิธีป้องกันฝ้า จะช่วยให้คุณเข้าใจภาวะนี้มากขึ้น เพราถึงแม้ว่าจะไม่ได้ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่ก็เป็นอีกหนึ่งภาวะที่รักษาให้หายยาก พร้อมทั้งเกิดความวิตกกังวล สุดท้ายนี้ถ้าอยากให้สุขภาพแข็งก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และ ลดความเครียด แล้วชีวิตจะดีขึ้น 


อ้างอิงจาก

5 วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ หน้าเนียนใส หายขาดได้แน่นอน (trueid.net)

6 สูตรรักษาฝ้าจากธรรมชาติ เนรมิตหน้าใส อวดความมั่นใจอีกครั้ง (sanook.com)

8 สูตรรักษาฝ้า กระ จากธรรมชาติ ปลอดภัยและได้ผลจริง – sophistmedic

บอกต่อ! 6 อันดับ ครีมทาฝ้า รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ เห็นผลจริงและเร็วที่สุด (sistacafe.com)

รูขุมขนกว้างทําไงดี ? รวมวิธีบำรุงและดูแลให้ใบหน้ากระชับขึ้น

รูขุมขนกว้างทําไงดี ? รวมวิธีบำรุงและดูแลให้ใบหน้ากระชับขึ้น

ปัญหาเรื่องผิวถือว่าเป็นเรื่องของความมั่นใจในการใช้ชีวิตในประจำวัน ในหลายคนจึงให้ความสำคัญในการดูแลบำรุงผิวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะผิวกายหรือผิวหน้า และอีกหนึ่งปัญหาที่คุ้นเคย ไม่ว่าจะยุคไหนหรือวัยใดคือปัญหาเรื่องรูขุมขนกว้าง ซึ่งเกิดได้บ่อยมาก ๆ แม้ว่าจะไม่ได้มีโทษหรือสร้างความเจ็บปวด แต่หลายคนก็สูญเสียความมั่นใจไปเลยก็มี วันนี้เราเลยจะพามาไขข้อข้องใจ รูขุมขนกว้างทําไงดี พร้อวิธีบำรุงและดูแลให้ใบหน้ากระชับขึ้น


แล้วรูขุมขนกว้าง ทำไงดี ? สาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่

รูขุมขนกว้างทําไงดี

เคยสังเกตตัวเองไหมว่า เมื่ออายุยังไม่เข้าสู่วัยรุ่นหรือช่วงวัยรุ่นตอนต้น ผิวของเราทุกคนเรียบเนียบและไม่มีรูขุมขนขรุขระเลย จนกระทั่งฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงและสภาพผิวที่เปลี่ยนไป และเมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไปรูขุมขนก็มีโอกาสขยายใหญ่ขึ้นได้อีกตามธรรมชาติ! แค่ฟังก็น่าตกใจแล้วใช่ไหม แล้วยังมีอีกสาเหตุอื่นอีกไหมที่เป็นต้นตอของเจ้ารูขุมขน มาดูกันเลยดีกว่า

เกิดจากพันธุกรรม เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะสายพันธุได้ส่งต่อกันมา การรักษาทำได้เพียงให้ขุมขนไม่ขยายใหญ่ไปมากกว่านี้

ฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะช่วงวุยแตกหนุ่มสาวที่มีการผลิตฮอร์โมนมากจำนวนมาก หน้าจึงผลิตน้ำมัน (เซบัม) มากเกินไป ทำให้ผิวต้องการขับความมันออกมาจากรูขุมขนและทำให้รูขุมขนขยายใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

ผู้มีปัญหาสิว แน่นอนว่าสิวเกิดจากไขมันในรูขุมขนอุดตัน อาจจะเป็นทั้งจากฮอร์โมน หรือสิ่งเร้าต่าง ๆ เมื่อสิวเกิดขึ้นไม่ว่าจะสิวอักเสบ สิวผด สิวเสี้ยน การที่ไขมันอุดตันผสมกับเซบัมส่วนเกินบนใบหน้า หากไม่ได้รับการรักษาสิวอย่างถูกวิธีและต่อเนื่อง ผิวก็สามารถเกิดรูขุมขนกว้างอย่างถาวรได้เช่นกัน

สภาพอากาศ แต่ละคนมีผิวหน้าที่ต่างกัน สภาพอากาศรอบตัวก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดรูขุมขนได้ เช่น สภาพอากาศหนาวเย็น ทำให้ผิวแห้งง่าย หากได้ระบความชุ่มชื้นไม่มากพอก็จะหน้าแห้ง เกิดรูขุมขนกว้าง หรือ สภาพอากาศที่ร้อนจัดเหงื่ออกบ่อย ร่างกายขับน้ำมันเซบัมออกจากผิวทำให้รูขุมขนขยายระบายนำมันและความร้อน เป็นต้น

สภาวะด้านจิตใจ ความเครียด หลายคนคงสงสัยว่าความเครียดเกี่ยวข้องได้อย่างไร เราจะมาไขข้อสงสัยกันที่นี่ ความเครียดหรือ Cortisol คือ ฮอร์โมนความเครียดของร่างกาย เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะผลิตคอร์ติซอลเป็นจำนวนมากส่งผลให้ไปกระตุ้นการสร้างน้ำมันบนร่างกาย โดยเฉพาะใบหน้าของเรา
ดูแลผิวอย่างไม่เหมาะสม กล่าวคือการขัดผิวที่มากเกินไป หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว จนเป็นสาเหตุให้ผิวอ่อนแอ เกิดรูขุมขนอุดตัน หรือผลัดผิวมากเกินไปแต่ขาดความชุ่มชื้นจนเกิดอาการแสบแดง

ทำความสะอาดได้ไม่หมดจดพอ ปัญหานี้เกิดขึ้นได้กับผู้ที่ล้างหน้าไม่สะอาด ล้างเพียงน้ำเปล่า ล้างเครื่องสำอางค์ไม่หมดหรือนอนทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เช็ดเครื่องสำอางค์ จนเกิดสภาวะไขมันอุดตันบนใบหน้า

ไม่ใช้ครีมกันแดด การโดนแสงแดดประจำโดยขาดการป้องกัน ทำให้ชั้นผิวอิลาสตินเสื่อมลง นั่นหมายความว่าคอลลาเจนในผิวก็จะเสื่อมลงไปด้วย ทำให้ผิวเหี่ยวแห้ง หย่อยคล้อย รูขุมขนกว้าขึ้นเพราะการทำงานของคอลลาเจนที่สะสมไว้ใต้ชั้นผิวลดลง ฉะนั้นอย่าลืมทาครีมกันแดดรองพื้นปกปิดเพื่อป้องกันแสงยูวีทำร้ายผิวหนัง รวมถึงยังสามารถช่วยปกปิดรูขุมขนได้อีกด้วย

ไม่ใช้ครีมบำรุงผิว ไม่จำเป็นต้องเป็นเซรั่มหรือโทนเนอร์ราคาแพง การที่ผิวได้รับความชุ่มชื้นจากมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เป็นเรื่องพื้นฐานของผิวที่ดีและมีน้ำ


12 วิธีกระชับรูขุมขน ให้ใบหน้าเนียนใสยิ่งขึ้น

รูขุมขนกว้างทําไงดี

ถึงแม้ว่าสาเหตุที่กระตุ้นการเกิดรูขุมขนกว้างนั้นมีมากมาย หรือใครที่มีรูขุมขนกว้างแล้วก็ตามจงอย่าได้เสียใจไป เพราะเรามีสารพัดวิธีกระชับรูขุมขนให้กลับมาเล็กลงอย่าแน่นอน

1.รักษาความสะอาด

ไม่ว่าจะชำระล้างร่างกายหรือใบหน้าควรใช้เวลาฟอกถูนำสิ่งสกปรกออกไปให้หมด สำหรับคนที่แต่งหน้าควรทำการดับเบิ้ลคลีนซิ่ง (Double Cleaning) ด้วยผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางค์ตามที่คุณประสงค์ เพื่อให้คราบเครื่องสำอางค์ชะล้างออกไปให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะล้างหน้าด้วยคลีนซิ่งโฟมหรืออื่น ๆ ตามปกติ และควรล้างอย่างเบามือ ไม่ขัดถูแรงจนเกินไป

2.ไม่ล้างหน้าบ่อยเกินไป

ควรล้างวันละ 2 ครั้งเท่านั้นจึงจะพอดี เป็นการล้างหน้าแบบถูกวิธี เพราะยิ่งล้างออกมากก็ยิ่งกระตุ้นให้ต่อมรูขุมขนกระตุ้นผลิตน้ำมันออกมากปกป้องรักษาความชุ่มชื้นบนใบหน้า ฉะนั้นแล้วหากคุณเหงื่อไหลออกมากแนะนำว่าให้ซับออกก็เพียงพอ แล้วฉีดสเปรย์น้ำแร่ในบางท่านที่ต้องการความเย็นชุ่มฉ่ำ

3.ใช้โทนเนอร์ปราศจากแอลกอฮอล

ในสภาพผิวหน้าของบางคนมีความมันมากเกินไป โทนเนอร์จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยกำจัดความมันก่อนเตรียมลงผิวในขั้นตอนต่อไป หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่มีแอลกอฮอลจัดเพราะว่ายิ่งทำให้ผิวหน้าระคายเคืองและเกิดสิวขึ้นได้

4.ใช้ครีมบำรุงผิวให้ถูกกับสภาพผิวหน้า

คือการเติมน้ำให้กับผิวนั่นเอง หลายคนที่ผิวมันอาจจะขัดใจว่าผวมันแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงเพิ่มน้ำ เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะไม่ว่าสภาพผิวใดต่างก็ต้องการความชุ่มชื้น และแต่ละผิวต้องการเนื้อครีมที่แตกต่างกันจึงต้องเลือกใช้ครีมให้เหมาะกับผิวหน้าจึงจะสามารถช่วยบำรุงได้อย่างถูกจุด

  • ผิวมัน ใช้มอยซ์เจอร์ไรซ์เซอร์ประเภทเนื้อเจลหรือโลชั่นเนื้อบางเบา จะลงการอุดตันของผิวได้
  • ผิวแห้ง ใช้มอยซ์เจอร์ไรซ์เซอร์ประเภทเนื้อครีม แต่ควรมีการวอร์มอัพที่ฝ่าก่อนลงบนใบหน้าจะดีที่สุด จากนั้นใช้ฝ่ามือที่มีครีมแปะลงบนผิวหน้าให้ทั่วอย่างบางเบา
  • ผิวผสม ใช้มอยซ์เจอร์ไรซ์เซอร์ประเภทเนื้อเจลหรือเนื้อครีมก็ได้

5. ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ

นอกจากความชุ่มชื้นแล้ว ผิวยังต้องการเกราะป้องกันอีกชั้นจากแสงแดด ขึ้นชื่อว่าแสงแดดเป็นศัตรูธรรมชาติร้ายกาจที่ทำลายชั้นผิวของเราได้อย่างรุนแรง ดังนั้นหลีกหลีกผิวมันและแห้งกร้านจากรังสียูวีที่เป็นสาเหตุรูขุมขนกว้าง แนะนำให้ทาครีมกันแดดทุกวัน อย่างน้อย SFP 30 PA++++ และทาซ้ำทุกๆ 3-4ชั่วโมง

6. ลดการรับประทานของทอด

น้ำมันเยิ้ม และอาการเค็มจัด ของทอดกรอบน้ำมันเยิ้มตั่งต่าง นอกจากจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีความสัมพันธ์กับความมันบนใบหน้าอีกด้วย ดังนั้นการรับประทานอาหารที่เกี่ยวข้องกับภายในสำคัญมาก ถ้าหากสุขภาพลำไว้และภายในดี ผิวก็จะเปล่งปลั่งสุขภาพดี คอลลาเจนในร่างกายยังทำงานได้ดี ทำชะลอการเกิดรูขุมขนกว้างเมื่ออายุที่มากขึ้น

7. เลือกเครื่องสำอางค์ประเภทปราศจากน้ำมัน

โดยเฉพาะคนที่มีผิวหน้ามัน ผลิตภัณฑ์ประเภทออยล์เบส (Oil based) ยิ่งเสี่ยงรูขุมขนอุดตันมากยิ่งขึ้นแม้ว่าจะเคลมว่าเนื้อสัมผัสเบาบางและออร์แกนิคมากเท่าไร เนื้อสัมผัสนั้นยังคงเป็นน้ำมันอยู่ดี หากให้แนะนำ ใช้เป็นแป้งรองพื้นที่ควบคุมความมันที่มีส่วนผสมของ Licorice Extract, EGCG (Green Tea Extract), Vitamin B6 (Pyridoxine Hydrochloride), Zinc PCA, Bakuchiol, Copper PCA, Methylsulfonylmethane, Ammonium Glycyrrhizate, Salicylic Acid และ Silicone จะดีกว่า ทริคเพิ่มเติมเกี่ยวกับซิลิโคน (Silicone) ว่าไม่ได้เป็นสารอันตราย หรือกระตุ้นเกิดสิวแต่อย่างใด แต่เจ้าสารเคมีตัวนีจะช่วยกักเก็บน้ำล็อคผิวไว้นั่นเอง

8. ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นยาวิเศษที่ไม่มีราคาต้องจ่าย เมื่อร่างกายได้ออกแรง ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดหมุนเวียนร่างกายได้ดีมากขึ้น เลือดที่หมุนเวียนในบริเวณใบหน้าก็ยิ่งดีมากขึ้นและมีเลือดฝาด รูขุมขนกระชับ และหน้าใสเปล่งประกาย

9. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

เมื่อร่างกายของคุณได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ใบหน้าที่ล้าโ?รมก็จะไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไป เวลานอนนั้นสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับระบบภายในและระบบฮอร์โมนอย่างชัดเจน จะสังเกตได้ว่าเมื่อเวลานอนน้อยคุณจะไม่สดชื่น หิวบ่อย ใบหน้าซีดเซียว ฮอร์โมนที่ทำงานได้ไม่ดีจะส่งผลให้สุขภาพผิวแย่และเกิดการสร้าน้ำมันเซบัมเกินความจำเป็น (เพราะร่างกายเกิดควาวมเครียดและอ่อนล้า) เกิดรูขุมขนกว้างขยายใหญ่ขึ้นตามมาอย่าหลีกเลี่ยงไม่ได้

10. ดื่มน้ำเป็นประจำ

น้ำเป็นสื่งที่หล่อเลี้ยงร่างกายให้สมดุล ดังนั้นหากดื่มน้ำไม่เพียงพอก็สามารถเกิดหลายอาการ เช่น เลือดหมุนไหลเวียนได้ไม่ดี ท้องผูก ผิวแห้ง ไตทำงานาหนักขึ้น อาการต่าง ๆ เหล่านี้เป็นจุดก่อเกิดรูขุมขนที่กว้างบนใบหน้าตามมา ดังนั้นควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 3 ลิตร หรือพยายามจิบน้ำบ่อยให้ได้มากที่สุด เพื่อรักษาความชุ่มชื้นในร่างกายและความดันเลือดอย่างสม่ำเสมอ

11. รับประทานคอลลาเจน

คอลลาเจนไม่ได้ช่วยเพียเรื่องผิวขาวสวยอย่างเดียว แต่รูขุมขนจะกระชับขึ้นเพราะร่างกายได้รับคอลลาเจนได้ปริมาณที่สมควรได้รับและคอลลาเจนส่วนใหญ่ก็จช่วยสร้างสายใยโปรตีนที่เป็นพื้นฐานของการผลิตคอลลาเจนในร่างกายอีกด้วย

12. พิโค่เลเซอร์ (Pico Laser)

เทคโนโลยีล่าสุดและได้ผลไวที่สุดแม้จะต้องแลกการความเจ็บสักเล็กน้อย โดยจะเป็นคลื่น Alexandrite 755 นาโนเมตร (nm) ทำให้เม็ดสีเกิดการสั่นสะเทือนระดับสูง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้รูขุมขนกระชับอย่ารวดเร็ว แต่อย่างไรก็ดีควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง


สรุปได้ว่ามีปัจจัยหลากหลายสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดรูขุมขนกว้าง ไม่ว่าจะพันธุกรรม อาหาร สภาพอากาศ สภาพผิวหรือผลิตภัณฑ์บำรุงใบหน้าที่ใช้เป็นประจำ ดังนั้นเมื่อเราที่มาและสาเหตุกระตุ้นต่าง ๆ ก็จะหลีกเลี่ยงรูขุมขนที่กว้างขึ้นได้เป็นอย่างดี เริ่มตั้งแต่อาหารการกิน การใช้ชีวิตประจำให้ระมัดระวังมากขึ้น และในสำหรับคนที่ใจร้อนแต่ไม่ร้อนเงิน ในปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้เนรมิตรูขุมขนให้จางหายไปในเวลาอันสั้นอย่างง่ายดาย


ที่มา

https://aedit.com/concern/large-pores
https://www.aad.org/public/everyday-care/skin-care-secrets/face/treat-large-pores

10 วิธีแก้ ผิวแห้งเป็นสิว เคล็ดลับสำหรับสาวที่มีปัญหาผิวโดยเฉพาะ

10 วิธีแก้ ผิวแห้งเป็นสิว เคล็ดลับสำหรับสาวที่มีปัญหาผิวโดยเฉพาะ

10 วิธีแก้ ผิวแห้งเป็นสิว เคล็ดลับสำหรับสาวที่มีปัญหาผิวโดยเฉพาะ พื้นฐานของการมีสุขภาพผิวที่ดีก็คือการรักษาความชุ่มชื้นภายในชั้นผิว ด้วยเหตุผลที่ว่าน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญของเซลล์ผิวหนังทั้งหมด หากขาดน้ำหรือความชุ่มชื้นไปเมื่อไร เซลล์ก็เหี่ยวลงและอ่อนแอมากขึ้น สิ่งที่ปรากฏออกมาให้เห็นก็คือผิวแห้ง เป็นสิว มีริ้วรอย และบอบบางมากกว่าปกติ เกิดอาการแพ้เครื่องสำอาง แพ้อากาศ หรือมลภาวะต่างๆ ได้โดยง่าย

หลายคนอาจสงสัยว่าสิวส่วนใหญ่เกิดจากความมัน ฮอร์โมน และสิ่งสกปรกไม่ใช่หรือ ดังนั้น ถ้าผิวยิ่งแห้งก็น่าจะยิ่งเป็นสิวได้ยากขึ้น แต่แล้วทำไมผิวแห้งถึงกลายเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวไปได้ นั่นก็เพราะว่าเมื่อผิวแห้งก็เปรียบเสมือนไม่มีเกราะป้องกันชั้นผิวที่ดี หากมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาเพียงเล็กน้อย ก็เข้าสัมผัสผิวได้โดยตรงและส่งผลให้ระคายเคืองจนเกิดสิวได้

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติมก็คือ ปัญหาผิวแห้งที่ว่านี้ไม่ใช่สภาวะโดยธรรมชาติของผิว และไม่ได้เกิดกับคนที่มีลักษณะของผิวอยู่ในกลุ่มผิวแห้งโดยเฉพาะ แต่สามารถเกิดได้ในผิวทุกประเภท แม้แต่คนที่มีผิวมันมากก็ตามที หากปล่อยปละละเลย หรือดูแลผิวอย่างไม่ถูกวิธีก็เกิดอาการผิวแห้งได้ทั้งนั้น

และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่สิวต่างๆ ที่จะตามมา ยังมีปัญหาผิวเกิดขึ้นได้อีกหลายกรณี เช่น ผิวลอก แสบแดง หน้าเป็นขุย เกิดผื่นแพ้ เป็นต้น ดังนั้นถ้าไม่อยากมีผิวแห้ง เป็นสิว หน้าพัง หันมาฟังเคล็ดลับง่ายๆ ทั้ง 10 ข้อต่อไปนี้ เลือกเอาไปปรับใช้กันได้ตามอัธยาศัยเลย 

1. ดื่มน้ำสะอาดให้มากเข้าไว้

ผิวแห้งเป็นสิว

วิธีแก้ ผิวแห้งเป็นสิว วิธีแรกที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวอย่างง่ายดายที่สุดก็คือ การดื่มน้ำ และนี่ก็เป็นวิธีที่ได้ผลชัดเจนมากที่สุดด้วย เคยมีการเก็บสถิติมาแล้วว่า คนที่ดื่มน้ำสะอาดเป็นปริมาณมากๆ ต่อวันจะมีผิวพรรณที่สดใสและใบหน้าดูอ่อนกว่าวัยหลายสิบปี เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มน้ำไม่เพียงพอ โดยปกติเราจะต้องดื่มน้ำกันประมาณวันละ 8-10 แก้ว

แต่ถ้าอยากเน้นเพื่อบำรุงผิวต้องดื่มมากกว่านั้น อาจจะ 3-4 ลิตรต่อวันเลยทีเดียว ซึ่งไม่ใช่การโหมดื่มคราวละมากๆ แต่เป็นการจิบทีละน้อย ค่อยๆ สะสมไปตลอดทั้งวัน ที่สำคัญให้นับเฉพาะน้ำสะอาดหรือน้ำเปล่าเท่านั้น บรรดาน้ำอัดลม น้ำหวาน ชา กาแฟต่างๆ ไม่นำมารวมด้วย

2. ล้างหน้าเพียงแค่วันละ 2 ครั้ง

ผิวแห้งเป็นสิว

ถ้าหากไม่ได้มีกิจกรรมอะไรที่เลอะเทอะเป็นพิเศษ ก็ให้ขั้นตอนทำความสะอาดผิวหน้ามีเพียงแค่วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็นก็เพียงพอแล้ว เพราะยิ่งล้างหน้าบ่อยก็ยิ่งมีอาการผิวแห้ง เป็นสิวด้วย เพราะว่าน้ำมันตามธรรมชาติที่เคลือบผิวอยู่นั้นถูกชะล้างออกจนหมด ผิวจึงเสียสมดุลไป หรือคุณอาจใช้เจลล้างหน้าลดสิวใช้ดีร่วมด้วยเพื่อลดการเกิดสิว ก็ได้เช่นกัน

ที่สำคัญการล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ ขอให้อยู่ในช่วงเย็นช่วงเดียวพอ ส่วนช่วงเช้าล้างเพียงแค่น้ำเปล่าก็เกินพอแล้ว 

3. ทาครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์

ผิวแห้งเป็นสิว

การทาครีมที่เน้นเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว จะเป็นการล็อกความชื้นในชั้นผิวเอาไว้ พร้อมกับแก้ปัญหาผิวด้านอื่นๆ ไปพร้อมกัน หลังจากที่ชำระล้างผิวพรรณเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผิวจะอยู่ในสภาพที่ไม่สมดุลเล็กน้อย ก่อนจะปรับกลับเข้าสู่ปกติตามเดิม แต่ถ้าผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กระตุ้นให้ผิวเสียสมดุลมากเกินไป

การปรับสภาพกลับมาที่จุดสมดุลใหม่ย่อมเกิดได้ยากกว่า ยิ่งถ้าเป็นผิวบอบบางก็อาจจะปรับไม่ได้จนเกิดความระคายเคืองขึ้นมา ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์จะทำหน้าที่ช่วยเร่งการปรับสมดุลให้แก่ผิวในกรณีนี้ด้วย หากคุณมีใบหน้าที่แห้งมาก คุณอาจสนใจบทความนี้ 10 ครีมบำรุงผิวหน้าแห้ง

4. หลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน

ผิวแห้งเป็นสิว

ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าพนักงานออฟฟิศหรือคนที่ต้องทำกิจกรรมอยู่ในห้องแอร์แทบจะตลอดเวลา มักมีปัญหาผิวแห้ง เป็นสิวมากกว่าคนอื่นๆ นั่นก็เพราะว่าสภาวะของห้องแอร์มีค่าความชื้นในอากาศต่ำมาก ส่งผลให้ผิวของเราถูกดึงความชื้นออกไป แล้วเซลล์ผิวก็ค่อยๆ เหี่ยวแห้งลงเรื่อยๆ ทางที่ดีจึงควรหาจังหวะออกมาจากห้องแอร์เสียบ้าง แต่ถ้าไม่สามารถทำได้เลยก็ต้องใช้โลชั่นทาผิวช่วย พร้อมกับจิบน้ำเปล่าอยู่เสมออย่าได้ขาด 

5. อย่ารบกวนผิวบ่อยครั้ง

ผิวแห้งเป็นสิว

ไม่ว่าอะไรที่มากไปก็ไม่ดีทั้งนั้น เช่นเดียวกันกับกิจกรรมที่เข้าใจว่าช่วยบำรุงหรือฟื้นฟูสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นการสครับ การอบไอน้ำ การอบซาวน่า หรือแม้แต่การทำทรีตเมนท์ก็ตามที เมื่อทำบ่อยครั้ง ผิวก็ไม่มีเวลาพักหรือฟื้นตัวอย่างจริงจัง เหมือนคนเล่นกีฬาที่ไม่เคยพักเลยก็ล้มเจ็บได้ในที่สุด ที่สำคัญต้องเลือกใช้ครีมให้เหมาะกับผิวหน้าด้วย เพื่อให้ครีมทำงานได้อย่างถูกจุดและเต็มประสิทธิภาพ

6. ทานอาหารเสริมเพิ่มเติม

ผิวแห้งเป็นสิว

แน่นอนว่าสารอาหารที่จำเป็นต่อการบำรุงผิวนั้นหาได้จากอาหารที่เราทานกันทั่วไปนี่แหละ เพียงแต่กว่าจะทานให้ได้วิตามินหรือแร่ธาตุเทียบเท่ากับปริมาณที่ผิวต้องการ ก็ต้องทานกันจนท้องแทบแตกนั่นเอง ดังนั้นการเลือกทานอาหารเสริมอย่างเหมาะสมจึงน่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีไม่น้อย

ตัวอย่างของวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นได้แก่ วิตามินซี คอลลาเจน และน้ำมันดอกอีฟนิ่งพริมโรส โดยเฉพาะตัวท้ายสุดที่โดดเด่นในการเติมความชุ่มชื้นให้ผิวค่อนข้างมาก ชนิดที่ว่าทานก่อนนอนแล้วตื่นมาก็รู้สึกได้เลยว่าผิวหน้าดีขึ้นอีกระดับ นอกนั้นก็เป็นส่วนเสริมที่จะทำให้ผิวมีความสามารถในการอุ้มน้ำได้ดีขึ้น 

7. อย่าติดน้ำอุ่นมากเกินไป

ผิวแห้งเป็นสิว

จริงอยู่ว่าการอาบน้ำอุ่นนั้นทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและสบายตัว แต่น้ำที่มีอุณหภูมิสูงจะเร่งให้ผิวแห้ง เป็นสิวได้ง่าย เพราะทันทีที่อาบน้ำหรือล้างหน้าเสร็จ ผิวจะแห้งแบบฉับพลัน และถ้าไม่ได้ทาโลชั่นตามในทันที ผิวก็จะแห้งเป็นขุยในเวลาต่อมา ทางที่ดีที่สุดจึงเป็นการใช้น้ำอุณหภูมิห้องหรือเย็นกว่านั้นสำหรับการล้างหน้า นอกจากผิวจะไม่แห้งแล้วรูขุมขนก็กระชับดีอีกด้วย 

8. พอกหน้าด้วยสูตรธรรมชาติบ้าง

ผิวแห้งเป็นสิว

มีสูตรพอกหน้าหลายสูตรที่หาวัตถุดิบได้ง่าย และเหมาะกับผิวแห้ง เป็นสิวโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง พอกหน้าด้วยน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ เป็นต้น เพียงแค่เอาวัตถุดิบเหล่านี้ติดตู้เย็นไว้ คราวจะใช้ก็แค่หยิบมาพอกไว้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ระยะหนึ่งก่อนล้างออก 

น้ำผึ้งเป็นสุดยอดวัตถุดิบของบ้านเราและเป็นองค์ประกอบสำคัญในวงการความสวยความงามมาโดยตลอด นอกจากช่วยให้ผิวชุ่มชื้นแล้วก็ยังเนียนนุ่มดีด้วย ส่วนน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ก็ไม่น้อยหน้าน้ำผึ้งสักเท่าไร แต่กลิ่นอาจจะไม่ถูกใจใครหลายคนนัก 

9. ใช้สารเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของผิว

ผิวแห้งเป็นสิว

ประเด็นนี้ย้ายไปทางด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์เล็กน้อย เราเรียกเทคนิคนี้ว่า “การฉีดผิวฉ่ำ” ซึ่งเป็นกระบวนการฉีดเติมเต็มเข้าไปในผิวหนังบริเวณที่แห้ง สารที่ใช้ก็คือสารไฮยาลูโรนิคแอซิด (Hyaluronic acid) และเดกซ์แทรน (Dextran) ทำหน้าที่อุ้มน้ำให้แก่ผิว พร้อมดึงดูดความชื้นเข้าสู่ผิว

วิธีนี้ได้ผลแบบทันใจดี แต่ต้องเข้ารับบริการจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะมีข้อกำหนดถึงปริมาณที่ต้องใช้อยู่ หากผิดพลาดไปจะแก้ไขลำบาก อีกอย่างที่ต้องเข้าใจก่อนก็คือ สารเหล่านี้อยู่ได้เพียงชั่วคราว ไม่ใช่การรักษาแบบถาวร เมื่อครบกำหนดแล้วก็ต้องมาฉีดเข้าไปใหม่ 

10. ทาครีมกันแดดอยู่เสมอ

ผิวแห้งเป็นสิว

ต่อให้อยู่ในพื้นที่ร่มตลอดทั้งวัน ก็ต้องทาครีมกันแดดที่มีค่าการปกป้องเพียงพอ เพราะไม่ใช่แค่แสงแดดเท่านั้นที่ทำร้ายผิวของเราได้ ยังมีแสงไฟ แสงจากหน้าจอโทรศัพท์ และอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าถามว่าครีมกันแดดมันเกี่ยวกับผิวแห้ง เป็นสิวอย่างไร คำตอบคือไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง

แต่สัมพันธ์กันในทางอ้อม เนื่องจากครีมกันแดดมีสรรพคุณสำคัญในการป้องกันผิวจากแสงแดด ซึ่งเป็นตัวการร้ายกาจที่สุดสำหรับผิวพรรณแล้ว เมื่อปกป้องได้ เซลล์ผิวก็แข็งแรง ไม่มีอาการไหม้แดด ไม่เกิดการสูญเสียน้ำเกินความจำเป็น หากได้รับการบำรุงก็สามารถรับประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ผิวจึงสวยใสสุขภาพดีอย่างที่ต้องการ


อ้างอิง

9 ways to banish dry skin : https://www.health.harvard.edu/staying-healthy/9-ways-to-banish-dry-skin

How to Treat Acne When You Have Dry Skin : https://www.byrdie.com/dry-skin-acne-5176666

ครีมแบรนด์ไทย ที่ทาผิวแล้วใครๆ ก็ชอบ

ครีมแบรนด์ไทย ที่ทาผิวแล้วใครๆ ก็ชอบ

ครีมแบรนด์ไทย ที่ทาผิวแล้วใครๆ ก็ชอบ หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับครีมทาผิวแบรนด์ต่างๆ ที่เห็นกันได้ทั่วไป แต่จะรู้หรือไม่ว่า คนไทยเราก็ทำครีมบำรุงผิวเองเหมือนกัน และก็ทำเป็นแบรนด์เลยด้วย รับรองว่าคุณภาพคับกระปุกแน่นอน เพราะคนไทยก็ไม่แพ้ชาติใดในโลกอยู่แล้ว แต่จะมี ครีมแบรนด์ไทย อะไรบ้างนั้น ไปดูกัน

1. ครีมบำรุงผิวเอมบลิก้าพลัส สมุนไพรอภัยภูเบศร์

ครีมแบรนด์ไทย

มากับเจ้าแรกที่มีความนิยมอย่างมากกันก่อนเลยกับ สมุนไพรอภัยภูเบศร์ เพราะผู้ผลิตเจ้านี้มีชื่อเสียงเกี่ยวกับสมุนไพรมากทีเดียว ซึ่งรับประกันได้เลยว่าดีสมคำล่ำลือ ใช้แล้วหน้าจะขาว ดูกระจ่างใส เพราะได้สารสกัดจากมะขามป้อมที่จะช่วยกระชับรูขุมขนให้ตื้นขึ้น ลดความหมองคล้ำบนใบหน้า เหมาะสำหรับสาวผิวธรรมดาไปจนถึงสาวผิวมัน รวมทั้งสาวๆ ที่มีปัญหาเรื่องสิวฝ้า เพราะเนื้อครีมซึมเข้าสู่ผิวเร็ว ทำให้ไม่เหนียวเหนอะหนะ และที่สำคัญคือไม่มีน้ำหอม ราคาอยู่ที่ 140 บาท สามารถหาซื้อตามท้องตลาดทั่วไป

2. ครีมแบรนด์ไทย แตงกวาผสมวิตามินอี สมุนไพรอภัยภูเบศร์

ครีมแบรนด์ไทย

แบรนด์เดิมเพิ่มเติมคือเป็นอีกเวอร์ชั่น เพราะได้ผสมสารสกัดจากแตงกวา และสารต่อต้านอนุมูลอิสระอย่างเช่นวิตามินอี ที่ช่วยในการช่วยบำรุงฟื้นฟูผิวให้มีสุขภาพดี ตัวนี้เหมาะกับสาวผิวธรรมดาถึงสาวผิวมันเช่นกัน แต่สำหรับสาวผิวแห้งถึงควรใช้เป็นครีมแตงกวาพลัสจะดีกว่า เพราะจะมีการเพิ่มสารสกัดจากน้ำมันรำข้าว ที่จะไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนังได้มากกว่า ซึ่งเหมาะสำหรับคนผิวแห้งมากๆ ราคาอยู่ที่ 245 บาท

3. BURNOVA GEL PLUS

ครีมแบรนด์ไทย

สำหรับสาวๆ ผิวแพ้ง่าย เกิดรอยแดง เป็นผื่นคันง่าย หรือมีปัญหาสิวเป็นประจำ ตัวนี้ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีมากๆ เพราะได้สารสกัดว่านหางจระเข้ สารสกัดใบบัวบก และแตงกวา ที่จะไปช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง และช่วยให้ชุ่มชื้นหลังจากที่โดนแดดจัดๆ ไม่มีกลิ่นน้ำหอมเช่นกัน โดยเนื้อเจลจะมีความใส และซึมเข้าสู่ผิวได้เร็วมาก โดยทั้งนี้สามารถใช้ได้ทั้งผิวหน้า และผิวกาย ราคาอยู่ที่ 45-200 บาท ตามขนาด

4. ครีมแบรนด์ไทย ว่านหางจระเข้ 100% เขาค้อทะเลภู

ครีมแบรนด์ไทย

มากับว่านหางจระเข้แท้ 100% ที่ใช้ทั้งน้ำและเนื้อว่าน เพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิวที่ต้องออกไปเผชิญกับแสงแดด หรือคนที่ต้องอยู่ในห้องปรับอากาศทั้งวัน แถมยังช่วยชะลอริ้วรอย ลดจุดด่างดำให้จางลง และยังรักษาแผลพุพองตามร่างกายได้อีก เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในครีมรักษาสิวได้ผลดีโดยเนื้อครีมจะเป็นน้ำที่มาพร้อมเนื้อว่านหางจระเข้สดๆ ไม่แต่งสี ไม่แต่งกลิ่น เมื่อทาแล้วผิวจะรู้สึกชุ่มชื้นขึ้นทันที ราคาอยู่ที่ 39 บาท สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ

5. น้ำมันมะพร้าวธรรมชาติ 100% สกัดเย็น ตราฟาร์มดี

ครีมแบรนด์ไทย

น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นที่ใครๆ ก็รู้จัก และเราก็รู้กันดีว่าน้ำมันมะพร้าวมีคุณค่าทางอาหารและประโยชน์มากมายกับร่างกาย เพราะมีสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ แถมยังเต็มไปด้วยวิตามินอีและไขมันดีซึ่งร่างกายต้องการ และน้ำมันมะพร้าวจะมีโมเลกุลที่เล็ก ซึ่งสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้เร็วมาก ทำให้สามารถใช้เป็นคลีนซิ่ง ที่ใช้ทำความสะอาดได้เป็นอย่างดี น้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์กับผิวหน้าคือ จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นเปล่งประกาย ลดความหมองคล้ำบนใบหน้า ซึ่งคนผิวมันก็ใช้ได้ เพราะไม่ทำให้อุดตัน เนื่องจากเป็นสารสกัดจากธรรมชาติแท้ ราคาอยู่ที่ประมาณ 89 บาท สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ

6. ครีมแบรนด์ไทย บำรุงผิวหน้าสารสกัดจากฝักข้าว จากโครงการหลวง

ครีมแบรนด์ไทย

แบรนด์เครื่องสำอางที่เป็นสมุนไพร จากโครงการหลวง โดยวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตจะมาจากโครงการพืชสมุนไพรที่มาจากโครงการหลวง โดยจะรับซื้อสมุนไพรในท้องถิ่นที่ชาวเขาได้เข้าร่วมโครงการ ทั้งนี้การผลิตจะผ่านการวิจัยและการทดลองนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างแน่นอน และมั่นใจได้เลยว่าจะไม่เกิดอาการแพ้.ทำให้สามารถการันตีถึงคุณภาพและความปลอดภัยได้เลยว่าดีแน่นอน โดยครีมหยดน้ำตัวนี้เต็มไปด้วยสารบำรุงจากผลฟักข้าว ซึ่งมีประโยชน์ที่ช่วยลดริ้วรอย ทำให้ผิวไม่แห้งกร้าน และยังช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสดูเป็นธรรมชาติ ราคาอยู่ที่ 499 บาท

7. เซรั่มบำรุงผิวหน้าฟักข้าว และเซรั่มบำรุงผิวหน้าคาเทชินจากใบชาเมี่ยง จากโครงการหลวง

ครีมแบรนด์ไทย

ปิดท้ายด้วยอีกผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวง โดยเซรั่มบำรุงผิวหน้าทั้งคู่นี้เป็นสินค้าใหม่จากโครงการหลวง โดยเซรั่มบำรุงผิวหน้าฟักข้าว จะเต็มไปด้วยไลโคปีน และเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีความสามารถในการช่วยสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ให้ผิวหน้าแข็งแรง ช่วยให้ริ้วรอยจางหายไป ช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิวหน้า หรือจะใช้เป็นไนท์ครีมที่ช่วยบำรุงผิวตอนกลางคืนก็ได้ ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 599 บาท

ครีมแบรนด์ไทย

ส่วนเซรั่มบำรุงผิวหน้าคาเทชินจากใบชาเมี่ยง จะมีส่วนช่วยในการกระชับรูขุมขน ช่วยลดการสร้างเม็ดสีในผิวหนัง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า รอยด่างดำ และความหมองคล้ำ โดยเนื้อเซรั่มจะมีความบางเบา ที่สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญคือทั้งคู่จะไม่มีกลิ่นน้ำหอม ราคาอยู่ที่ 799 บาท ซึ่งถ้าใช้ทั้ง 2 ตัวนี้คู่กันไปแล้ว รับรองว่าปังแน่นอน


ครีมขมิ้นทาหน้า ครีมทาหน้า ที่ใช้ “ขมิ้น”

ครีมแบรนด์ไทย

ครีมขมิ้นทาหน้า : ขมิ้นคือสมุนไพรไทยที่มีมาหลายยุคหลายสมัย มีสรรพคุณมากมายที่จะช่วยทำให้ผิวหน้าสดใส ผิวดูมีชีวิตชีวา ไม่มีจุดด่างดำ มีน้ำมีนวล ผุดผ่องกระจ่างใส และนี่คือ สูตรและวิธีการทำครีมหน้าขาวจากขมิ้น เอาไว้พอกหน้าพอกตัว และยังช่วยบำรุงทำให้ผิวพรรณสวย ผ่องใส สุขภาพผิวดี ด้วยพืชสมุนไพรสดจากธรรมชาติ 100%

ส่วนผสมของ ครีมขมิ้นทาหน้า ที่ใช้พอกหน้า “ขมิ้น” ผิวหน้าสดใส ผิวดูมีชีวิตชีวา ไม่มีจุดด่างดำ มีน้ำมีนวล ผุดผ่องกระจ่างใส ด้วยขมิ้น ประกอบด้วย

  • ขมิ้นสด 1 กำมือ
  • ดินสอพอง 4 เม็ด
  • มะนาว 1 ลูก
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีการทำครีมพอกหน้าด้วย “ขมิ้น”

ครีมแบรนด์ไทย

  • นำขมิ้น มาล้างน้ำให้สะอาด หลังจากนั้นให้หั่นซอยเป็นชิ้นเล็ก ๆ และนำเข้าไปในเครื่องปั่นผลไม้ น้ำมะนาวและน้ำผึ้ง จากนั้นใส่ดินสอพอง จนเนื้อทั้งหมดละเอียดรวมกันเป็นจนมีความข้นและเหนียว
  • ล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเปล่าธรรมดา ไม่ต้องใช้สบู่ใดๆ หรืออะไรใดๆทั้งสิ้น จากนั้นซับผิวหน้าให้แห้ง
  • นำส่วนผสมครีมพอกหน้า “ขมิ้น” ที่ได้มาพอกลงบนใบหน้าทั้งหมด เว้นรอบดวงตาไว้ เว้นรอบริมฝีปาก พอกให้ทั่วใบหน้ารวมถึงลำคอด้วย จากนั้นปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ ให้ตัวขมิ้นแทรกซึมเข้าไปในรูขุมขน รอให้ครีมขมิ้นทำงาน เป็นเวลาประมาณ 15 นาที จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น และตามด้วยน้ำเย็น ซับใบหน้าให้แห้งอีกครั้งหนึ่ง
  • ควรพอกหน้าสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง โดยสูตรนี้สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว สิ่งสำคัญคือ ซับเบาๆ ไม่หน้าถูหน้าแรงๆ เพราะจะทำให้หน้าย่นได้ไวขึ้น

เคล็ดลับในการเลือกใช้สมุนไพรพอกหน้า สำหรับคนที่มีผิวหน้ามัน

ครีมแบรนด์ไทย

เลือกที่มีส่วนผสมของผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ซึ่งจะมีความเป็นกรด แต่ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มาก ควรใช้เพียงเล็กน้อยจะได้ผลดีกว่า และต้องดูให้ดีด้วยว่าเป็นผลไม้ชนิดใด เปรี้ยวมากน้อยแค่ไหน ตัวอย่าง เช่น หากใช้น้ำมะนาวอยู่ในส่วนผสม ใช้เพียง 2 หยด ก็พอต่อปริมาณน้ำครึ่งแก้ว ถ้าใช้มะขามเปียกหรือผลไม้ที่เปรี้ยวไม่มาก สามารถใช้ในปริมาณที่มากขึ้นมาได้

ห้ามใช้น้ำมันมะกอกหรือไข่แดงผสมใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวหน้ามันมากขึ้น แต่ก็สามารถใช้ไข่ขาวโดยแนะนำให้เป็นไข่ไก่ มาผสมปนเข้ากับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ได้

สำหรับคนที่หน้ามันแล้วอยากทำความสะอาดผิว ให้นำแตงกวามาหั่นเป็นแว่นๆ จากนั้นมาแปะลงไปที่ผิวหน้าก็ถือว่าเป็นสิ่งที่จะทำให้หน้าสะอาดได้ดีมาก โดยให้ใช้แตงกวาสดๆ หรือไม่ก็นำแตงกวาที่ปั่นแล้วมาพอกหน้าก็ได้ผลดีเช่นกัน เพราะเอนไซม์ที่มีอยู่ในเนื้อแตงกวาจะช่วยชำระทำความสะอาดให้ผิวหน้าสำหรับคนที่มีผิวมันให้เกลี้ยงเกลามากยิ่งขึ้น รวมทั้งทำลายเซลล์ที่ตายไปแล้วออกมาในรูปแบบของขี้ไคล ซึ่งก็จะทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสเปล่งปลั่งนวลเนียนมากขึ้น หากคุณไม่อยากผสมส่วนผสมต่างๆ เองคุณอาจสนใจบทความนี้ ครีมทาหน้าผสมสารสกัดจากผลไม้

เคล็ดลับในการเลือกใช้สมุนไพรพอกหน้า สำหรับคนที่มีผิวหน้าแห้ง

ครีมแบรนด์ไทย

ห้ามนำแตงกวาสดมาใช้ในคนที่มีผิวหน้าแห้งโดยเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้ผิวหน้าที่แห้งอยู่แล้ว แห้งหนักขึ้นไปอีก แนะนำให้หันไปใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ ที่ไม่สร้างอันตรายให้ผิวแห้งทั้งหลายจะดีกว่า ซึ่งก็มีอยู่มากมายหลายชนิดทีเดียว

ห้ามใช้ผลไม้หรือสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยวมากหรือมีกรดมากมาใช้ เพราะจะไม่ถูกกันกับผิวแห้ง แต่ถ้าหากเป็นผลไม้หรือสมุนไพรที่มีกรดอ่อนๆ ก็ไม่เป็นไร อย่างเช่น ส้มเขียวหวาน ส้มเช้ง ฝรั่ง เป็นต้น เพราะรสเปรี้ยวหรือความเป็นกรดมีอยู่น้อยกว่าชนิดอื่นมาก

สำหรับผู้คนที่มีผิวหน้าแห้ง ถ้าหากเอาผลไม้หรือสมุนไพรที่มีกรดน้อยมาใช้เป็นส่วนผสมในการพอกผิวหน้า ควรใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ และต้องใช้เวลาในการพอกหน้าไม่นานจนเกินไป พอกสัก 10 นาทีก็พอแล้ว

สำหรับผู้คนที่มีผิวหน้าแห้ง ถ้าหากเอาไข่แดงที่มาจากไข่ไก่มาเป็นส่วนผสมของสมุนไพรพอกหน้าแล้วจะให้ผลลัพธ์ที่ดีมากๆ เพราะทำให้ผิวหน้ามีความชุ่มชื่นขึ้นได้ แต่ก็ระวังว่าอย่านำเอาไข่ขาวมาผสม เพราะผลลัพธ์จะแตกต่างออกไปแน่นอน


ครีมทองคำ : จริงหรือไม่ที่ครีมผสมทองคำช่วยให้ผิวหน้าเต่งตึงขึ้น

ครีมแบรนด์ไทย

ครีมทองคำ ในส่วนของทองคำเป็นอัญมณีล้ำค่าที่มีมาตั้งแต่อดีต โดยมนุษย์ส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับอัญมณีที่มีมูลค่าและหายากมาสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสุขภาพร่างกายและความงามในตนเองเสมอ และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหรือครีมทาผิวที่มีส่วนผสมของทองคำได้ออกสู่ตลาดโลกในหลายรูปแบบ มาทั้งแบบครีมทาผิว แบบครีมพอกหน้า รวมทั้งแผ่นทองคำเปลวบริสุทธิ์ 24 K ซึ่งใช้เฉพาะการพอกหน้า

การนำทองคำมาใช้กับอาหารและเครื่องดื่ม

ครีมแบรนด์ไทย

จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้มีการพบว่าทองคำบริสุทธิ์ จะไม่สามารถสร้างปฏิกิริยากับสารเคมีใดๆ หรือต่อเซลล์ของร่างกายได้เลย แสดงว่าจะไม่ก่อให้เกิดความอันตรายหรืออาการข้างเคียงภายหลังแน่นอน โดยสหภาพยุโรปได้รับรองและได้อนุญาตให้ทองคำ เป็นสารเติมแต่งที่ผสมในอาหารได้ ในประเทศเยอรมนีและประเทศแถบยุโรปหลายประเทศ ได้มีการนำแผ่นทองคำเปลวหรือในรูปของผงบดละเอียด มาประยุกต์ใช้ผสมในการตกแต่งอาหาร รวมทั้งได้ผสมในเครื่องดื่มยี่ห้อเก่าแก่มานานในยุโรป

ซึ่งส่วนใหญ่ก็จัดอยู่ในประเภทเครื่องดื่มสุขภาพที่มีราคาแพงจัด และในประเทศบาหลี ได้มีการนำทองคำบริสุทธิ์มาผสมในการทำขนมหวาน ซึ่งอย่างไรก็ตามเนื่องจากทองคำมีคุณสมบัติเฉื่อยช้า จึงทำให้ไม่มีปฏิกิริยากับกระบวนการทำงานและอวัยวะในร่างกายใดๆ นั่นแปลว่าทองคำบริสุทธิ์จะไม่มีรสชาติ แถมยังไม่มีคุณค่าทางอาหาร สุดท้ายก็จะถูกขับออกจากร่างกาย โดยที่ยังอยู่ในสภาพเดิม

การนำมาใช้ในวงการแพทย์

ความเชื่อของคนสมัยก่อนเชื่อว่าทองคำมีความสามารถในการสมานโรค ซึ่งช่วยให้สุขภาพกายดีขึ้น ในทางการแพทย์ได้มีการทดลองนำแร่ทองคำบริสุทธิ์มาเตรียมให้อยู่ในรูปแบบของเกลือ จากนั้นได้พบว่าสารดังกล่าวมีฤทธิ์ความสามารถในการต้านอาการอับเสบ และอาการบวมช้ำของโรคเก๊าท์ ซึ่งที่กล่าวมาได้มีการทดลองนำมารักษาโรคดังกล่าวตั้งแต่ 80 ปีที่แล้ว นอกจากนี้ยังเชื่อว่าทองคำบริสุทธิ์มีความสามารถในการต้านสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากข้อกระดูกอักเสบ

ซึ่งทำให้สามารถบรรเทาลดความเจ็บปวดและอาการบวมช้ำได้ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การฉีดทองคำในรูปแบบของเกลือจะก่อให้เกิดความอันตรายข้างเคียงในการยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวได้ แถมยังมีผลกระทบที่จะไปสะสมในตับและสะสมในไตอีกด้วย ดังนั้นผู้ที่ได้รับการรักษาโรคนี้จึงได้รับการตรวจเช็กเลือดอย่างสม่ำเสมอ

ประยุกต์ใช้กับเครื่องสำอางสำหรับลดริ้วรอยที่เหี่ยวย่น

ครีมแบรนด์ไทย

จากการที่แพทย์ได้ค้นพบว่า ทองคำสามารถต้านสารอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดีและยังส่งผลให้เกิดกลไกการทำงานในการต้านอาการอักเสบของข้อกระดูกในโรคเก๊าท์เป็นไปด้วยดี ทำให้นักวิทยาศาสตร์ที่ชำนาญในเครื่องสำอางมีความเชื่อว่ากลไกที่เหมือนกันนี้ ทองคำน่าจะมีประสิทธิภาพต้านสารอนุมูลอิสระในผิวหนังและสามารถต้านอาการอักเสบของผิวหนังที่มาจากการรับรังสียูวีได้ จึงได้มีการนำทองคำมาประยุกต์ใช้ผสมกับเครื่องสำอางที่มียี่ห้องและราคาแพง ในรูปแบบต่างๆ เพื่อประโยชน์ของครีม กับในการยืดอายุผิวให้เต่งตึงนานๆ และช่วยลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่น ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีการพิสูจน์ที่ชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ว่าประสิทธิภาพการชะลออายุผิวของทองคำเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ จะคุ้มค่าตามราคาหรือไม่

ผลเสียและอาการข้างเคียง

ครีมแบรนด์ไทย

อย่างที่บอกว่า ครีมทองคำ ที่เป็นแร่ทองคำบริสุทธิ์จะไม่เป็นพิษและไม่ระคายเคืองต่อเซลล์ในร่างกาย แต่ถ้าแร่ทองคำได้มีเปลี่ยนแปลงทางเคมีจนไปอยู่ในรูปของเกลือ จะทำให้สร้างอันตรายต่อไต ต่อตับ และยังยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการพบว่าแร่ทองคำยังทำให้เกิดอาการแพ้ที่ผิวหนังและระคายเคืองผิวหนังได้


ประโยชน์ของ ครีมหอยทาก ที่คุณควรรู้ก่อนทำการเลือกซื้อ

ครีมแบรนด์ไทย

ประโยชน์ของ ครีมหอยทาก ที่คุณควรรู้ก่อนทำการเลือกซื้อ ผลิตภัณฑ์เสริมความงามและครีมหน้าขาวหลากหลายยี่ห้อได้ใช้ “เมือกหอยทาก” มาเป็นส่วนประกอบที่ใช้เป็นจุดขายให้กับแบรนด์ของตัวเอง แน่นอนว่าจะทำให้สาวๆ หรือผู้ใช้หลายคนเริ่มเกิดความสงสัยที่ว่า “เมือกหอยทากมันมีดีอะไร ทำไมหลายๆ แบรนด์ต้องนำมาเป็นส่วนผสมของครีมบำรุงผิวและครีมหน้าขาว แล้วมันจะมีอันตรายต่อผิวพรรณใบหน้าหรือเปล่า?”

คำตอบวันนี้มีอยู่ที่นี่แล้วไปดูกัน โดยบทความในวันนี้เราจะไม่ได้ระบุเน้นแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง โดยจะเป็นการให้ความรู้มากกว่า ซึ่งก็จะมาเจาะลึกกันว่า ครีมหอยทาก มีที่มาอย่างไรมาจากไหน มีประสิทธิภาพความสามารถในการบำรุงผิวพรรณมากแค่ไหน และมีผลตอบรับกับครีมหน้าขาวชนิดนี้อย่างไรบ้าง

ความเป็นมาของการใช้เมือกหอยทากสำหรับการเสริมความงาม

ประเทศชิลีเป็นประเทศแรกที่มีการค้นพบว่าเมือกหอยทากสามารถนำมาใช้ในการช่วยบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดี ความเป็นมาก็มาจากคนงานในฟาร์มที่เลี้ยงหอยทาก ซึ่งมีหน้าที่ในการขนหอยทากไปให้กับร้านอาหารฝรั่งเศสเป็นประจำทุกวัน กลับมีผิวมือที่นุ่มนวลน่าสัมผัส แถมบาดแผลที่มือที่เกิดจากอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆ ก็สามารถหายได้อย่างรวดเร็วมากกว่าเดิม จึงทำให้นักวิจัยเกิดความสงสัยและได้ตกลงวิจัยหาสรรพคุณของสารในเมือกของหอยทากขึ้นมานั่นเอง

เมือกหอยทากช่วยบำรุงผิวพรรณได้อย่างไร

ครีมแบรนด์ไทย

เมือกหอยทาก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Helix Aspersa Miller Glycoconjugates ซึ่งจากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ทำให้พบว่าผิวของหอยทากและมนุษย์ได้มีองค์ประกอบที่มีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก เพราะแม้แต่ปริมาณของคอลลาเจนและอีลาสตินเองก็มีปริมาณเกือบจะเท่ากัน

เมือกของหอยทาก ที่เราได้นำมาทำการสกัดลงเป็นส่วนประกอบใน ครีมหอยทาก ก็เป็นชนิดเดียวกับเมือกคราบขาวๆ ที่เราเห็นอยู่บนทางที่หอยทากได้เดินผ่านไป ซึ่งเจ้าเมือกของหอยทากนี้จะช่วยปกป้องส่วนท้องและส่วนที่สัมผัสพื้น ในขณะที่หอยทากกำลังเดินนั่นเอง

เมื่อหอยทากไปเจอสภาวะอาจเกิดอันตราย หอยทากจะทำการผลิตเมือกที่ผิวออกมา ซึ่งในเมือกของหอยทากจะเต็มไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ สารต่อต้านการอักเสบของร่างกาย สารปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย เปปไทด์ เอนไซม์และสารที่ติดต่อกับเซลล์ผิว และคุณสมบัติคร่าวๆ ของเมือกหอยทากที่ช่วยในการบำรุงผิว ดังต่อไปนี้

Allantoin นี่เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านของการอักเสบและการระคายเคืองของผิว นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มจำนวนของน้ำให้กับเซลล์ผิว ซึ่งทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้เต่งตึงขึ้น และช่วยลดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยเร่งกระบวนการในการผลัดเซลล์ผิวใหม่ และช่วยควบคุมความมันของใบหน้า

Gluconic Acid เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการช่วยขจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพหรือเซลล์ที่ตายแล้ว และช่วยควบคุมความมันของผิว

Collagen และ Elastin เป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยในการที่จะทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น เปล่งประกาย มีน้ำมีนวล มีความเต่งตึง และช่วยในเรื่องความยืดหยุ่นของผิวให้กระชับขึ้นด้วย

Protein เป็นสารอาหารที่มีคุณสมบัติช่วยเป็นอาหารให้กับผิว และยังช่วยปรับสภาพผิวให้มีความกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น

Vitamin A, C, E วิตามินทั้งหลายจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย

AHA เป็นสารที่ช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมหรือตายแล้ว และยังช่วยควบคุมความมันของผิว


อ้างอิง:

7 Benefits Of Turmeric For Your Skin & How To Use It. https://skinkraft.com/blogs/articles/benefits-of-turmeric-for-glowing-skin

Why gold is good for your skin. https://www.mecca.com.au/the-mecca-memo/the-in-tray/gold-trend.html

Why Snail Skin Care Rocks. https://greatist.com/health/snail-skin-care

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ ที่คุณต้องใช้แบบทนทานในหน้าฝนนี้

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ ที่คุณต้องใช้แบบทนทานในหน้าฝนนี้

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ ที่คุณต้องใช้แบบทนทานในหน้าฝนนี้ เพราะการเลือกใช้เครื่องสำอางเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ถ้าใครที่ใช้เครื่องสำอางไม่เป็น แน่นอนว่าถ้าโดนฝนแล้วละลายลงมาตามหน้าแน่นอน แทนที่จะสวย กลับกลายเป็นสะพรึงเสียได้ ดังนั้นวันนี้เราจะมาอธิบายถึง 6 เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ ที่สาวๆ ต้องเลือกใช้แบบติดทนเสียหน่อย ซึ่งรับรองได้ว่าเป็นประโยชน์กับทุกคนแน่นอน  

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

1. รองพื้น

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ ตัวแรกก็คือการเลือกรองพื้น ควรใช้รองพื้นชนิดเนื้อครีม เพราะชนิดเนื้อครีมจะมีน้ำมันที่เป็นส่วนผสมเสียส่วนมาก ซึ่งทำให้ฝนและเหงื่อไม่สามารถมาทำอะไรได้ และยังไม่ทำให้รองพื้นของเราหลุดไหลลงไป หลังจากทำความสะอาดผิวหน้าอีกด้วย ซึ่งการใช้งานก็คือ ทาครีมบำรุงผิวสำหรับเพิ่มความชุ่มชื้นไปที่ใบหน้าและลำคอ จากนั้นแตะรองพื้นใช้ดี ติดทนนานมาแต้มลงบนใบหน้า จากนั้นก็เกลี่ยเนื้อรองพื้นให้กระจายไปทั่วทั้งใบหน้า

2. แป้งพัฟกันน้ำ

แน่นอนว่าหน้าฝนแบบนี้ การทาแป้งพัฟก็ควรเลือกชนิดแบบกันน้ำ เพราะถ้าหากเราออกไปข้างนอกแล้วไปเจอฝนพอดี ทำให้ตัวเปียก ใบหน้าเปียก ตัวแป้งนี้ก็จะช่วยคุม ทำให้ไม่มีคราบอะไรไหลลงมาแน่นอน ทำให้มั่นใจได้เลยว่ายังไงก็สวยปังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเปียกฝนแค่นั้นเอง

3. อายแชโดว์

การเลือกอายแชโดว์ ควรเลือกอายแชโดว์ชนิดที่เป็นเนื้อครีม เพราะสามารถกันน้ำได้ดีมาก ควรหลีกเลี่ยงอายชาโดว์แบบเนื้อฝุ่น เพราะจะทำให้เมื่อเวลาโดนฝนแล้ว คราบอายแชโดว์จะไหลลงมาเป็นทาง นอกจากจะทำให้ดูไม่สวยแล้ว ยังทำให้ดูน่ากลัวอีกด้วย ดังนั้นการเลือกอายแชโดว์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ

4. มาสคาร่า

การใช้มาสคาร่าควรเลือกใช้ชนิดที่กันน้ำได้ และใช้ปัดบริเวณขนตาให้งอนแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว และไม่ควรติดขนตาปลอมหนาๆ เพราะถ้าโดนฝนแล้วโอกาสที่จะหลุดออกไปตามฝนมีอยู่สูงมาก ให้ใช้มาสคาร่าปัดแทน และควรเลือกมาสคาร่าที่สามารถกันน้ำได้ ซึ่งปัจจุบันก็มีขายอยู่เยอะมาก

5. บลัชออน

การเลือกใช้บลัชออน ควรเลือกใช้บลัชออนที่เป็นชนิดครีม ซึ่งส่วนใหญ่จะสามารถกันน้ำได้ เหมือนกันกับอายแชโดว์และตัวรองพื้น เพราะเครื่องสำอางชนิดเนื้อครีม จะสามารถติดทนได้นานทั้งวัน โดยเราสามารถใช้บลัชออนชนิดครีมที่มีสีสวยๆ ตามใจเราได้เลย แต่อย่าลืมว่าต้องเป็นชนิดครีมนะ

6. ลิปสติก

การเลือกใช้ลิปสติกนั้นไม่ได้จำกัดว่าจะต้องใช้อะไร เพราะเราสามารถใช้ลิปสติกเนื้อใดก็ได้ แต่เราก็ควรจะเลือกลิปสติกคุณภาพดีที่มีคุณสมบัติสามารถติดทนได้นานจะดีกว่า ถ้าเราไม่มั่นใจว่า ลิปสติกที่ใช้อยู่ติดทนนานหรือไม่ อาจจะใช้ลิปดินสอกรีดปากไว้ก่อน จากนั้นจึงค่อยใช้ลิปสติกของเราแทน แล้วใช้ทิชชูซับหรือตบด้วยแป้งนิดหน่อย เพื่อที่จะสร้างความติดทนนานให้กับลิปสติกได้


10 มาสคาร่ายี่ห้อไหนดี แถมราคาไม่แพงและปัดแล้วขนตาดูสวยแพรวพราว

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

นอกจาก เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ เชื่อว่าอีกหนึ่งที่เป็นปัญหาของสาวๆ นั่นก็คือ การตามหามาสคาร่าที่ถูกใจเนี่ย มันหายากเสียเหลือเกิน เพราะไม่ว่าจะไปหาซื้อที่ไหนก็ยังไม่เจอมาสคาร่าที่ถูกใจสักที จนเกือบจะเลิกใช้ไปแล้ว แต่เดี๋ยวก่อนเป็นผู้หญิงอย่าเพิ่งหยุดสวย เพราะวันนี้เรามี 10 มาสคาร่ายี่ห้อไหนดี แถมราคาไม่แพงและปัดแล้วขนตาดูสวยแพรวพราวแน่นอน มาฝากกัน ซึ่งรับรองได้เลยว่า ถ้าใครได้อ่านแล้วอาจจะเจอมาสคาร่าที่ถูกใจแน่นอน

1. MISTINE PRO LONG BIGEYE

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

มาสคาร่าแบรนด์ไทย ตัวนี้มีคุณภาพที่ดีมาก แถมยังมีราคาที่ถูก เพราะเมื่อปัดขนตาแล้วจะทำให้ขนตามีความหนา และทำให้ยาว ได้โดยไม่ต้องพึ่งที่ดัดขนตาเลย แถมยังทำให้ดูเป็นธรรมชาติอีกด้วย ตัวมาสคาร่าไม่เป็นก้อน สามารถเรียงเส้นบนขนตาได้ดีมาก เหมาะสำหรับการแต่งหน้าในวันที่สบาย ตัวมาสคาร่าสามารถเช็ดออกได้ง่าย ราคาอยู่ที่ 89 บาท 

2. RIMMEL LONDON 24 HR SUPER CURLER MASCARA

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

มาสคาร่าตัวนี้เป็นมาสคาร่าสัญชาติอังกฤษ ซึ่งเป็นสูตร Super Curler ที่เหมาะกับสาวๆ ที่มีขนตายาวแต่ไม่งอน ทำให้ดูเหมือนไม่ค่อยมีขนตา โดยตัวนี้จะทำให้ขนตางอนได้ดีมาก ซึ่งใครที่ใช้ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทำให้ขนตางอนได้จริงและติดทนได้นานด้วย ราคาอยู่ที่ 170 บาท

3. MAYBELLINE THE FALSIES VOLUM’ EXPRESS WATERPROOF

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

นี่ถือเป็นตำนานมาสคาร่าสีม่วงเมย์เบลลีนเลยทีเดียว เพราะสามารถใช้ปัดขนตาได้ดี หัวแปรงตัวนี้เป็นรูปโค้งงอน ซึ่งรองรับกับขนตาได้เป็นอย่างดี แถมยังกันน้ำเข้าได้อีกด้วย ทำให้ไม่ต้องกลัวว่าขนตาจะละลายออกมาแน่นอน ราคาอยู่ที่ 249 บาท

4. Lilybyred AM9 To PM9 Survival Colorcara

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

มาสคาร่าแบรนด์เกาหลีที่ขึ้นชื่อเรื่องความติดทนทั้งวันทั้งคืนเหมือนชื่อรุ่น ครองใจสาวๆ ได้ เพราะตัวนี้สามารถใช้งานได้ดีมาก ด้วยหัวแปรงรูปทรงนาฬิกาทรายจึงสามารถเลือกสไตล์การปัดขนตาให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นปัดเพื่อเพิ่มความยาว หรือเพิ่มความหนาฟู ที่สำคัญเนื้อมาสคาร่าแห้งไว จึงไม่ทำให้เลอะขอบตาเวลากะพริบ ราคาอยู่ที่ 299 บาท

5. CLINIQUE CHUBBY LASH FATTENING MASCARA

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

มากับแบรนด์นี้ที่มีหัวแปรงที่ใหญ่มาก แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้เลอะง่าย เพราะสามารถทำให้ขนตาที่สั้นบางของเราดูหนาเข้มได้ในทันที ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เราดูดีมีเสน่ห์ขึ้นมา และนอกจากนั้นยังช่วยดัดขนตาให้งอนขึ้นได้อีกด้วย และระหว่างวันมาสคาร่าตัวนี้ก็ไม่เยิ้มหยดด้วย ราคาอยู่ที่ 700 บาท

6. URBAN DECAY PERVERSION MASCARA

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

มากับแบรนด์นี้ที่ไม่ทำให้ใครผิดหวังแน่นอน เพราะมีเนื้อมาสคาร่าที่หนานุ่มมาก ซึ่งทำให้เวลาปัดมาสคาร่าแล้วตัวมาสคาร่าจะไปติดกับขนตาเราได้ดีมาก เมื่อปัดแล้วจะรู้สึกเบาดีที่หนังตา ไม่รู้สึกหนักจนเกินไป แถมยังเซ็ตตัวได้ไวอีกด้วย ราคา 900 บาท

7. BENEFIT THEY’RE REAL MASCARA 

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

นี่คือมาสคาร่าที่เอาใจสาวๆ ขนตาสั้น เพราะหัวแปรงตัวนี้สามารถทำให้ขนตาที่สั้นยาวขึ้นได้ แถมหลังจากปัดแล้วมาสคาร่าที่ขนตายังไม่ติดเป็นก้อนอีกด้วย แต่ถึงแม้จะไม่ใช่สูตรกันน้ำ แต่ตัวนี้ก็เป็นอีกตัวที่มีคุณสมบัติกันน้ำได้ดีในระดับหนึ่งเลยล่ะ ราคาอยู่ที่ 920 บาท

8. NARS AUDACIOUS MASCARA 

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

มาสคาร่าตัวนี้มากับตัวบรรจุภัณฑ์ที่ดูหรูหรามาก ซึ่งก็เป็นธรรมดาของ NARS อยู่แล้ว โดยหัวแปรงของมาสคาร่าตัวนี้จะพิเศษกว่าตัวอื่นๆ เพราะมีรูปร่างคล้ายห่วงตะขอ ซึ่งทำให้ปัดแล้วเนื้อมาสคาร่าสามารถเข้าถึงขนตาได้ครบทุกเส้น โดยเนื้อมาสคาร่าของตัวนี้จะเหมาะกับสาวๆ ขนตาสั้น เพราะแค่ปัดเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ขนตายาวขึ้นได้ทันที ราคาอยู่ที่ 1,080 บาท

9. LANCOME GRANDIOSE SMUDGEPROOF MASCARA

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

มาสคาร่าตัวนี้เหมาะกับรูปตาทุกแบบเลย เมื่อปัดแล้วทำให้ขนตายาว ดำหนา และยังช่วยให้ตาดูคม ดูเซ็กซี่มากขึ้น โดยตัวนี้เป็นมาสคาร่าสูตรกันเหงื่อ แต่ก็สามารถล้างด้วยน้ำอุ่นได้ง่าย ราคาแพงหน่อยแต่ใช้งานได้ดีแบบนี้ ก็ต้องยอมเขาแหละ ราคาอยู่ที่ 1,300 บาท

10. TOO FACED BETTER THAN SEX MASCARA

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

เป็นมาสคาร่าที่มีชื่อจัดจ้านมาก ซึ่งมาสคาร่าตัวนี้ก็มีความสามารถที่ทำให้ดูเซ็กซี่ขึ้นมาแน่นอน เพราะให้ขนตาที่สามารถเรียงเส้นได้ดี และยังสามารถเพิ่มความดำให้ขนตาได้อีกด้วย แต่ก็ไม่ติดเป็นก้อนหนา ไม่หลุด ไม่ละลาย ซึ่งถ้าทุนถึงก็ใช้ตัวนี้เลย รับรองไม่ผิดหวัง ราคาอยู่ที่ 1,090 บาท นอกจากมาสคาร่าแล้วคุณอาจสนใจบทความนี้ อายไลเนอร์คุณภาพดี ติดทนนาน


10 อายแชโดว์ยี่ห้อไหนดี ราคาสบายกระเป๋า แต่คุณภาพคับตลับใช้ดีสุดๆ

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

การที่จะหาอายแชโดว์ที่ถูกใจสักอัน คงคล้ายๆ งมเข็มในมหาสมุทร หาเท่าไรก็ไม่เจอ ยิ่งอยากได้แบบราคาประหยัดด้วย ยิ่งหาไม่เจอไปใหญ่ วันนี้เราจึง10 อายแชโดว์ยี่ห้อไหนดี ราคาสบายกระเป๋า แต่คุณภาพคับตลับใช้ดีสุดๆ มาให้สาวๆ ได้ตัดสินใจเลือกใช้กัน จะได้ไม่ต้องมางมอะไรกันอีก มาดูกันเลย 

1. Maybelline EYESTUDIO COLOR TATTOO EYESHADOW

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

นี่เป็นอายแชโดว์สูตรครีมแบบเนื้อเจล จากเมอเบอร์ลีน นิวยอร์ก ซึ่งแน่นอนว่าทาออกมาแล้ว สีสันจะติดทนชัดตลอดวันแน่นอน และตัวนี้เราสามารถใช้แทนอายไพร์เมอร์ได้เลย เหมาะมากๆ สำหรับวันที่เร่งรีบ แต่ข้อเสียก็คือ ถ้าเกลี่ยไม่ดี จะกลายเป็นคราบได้ง่าย เพราะตัวนี้แห้งไวมาก แห้งชนิดแบบใช้แล้วต้องรีบปิดฝาเลย ราคาอยู่ที่ 299 บาท

2. Catrice The Fresh Nude Collection Eyeshadow

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

แบรนด์ที่หลายคนอาจจะคุ้นเคยอย่าง Catrice จากประเทศเยอรมนี แบรนด์ที่ราคาสบายกระเป๋าและคุณภาพน่าคบหา อายแชโดว์ตัวนี้เหมาะสำหรับคนที่เริ่มหัดแต่งตา เพราะเป็นสีโทนนู้ดที่เหมาะกับทุกสีผิว ใช้แต่งตาได้หลากหลายโอกาส มีเนื้อสีที่ชัด ติดทนดี มีเนื้อเป็นสีออกสีมุก สามารถแต่งได้ทุกวันแน่นอน ราคาอยู่ที่ 255 บาทเท่านั้น 

3. Peripera Ink Pocket Shadow

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

Peripera ใช้แล้วสวยเหมือนสาวเกาหลีกันแน่นอน ใครที่ชอบการแต่งตาแบบวิบวับเป็นประกายละก็ต้องไม่พลาดตัวนี้ เพราะมีเนื้อชิมเมอร์ที่ชัดมาก และมีทั้งอายแชโดว์เนื้อแมตต์และเนื้อชิมเมอร์ และยังจับคู่โทนสีมาให้เรียบร้อยแล้วด้วย เหมาะกับการใช้งานได้ทุกวัน เพราะจะทำให้ตาดูสวย แถมตลับยังเล็กสามารถพกพาไปเติมระหว่างวันหรือเติมตอนเย็นก็ได้ ราคาอยู่ที่ 550 บาท

4. L’OREAL PARIS COLOR RICHE LES OMBRE

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

อายแชโดว์ของ L’oreal เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่สาวๆ ชาวไทยนิยมกันตลอดมา และรุ่นล่าสุดอย่างตัวนี้ ก็ถือว่าเป็นหนึ่งไอเทม ที่ควรค่าแก่การครอบครองเป็นอย่างมาก เพราะให้สีที่ชัด และยังติดทนตลอดวัน ตัวตลับมีความแน่นหนา แต่ระวังตอนทหน่อย เพราะอาจจะมีร่วงเป็นผงลงไปบ้างบ้าง ราคาอยู่ที่ 499 บาท

5. SLEEK I-DIVINE EYESHADOW PALETTE

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

แน่นอนว่าแบรนด์นี้สามารถครองใจสาวไทยได้ดีมาก โดยตัวนี้เป็นเครื่องสำอาง สัญชาติอังกฤษ สำหรับอายแชโดว์ที่ขึ้นชื่อมากๆ ก็จะเป็นในรูปแบบของพาเลท โดยในหนึ่งตลับจะมีสีให้เลือกถึง 12 สี และแต่ละพาเลทก็จะมีการจับคู่ตัวสี หรือเนื้อสีมาไว้แล้ว และบางพาเลทก็มาเป็นโทนสีน้ำตาล บ้างก็สีแนวหวานๆ และเวลาแต่งตา ตัวสีจะชัดติดทนนานมาก ราคาอยู่ที่ 550 บาท

6. Colourpop super shock shadow

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

ประเทศอเมริกาก็เป็นประเทศที่มีอายแชโดว์เยอะมาก ตัวนี้ก็เป็นตลับเดี่ยวและบรรจุได้ลงมาในตลับทรงกลม โดยตัวนี้มีคุณภาพที่ดีมาก สีติดทนนาน แต่อาจจะต้องใช้อายไพรเมอร์เข้ามาช่วยบ้าง เนื้อสัมผัสกึ่งครีม และสีสันก็มีตั้งแต่สีแบบธรรมชาติไปจนถึงสีแนวจัดจ้าน ราคาอยู่ที่ตลับละ 320 บาท

7. Merrez’ca Blink Blink Eye

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

อายแชโดว์เนื้อละเอียด มาครบทั้งเนื้อแมตต์ ชิมเมอร์และกลิตเตอร์ในตลับเดียวที่ช่วยเพิ่มมิติให้ดวงตา โดยตัวนี้จะเหมาะกับการแต่งหน้าในทุกรูปแบบ เพราะได้มีการคุมโทนสีมาเป็นอย่างดี ตัวนี้สีดีและเนื้อติดทนนาน ราคาอยู่ที่ 345 บาท

8. ESSENCE 3D EYESHADOW

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

ใครกำลังอยากได้ อายแชโดว์ราคาถูก และคุณภาพดี Essence ตัวนี้ก็คือหนึ่งในคำตอบนั้น โดยสำหรับอายแชโดว์ตัวนี้มีสีที่สามารถติดทนได้นาน และมีให้เลือกถึง 5 สี โดยตัวนี้จะเหมาะมากๆ สำหรับคนที่ชอบแต่งเปลือกตาให้ดูวิบวับ เป็นประกาย ราคาอยู่ที่ 140 บาท

9. 4U2 COLOR EYESHADOW

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

นี่ก็เป็นอีกแบรนด์ที่มีอายแชโดว์คุณภาพโคตรดี สีเนื้อสีที่ติดทนได้ดี โดยอายแชโดว์รุ่นนี้ มีเม็ดสีที่ชัดมาก ปาดไปแล้วจะแสดงความคมชัดได้แบบชัดเจน ในตลับจะมีสีให้เลือกมี 4 สี ไล่ตั้งแต่สีอ่อนๆ สำหรับการทำไฮไลท์ ไปจนถึงสีเข้มสำหรับคัดเบ้า ราคาประมาณ 200-300 บาท

10. WET N WILD COLOR ICON EYESHADOW

เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ

อายแชโดว์ตัวนี้มีคุณภาพดีที่ เมื่อทาไปที่ตาแล้ว จะทำให้สีที่ออกมา สวย ชัดเจน และติดทนได้ดีพอประมาณ ซึ่งอาจจะใช้อายไพรเมอร์ช่วยนิดนึง ตัวแพ็คเกจดูไม่ค่อยทนทาน  ราคาอยู่ที่ 299 บาท 

ใครที่กำลังมองหา เครื่องสำอางกันน้ำกันเหงื่อ อย่างพวกมาสคาร่าหรืออายแชโดว์สักตลับ ที่ราคาถูกและดี คุ้มค่าแก่การซื้อก็ลองไปดูหรือไปลองสีแบรนด์ที่เราแนะนำกันมาได้ จะได้แต่งตาให้ดูสวยและสร้างสีสันบนใบหน้าให้มีมิติมากขึ้นได้


อ้างอิง

The Best Waterproof Makeup Products for Your Eyes, Lips, and Face. https://www.cosmopolitan.com/style-beauty/beauty/a8977017/best-waterproof-makeup-products/

Best Waterproof Mascaras. https://www.goodhousekeeping.com/beauty-products/mascara-reviews/g2071/best-waterproof-mascara/

HOW TO CHOOSE AN EYESHADOW PALETTE YOU’LL ACTUALLY USE.  https://sharedplanet.com/blogs/beauty/how-to-choose-the-best-eyeshadow-palettes

5 เครื่องสําอางที่ควรมี ติดกระเป๋า ที่สาวๆ ห้ามขาด!

5 เครื่องสําอางที่ควรมี ติดกระเป๋า ที่สาวๆ ห้ามขาด!

5 เครื่องสําอางที่ควรมี ติดกระเป๋า ที่สาวๆ ห้ามขาด! เครื่องสำอางอะไรบ้างที่สาวๆ มือโปรต้องพกติดตัวเสมอ ไอเทมเด็ดของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไป แต่วันนี้ก็มี 5 เครื่องสําอางที่ควรมี ติดกระเป๋า มาให้อ่านกัน จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน

1. แป้งอัดแข็งหรือแป้งผสมรองพื้น

เครื่องสําอางที่ควรมี

สำหรับใครที่ไม่อยากให้ใบหน้าอันสวยสดของเรามันแผลบในระหว่างวัน และสิ่งที่ควรมีติดตัวมากที่สุดก็คือ ตลับแป้งนั่นเอง โดยจะเลือกใช้เป็นแป้งอัดแข็งหรือแป้งผสมรองพื้นจะเป็นแป้งแต่งหน้ายี่ห้ออะไรก็ได้ แต่ควรเป็นแป้งที่สามารถช่วยควบคุมความมันได้เป็นอย่างดี และใช้แล้วไม่เกิดอาการแพ้ก็พอแล้ว เพราะระหว่างวันเราต้องทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย ดังนั้น แป้งดีๆ ที่สามารถควบคุมความมันได้ก็เป็นที่สิ่งสำคัญ

2. ลิปสติก

เครื่องสําอางที่ควรมี

เครื่องสําอางที่ควรมี ติดกระเป๋า ไอเทมเด็ดอีกตัวนั่นก็คือ ลิปสติก จะเลือกใช้ลิปสติกแบบไหนก็ได้ที่ตัวเองชอบแต่ควรเลือกแบรนด์ลิปสติกติดทน  เพราะระหว่างวันเราอาจจะรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ ทำให้ลิปสติกที่อยู่บนริมฝีปากจางลงไปได้ ซึ่งถ้าเราเติมระหว่างวันก็จะทำให้ริมฝีปากแดงระเรื่อ เหมือนสาวที่มีสุขภาพที่ดี และยังไม่ทำให้แก่กว่าวัยอีกด้วย ดังนั้นใครที่ยังไม่มีลิปสติกพกติดกระเป๋าก็ควรซื้อติดตัวไว้ด่วน

3. บลัชออน

เครื่องสําอางที่ควรมี

สีปากมาแล้ว จะหายสีแก้มไปได้อย่างไร พกบลัชออนไว้ตบระหว่างวัน ทำให้พวงแก้มอมชมพูแล้วยังทำให้การแต่งหน้าดูมีสีสันมากขึ้นด้วย และขอแนะนำให้พกเป็นบลัชออนพาเลตต์ที่มีทุกอย่างครบจบในตัวทั้งปัดแก้ม บรอนเซอร์ และไฮไลต์สีที่เข้ากัน เติมได้ทั้งหน้าในทีเดียว 

4. โรลออนหรือน้ำหอมขนาดเล็ก

เครื่องสําอางที่ควรมี

เพราะว่าแต่ละวันเราอาจจะทำกิจกรรมหรือเคลื่อนไหวค่อนข้างมาก นั่นก็อาจจะทำให้กลิ่นตัวหอมๆ ที่เราฉีดมาตั้งแต่เช้าให้หอมนั้นหายไป ดังนั้นอย่าให้กลิ่นตัวหรือกลิ่นเหงื่อมาทำให้เราเสียบุคลิก เราสามารถแก้ปัญหากันได้ง่ายๆ โดยการใช้โรลออนหรือน้ำหอมเติมระหว่างวันได้ แต่ก็ควรใช้ประเภทที่ไม่มีกลิ่นแรงเกินไปและเลือกแบบที่สามารถดับกลิ่นได้ ที่สำคัญถ้าจะทาหรือฉีดทับ หากมีเหงื่อออกเยอะอย่าลืมใช้ทิชชูเปียกซับออกก่อนเสียหน่อย จะได้กลิ่นหอมๆ ติดตัว

5. ลีฟออนแต่งผมขนาดเล็ก

เครื่องสําอางที่ควรมี

เพราะทรงผมเราไม่ได้อยู่ทรงสวยตลอดเวลา บางครั้งผมก็อาจยุ่งฟูเป็นฟองน้ำหรืออะไรก็ตาม ยิ่งถ้าต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์หรือไปทำกิจกรรมมา หากพกลีฟออนหรือสเปรย์จัดแต่งทรงผมที่สามารถใช้ได้โดยไม่ต้องล้างออก ยิ่งใช้ยี่ห้อดีๆ นั่นก็จะทำให้ผมของเรากลับมาอยู่ทรงสวยจนแทบไม่ต้องจัดทรงกันเลยทีเดียว


5 แป้งแต่งหน้าแบบไหนดี เลือกแป้งแต่งหน้าให้เหมาะกับใบหน้ามากที่สุด

เครื่องสําอางที่ควรมี

5 แป้งแต่งหน้าแบบไหนดี เลือกแป้งแต่งหน้าให้เหมาะกับใบหน้ามากที่สุด การเลือกแป้งแต่งหน้าก็สำคัญสำหรับผิวสาวๆ มากๆ เพราะถ้าเลือกแป้งที่เข้ากับใบหน้าได้ดี นั่นก็จะทำให้หน้าเราดูสวยขึ้น แต่ถ้าเลือกแป้งที่ไม่เหมาะกับใบหน้า นอกจากจะดูไม่สวยแล้ว ยังทำให้หน้าดูหมองคล้ำหรือหน้ามันเยิ้มระหว่างวันได้อีกด้วย มาดูกันดีกว่าว่า มีแป้งชนิดไหนบ้าง

เครื่องสําอางที่ควรมี

1. แป้งอัดแข็ง

แป้งอัดแข็งเป็นแป้งที่ใช้ทาหน้า ซึ่งได้บรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่พกพาง่าย ใช้ได้สะดวก โดยข้อดีของแป้งชนิดนี้คือจะทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน และยังสามารถใช้แปรงแต่งหน้าได้อีกด้วย โดยแค่ปัดเพื่อลงไปบนแป้งแล้วป้ายไปที่ผิวหน้าให้ดูเรียบเนียน และทำให้กลมกลืนกับผิวธรรมชาติได้ดี

ตัวแป้งมีความเบาบาง ไม่หนักใบหน้า จึงเหมาะที่จะใช้ในช่วงกลางวันสำหรับดูดซับความมันของใบหน้าหรือเครื่องสำอางที่ชอบทิ้งความมันลงไปบนผิว ตัวแป้งอัดแข็งจะเหมาะสำหรับสาวๆ ผิวธรรมดาเท่านั้น ส่วนสาวๆ ที่มีผิวมัน ถ้าใช้แล้วแป้งจะจับตัวกันเป็นก้อน ทำให้เกิดการอุดตัน และสาวผิวแห้งจะถูกแป้งดูดซับความชื้นบนใบหน้าไปหมดก็ยิ่งทำให้หน้าดูแห้งลงไปอีก

2. แป้งผสมรองพื้น

แป้งรองพื้นเป็นแป้งที่มีเนื้อเบา เกลี่ยได้ง่าย และยังช่วยปกปิดผิวที่มีปัญหาได้ดีมาก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรอยสิวบนใบหน้า หรือรอยจุดด่างดำก็สามารกลบได้ มีเนื้อแป้งที่ค่อนข้างลื่น ทาได้ง่าย เหมาะสำหรับสาวๆ ผิวธรรมดาและสาวผิวแห้ง เพราะแป้งชนิดนี้มีส่วนผสมของน้ำค่อนข้างมาก จึงจะช่วยทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้นได้ด้วย 

3. แป้งเนื้อแมตต์

แป้งเนื้อแมตต์เป็นแป้งที่มีเนื้อค่อนข้างด้าน ไม่เกิดความมันวาว จึงสามารถควบคุมความมันได้ดีมาก เราสามารถใช้ผสมกับบรอนเซอร์ได้ แต่ข้อเสียของแป้งชนิดนี้ที่เห็นได้ง่ายเลยก็คือ เกลี่ยยากมาก ยิ่งช่วงนั้นเป็นอากาศเย็นๆ แต่ถ้าอยู่ในช่วงหน้าร้อนก็จะใช้งานได้ดี เพราะจะช่วยคุมความมันบนใบหน้า และช่วยป้องกันคราบเหงื่อ แนะนำเครื่องสำอางกันน้ำกันเหงือในหน้าฝน ต้องแป้งตัวนี้เลย ที่สำคัญแป้งเนื้อแมตต์จึงเหมาะเป็นพิเศษกับสาวผิวมัน

4. แป้งผสมครีมรองพื้น

แป้งผสมครีมรองพื้นเป็นแป้งที่มีเนื้อหนา เนื้อลื่น จึงสามารถปกป้องผิวหนังได้เรียบเนียนสนิท เหมาะสำหรับสาวผิวธรรมดา เพราะเนื้อแป้งสามารถเนียนติดไปกับผิวได้ดีมาก และไม่เหมาะกับสาวผิวมันเพราะจะทำให้เกิดการอุดตัน และทำให้เกิดสิวได้

5. แป้งฝุ่น

แป้งฝุ่นเป็นแป้งที่มีความบางเบา มีความละเอียด และมักใช้ในตอนสุดท้ายของการแต่งหน้า เพื่อที่จะทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน ไม่มันวาว เพราะจะช่วยดูดซับความมันบนใบหน้าได้อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสีสันบนใบหน้าให้เด่นชัดได้มากขึ้นอีกด้วย และยังช่วยให้เครื่องสำอางติดทนนาน เหมาะมากๆ สำหรับสาวที่มีผิวแพ้ง่าย ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการอุดตันที่จะนำไปสู่การเกิดสิว และเกิดทำให้ผิวอักเสบ


10 บลัชออนยี่ห้อไหนดี บลัชออนถูกและดีที่ราคาน่าคบหา

เครื่องสําอางที่ควรมี

10 บลัชออนยี่ห้อไหนดี บลัชออนถูกและดีที่ราคาน่าคบหา หลายคนคงค้นหาบลัชออนที่ราคาไม่แพงอยู่แน่นอน แต่ก็เจอแต่แบบที่มีราคาแพงๆ ทั้งนั้นเลย ไม่รู้จะไปหาที่ไหน ไม่รู้จะใช้ตัวไหนที่ถูก ราคาถูกแล้วดีจริงหรือ วันนี้เราก็มี 10 บลัชออนที่ราคาน่าคบหา ซึ่งรับรองได้ว่าถูกอกถูกใจสาวๆ แน่นอน แต่ว่าจะไปอะไรบ้างไปดูกัน

1. ESSENCE SILKY TOUCH BLUSH

เครื่องสําอางที่ควรมี

มาตัวแรกก็โดนเลย เพราะบลัชออนตัวนี้มีคุณภาพดี ราคาถูก Essence Silky Touch Blush ตัวนี้ก็เป็นตัวเดียวกับที่บล็อกเกอร์หลายคนได้ยืนยันมาแล้วว่าดีจริง ซึ่งก็สามารถไปวัดระดับกับบลัชออนราคาแพงได้สบายๆ ด้วยเนื้อบลัชที่มีความเรียบเนียน สีสามารถติดทนได้นาน แถมสียังสวยทุกสีอีกด้วย ราคาอยู่ที่ 190 บาท

2. NYX POWDER BLUSH

เครื่องสําอางที่ควรมี

นี่เป็นบลัชออนคุณภาพระดับไฮเอนด์ เพราะบลัชออนของ NYX มีความสามารถในการที่จะทำให้สีสวยติดทนได้นานสุดๆ แถมยังมีความหลากหลายของโทนสีให้เลือกได้อย่างจุใจอีกด้วย และเนื้อบลัชก็มีประกายวาวๆ สำหรับเพิ่มความสวยงามอีกด้วย ราคาอยู่ที่ 200-300 บาท

3. SLEEK BLUSH

เครื่องสําอางที่ควรมี

ถ้ากำลังหาบลัชออนที่เนื้อสีดี ตัวนี้ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว เพราะสำหรับ Sleek Blush เป็นบลัชออนที่มีสีที่สวยชัดทุกเฉดสี ปาดผิวทีเดียวสีก็ติดทนแล้ว แถมมีให้เลือกทั้งแบบเนื้อแมตต์และแบบเนื้อชิมเมอร์ ราคาอยู่ที่ 320 บาทเท่านั้น

4. GABRIELLA SALVETE FIORELLO ROUGE

เครื่องสําอางที่ควรมี

แบรนด์นี้อาจจะไม่คุ้นกับใครหลายๆ คน เพราะแบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่มาจากอิตาลี แต่ก็ยังมีขายในไทย ซึ่งก็มีคุณภาพที่ดีมาก เพราะเนื้อสีของตัวบลัชออนตัวนี้ มีความเนียนและนุ่มมากก เกลี่ยไปบนผิวได้ง่ายสุดๆ โดยตัวนี้มีให้เลือกทั้งเนื้อชิมเมอร์และเนื้อแมตต์ ราคาอยู่ที่ 390 บาท

5. MAYBELLINE CHEEKY GLOW

เครื่องสําอางที่ควรมี

นี่เป็นแบรนด์หนึ่งที่สามารถครองใจสาวไทยไปได้มาก สำหรับ Maybelline Cheeky Glow เพราะมีราคาที่ย่อมเยาสุดๆ แค่ 179 บาทเท่านั้น แต่คุณภาพก็สามารถทำได้ดีเกินราคา เพราะมีเนื้อสีที่ติดทนนาน แถมตัวแพ็กเกจก็สามารถพกพาได้ง่าย มีขนาดเล็กน่ารัก

6. WET N WILD COLOR ICON BLUSHER

เครื่องสําอางที่ควรมี

นอกจากลิปสติกของแบรนด์นี้จะเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ แล้ว ตัวบลัชออนของแบรนด์นี้ก็ยังติดอันดับ TOP 10 บลัชออนที่มีราคาถูกและคุณภาพดีอีกด้วย ซึ่งมีเนื้อสีที่เนียนนุ่ม ติดทนได้นาน ชิมเมอร์ไม่อลังการเกินไป จึงทำให้ตัวบลัชออนของแบรนด์นี้สามารถเข้าไปครองใจสาวๆ ได้เยอะมาก แถมยังมากับราคาที่ถูกแสนถูก เพียง 199 บาทเท่านั้น

7. CATRICE DEFINING DUO BLUSH

เครื่องสําอางที่ควรมี

ใครกำลังมองหาบลัชออนที่สามารถเป็นไฮไลต์ในตัวได้ด้วย ตัวนี้ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว เพราะในตลับบลัชออนตัวนี้มีสีมาให้เลือกถึง 2 สี ซึ่งเนื้อสีตัวนี้จะมีชิมเมอร์ที่มีความละเอียด ซึ่งเมื่อปัดแล้วจะช่วยทำให้หน้าดูเหมือนปัดไฮไลต์ได้เลยราคาอยู่ที่ 190 บาท

8. ESSENCE MOSAIC BLUSH

เครื่องสําอางที่ควรมี

นี่เป็นอีกหนึ่งบลัชออนที่สาวๆ ไม่ควรพลาดโดยเด็ดขาด เพราะนอกจากตัวนี้จะเป็นบลัชออน ที่มีลวดลายโมเสก ซึ่งดูเก๋ไก๋แล้ว ในตลับบลัชออนยังมีสีสวยให้เลือกถึง 3 สีด้วยกัน และเวลาปัดวนก็สามารถทำให้สีเปล่งออกมาได้สวยขึ้น แถมสียังชัดและติดทนได้นาน เมื่อปัดแล้วก็จะทำให้แก้มดูสวยสุขภาพดีมากๆ ซึ่งราคาก็อยู่ที่ 165 บาท

9. IN2IT SHEER SHIMMER BLUSH

เครื่องสําอางที่ควรมี

สาวๆ คนไหนที่ชื่นชอบความวิ้งของผิว ชอบชิมเมอร์ที่จัดจ้าน ต้องไม่พลาดกับบลัชออนตัวนี้เลย เพราะมีราคาเพียงแค่ 159 บาทเท่านั้น แต่เจ้าบลัชออนตัวนี้ก็จะไม่เหมาะกับสาวหน้ามันสักเท่าไหร่ เพราะจะไปทำให้หน้าที่มันดูมันขึ้นไปอีก แต่ถ้าใครที่มีผิวหน้าที่ไม่มัน ตัวนี้ก็ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว

10. E.L.F. HD BLUSH

เครื่องสําอางที่ควรมี

ใครที่ชอบใช้ครีมบลัชหรือบลัชออนในรูปแบบของเนื้อครีมน้ำ ซึ่งแบรนด์ที่สามารถทำสีได้ติดทนนานละก็คงไม่พ้นแบรนด์ e.l.f. HD Blush นี้แน่นอน โดยตัวบลัชออนเป็นแบบขวดสามารถปั๊มได้ ใช้ได้ง่าย มีเฉดสีให้เลือกมากมาย ราคาอยู่ที่ 379 บาทถือว่า คุ้มค่าคุ้มราคามากๆ 

นอกจาก เครื่องสำอางที่ควรมี ติดกระเป๋าไว้เติมระหว่างวัน เพื่อเสริมความเป๊ะปังได้ในทุกสถานการณ์ แล้วการเลือกใช้เครื่องสำอางแต่งหน้าก็สำคัญไม่แพ้กัน อย่างพวกแป้งหรือรองพื้นที่ติดทนหรืออายไลเนอร์ติดทนนานก็มีส่วนช่วยทำให้เครื่องสำอางบนใบหน้าอยู่ติดทนได้มากขึ้นเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรต้องเลือกเครื่องสำอางที่เหมาะกับสภาพผิว และไม่ก่อนให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองต่อผิวด้วย


อ้างอิง

Blushes Perfect for a Rosy Glow. https://www.byrdie.com/best-blushes-4163638

5 ชนิดแป้งแต่งหน้า เลือกใช้แบบไหนให้เหมาะกับสภาพผิว. https://vogue.co.th/beauty/type-of-makeup-powders

อายครีมตัวไหนดี 15 ตัวท็อปสำหรับสาวๆ ทุกคน

อายครีมตัวไหนดี 15 ตัวท็อปสำหรับสาวๆ ทุกคน

สาวๆ หลายคนคงเคยประสบปัญหาที่ว่า ตาคล้ำ ตาดำ ตาแพนด้า อะไรต่างๆ นานา จะใช้ อายครีมตัวไหนดี แต่วันนี้จะบอกว่ามีสุดยอดอายครีมที่บอกได้เลยว่า สาวๆ จะต้องชอบอย่างแน่นอน เพราะสามารถกลบเกลื่อนรอยคล้ำ ด่างดำได้เป็นอย่างดี และยังทำให้ตาดูวิ้งๆ ปิ๊งๆ มากขึ้นอีกด้วย มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

1. LA MER THE EYE BALM INTENSE

อายครีมตัวไหนดี

มากับตัวแรก ที่เป็นอายครีมที่มีความบางเบามากๆ แน่นอนว่าของลาแมร์ เมื่อใช้แล้วจะทำให้ผิวหนังดูชุ่มชื้น ดูมีความเป็นธรรมชาติ และตัวนี้สามารถใช้ได้กับผิวทุกประเภท ประโยชน์ของมันคือ สามารถช่วยลดรอยคล้ำใต้ตาลงไปได้ ให้ความนุ่มนวลกับผิวได้ดี และในกล่องที่แนบมาก็จะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า “ซิลเวอร์ แอพพลิเคเตอร์” มาให้ด้วย ซึ่งก็จะช่วยทำให้เนื้อครีมสามารถซึมลึกเข้าไปสู่เนื้อผิวได้ดีกว่ามือเปล่า ราคาอยู่ที่ประมาณ 8,500 บาท 

2. ARCONA EYE DEW

อายครีมตัวไหนดี

ชื่อแปลกๆ ไม่คุ้นหู แต่แน่นอนว่ายุโรป และอเมริกา รวมทั้งหลายๆ ประเทศจะต้องคุ้นชินกับแบรนด์นี้แน่นอน โดยเฉพาะตัวนี้แหละ เพราะว่าเป็นครีมที่สามารถลดรอยให้ผิวตาได้ดี ซึ่งมีสารสกัดหลากหลายชนิดที่ผสมอยู่ในครีมนี้ จึงทำให้เป็นการบำรุงรอบดวงตาที่เหมือนได้ไปทำสปาเลยทีเดียว ราคาอยู่ที่ 1,400 บาท

3. ENDOCARE EYE & LIP CONTOUR

อายครีมตัวไหนดี

มากับตัวที่เรียกว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะตัวนี้ประกอบไปด้วย 2 การทำงานในขวดเดียว โดยสามารถใช้ทั้งรอบดวงตาและที่ริมฝีปากก็ได้ ซึ่งตัวนี้ก็เป็นเซรั่มหอยทากที่สกัดมาได้อย่างเข้มข้น และได้ผสมลงไปในเนื้อครีม ซึ่งทำออกมาได้บางเบา น่าใช้มาก ประโยชน์คือมีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้ และช่วยลดอาการอักเสบ ช่วยในการฟื้นฟูผิว เรียกว่าตัวนี้ดีมากๆ กับราคา 1,500 บาท

4. BOBBI BROWN EYE REPAIR CREAM

อายครีมตัวไหนดี

นี่คืออายครีม ที่ได้สกัดมาจากน้ำมันธรรมชาติพิเศษจากผลอะโวคาโด ซึ่งตัวนี้สามารถใช้ทารองพื้นก่อนทาคอนซีลเลอร์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็จะช่วยให้การทาครีมดูเรียบเนียนขึ้น ไม่เป็นขุย ไม่หนา ไม่โบ๊ะ เหมือนอายครีมตัวอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของสารสกัดจากว่านหางจระเข้ ซึ่งก็จะเป็นส่วนช่วยในการบำรุงผิว ให้สวยใสเรียบเนียนยิ่งๆ ขึ้นไป ราคาอยู่ที่ 1,900 บาท

5. SKII SKIN SIGNATURE EYE CREAM

อายครีมตัวไหนดี

ตัวนี้เป็นอายครีมที่มีส่วนผสมเข้มข้นพิเศษจากพิเทร่าและโอลิไวทิล ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากในการลดความหมองคลํ้าให้ขอบตา ปรับเปลี่ยนสีผิวรอบตาที่ไม่เท่ากัน ให้สม่ำเสมอกัน และยังช่วยในการบำรุงริ้วรอยต่างๆ ได้ด้วย ซึ่งอายครีมตัวนี้ก็จะเหมาะกันกับสาวผิวแห้งมากกว่า เพราะตัวเนื้อครีมมีความมันและเหลวพอสมควร ราคาอยู่ที่ 3,510 บาท

6. KIEHL’S CREAMY EYE TREATMENT WITH AVOCADO

อายครีมตัวไหนดี

สำหรับเจ้าอายครีมตัวนี้จะไม่ได้ไปเน้นการบำรุงเรื่องของการลดริ้วรอย แต่จะเป็นตัวช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนังมากกว่า เพราะตัวครีมได้สารสกัดจากอะโวคาโด ซึ่งก็สามารถซึมเข้าผิวได้เร็วมากๆ ทาไปเพียงแต่ไม่กี่วินาที ครีมก็สามารถซึมลงสู่ผิวไปหมดแล้ว โดยเทคนิคการใช้ครีมชนิดนี้คือ จะต้องบีบครีมลงบนมือ และทาวนในมือให้ละเอียดเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยทาลงสู่ผิวตา เพื่อการซึมเข้าผิวหนังที่ดีที่สุด ราคาอยู่ที่ 1,400 บาท

7. EMBRYOLISSE SOIN LISSANT CONTOUR DES YEUX

อายครีมตัวไหนดี

นี่เป็นผลิตภัณฑ์จากดินแดนแห่งน้ำหอม ประเทศฝรั่งเศสนั่นเอง ซึ่งนี่ก็เป็นอายครีมที่ช่างแต่งหน้าชั้นนำทั่วโลกนิยมใช้เป็นอย่างมาก จะมีส่วนช่วยในการลดรอบเหี่ยวย่น รอยตีนกาที่ใบหน้า ทำให้เหมาะกับสาวรุ่นใหญ่ แต่สาวรุ่นเล็กที่มีปัญหาก็ใช้ได้เช่นกัน ทั้งยังช่วยลดถึงใต้ตาอีกด้วย ราคาอยู่ที่ 1,350 บาท

8. ORIGINS GINZINGTM REFRESHING EYE CREAM

อายครีมตัวไหนดี

หากถามว่า อายครีมตัวไหนดี  ขอแนะนำอายครีมที่เห็นผลไว ตัวนี้เพราะหลังจากใช้งานเพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้เลย เพราะมีส่วนผสมของสมุนไพรอย่างโสมและสารสกัดจากส้ม ที่มีส่วนช่วยในการฟื้นฟูผิวให้เต่งตึง กระชับ ดูมีชีวิตชีวา และยังช่วยปรับความเรียบเนียนของผิวให้ดีขึ้น ราคาอยู่ที่ 1,500 บาท

9. BORGHESE FLUIDO PROTETTIVO ADVANCED SPA LIFT FOR EYES

อายครีมตัวไหนดี

นี่เป็นเจลอายครีมที่มีเนื้อที่ทั้งบาง ทั้งเบามากๆ แถมยังมีกลิ่นที่ไม่แรงจนเกินไป ทำให้ทาแล้วไม่เกิดผลข้างเคียงแน่นอน ทำให้เหมาะสำหรับสาวผิวบาง แพ้ผิวง่าย โดยตัวนี้เป็นตัวหนึ่งที่มีราคาที่สูงพอสมควร แต่ก็คุ้มค่ามากๆ ถึงขนาด Blogger เครื่องสำอางของต่างประเทศก็ได้รีวิวและบอกเลยว่าดีจริงๆ ราคาอยู่ที่ 2,000 บาท

10. CLARINS DEFINING EYE LIFT

อายครีมตัวไหนดี

มากับอายครีมที่จะมาช่วยในการทำให้เลือดบริเวณใต้ตาไหลเวียนได้ดีขึ้น ช่วยทำให้ผิวสามารถฟื้นฟูได้ไวขึ้น โดยตัวอายครีมจะเป็นเนื้อเจล สีน้ำตาลอ่อนๆ คล้ายเซรั่ม ทำให้ไม่มีความเหนียวเหนอะหนะเหมือนครีมธรรมดา มีกลิ่นหอมนิดๆ พอให้ได้กลิ่น ราคาอยู่ที่ 2,150 บาท

11. DERMALOGICA AGE REVERSAL EYE COMPLEX

อายครีมตัวไหนดี

มาแปลกกับอายครีมตัวนี้ เพราะตัวนี้แนะนำว่าให้ใช้แค่วันละครั้งก็พอ โดยอาจจะเลือกเวลาใดเวลาหนึ่งของวันแค่ครั้งเดียว โดยอายครีมตัวนี้มีคุณสมบัติที่สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว และช่วยบำรุงให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น เนื้อครีมเป็นลักษณะ ขาวๆ ขุ่นๆ แน่นอนว่าต้องวอร์มก่อนทา เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ราคาอยู่ที่ 2,700 บาท

12. CLINIQUE ALL ABOUT EYES SERUM

อายครีมตัวไหนดี

สำหรับอายครีมตัวนี้มาในรูปแบบของลูกกลิ้ง แนะนำว่าใช้นำไปแช่ตู้เย็น จากนั้นจึงนำมาทาที่ขอบตา จะให้ความรู้สึกที่สดชื่นมากๆ ซึ่งก็จะทำให้ผิวดูเรียบเนียน และผ่อนคลายมากขึ้น โดยจะอยู่ในรูปของเซรั่มใสๆ บางๆ จะนำไปใช้ตอนไหนก็ได้ ไม่เลอะเทอะผิวแน่นอน ราคาอยู่ที่ 1,500 บาท

13. SHISEIDO IBUKI EYE CORRECTING CREAM

อายครีมตัวไหนดี

มากับอายครีมอีกตัวที่มีเนื้อครีมที่ไม่ค่อยเข้มข้นเท่าไรนัก แต่มีความยืดหยุ่นสูงมากทีเดียว โดยเนื้อครีมจะมีสีคล้ายสีพีช มีความนุ่ม ลื่นๆ ละมุนสุดๆ มีกลิ่นน้ำหอมเล็กๆ ให้พอได้กลิ่น เนื้อครีมสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ไวมาก เทคนิคคือ ใช้ทาที่เปลือกตาด้านบน และทาที่หางตา เพราะนั่นเป็นจุดที่จะเกิดริ้วรอบได้ง่ายมากๆ ราคาอยู่ที่ 1,250 บาท

14. BENEFIT IT’S POTENT EYE CREAM

อายครีมตัวไหนดี

อาจจะแปลกๆ หน่อยกับอายครีมตัวนี้ เพราะว่าจะมีกลิ่นยาติดมากับตัวครีมด้วย แต่ถ้าได้ใช้แล้วรับรองว่าผิดคาดแน่นอน เพราะสามารถให้ความชุ่มชื้นที่ดวงตาได้ดี โดยตัวเนื้อครีมจะหนักไปทางรองพื้นโทนหนัก ซึ่งก็สามารถเคลือบผิวได้ดีมากที่เดียว เหมาะสำหรับคนที่มีผิวหนังที่แห้ง เพราะสามารถปรับให้ดูชุ่มชื้น เรียบเนียนขึ้นมาได้ ราคาอยู่ที่ 1,300 บาท

15. ESTEE LAUDER ADVANCED NIGHT REPAIR 

อายครีมตัวไหนดี

ตัวสุดท้ายเป็นอายครีมที่มีเนื้อข้นมากๆ ซึ่งก็จะซึมเข้าผิวนานหน่อย แต่รับรองว่าเวิร์คแน่นอน เพราะสามารถลดรอยที่หางตาได้ดี ปรับผิวตาให้ดูเรียบเนียน สม่ำเสมอ แต่ตัวนี้จะนิยมใช้ตอนกลางคืนมากกว่า เพราะจะให้ความรู้สึกที่เหนอะหนะ และมันไปหน่อย ราคาอยู่ที่ 2,600 บาท หรือใครที่มองว่าแบรนด์ต่างประเทศมีราคาที่ค้อนข้างสูง คุณอาจสนใจ ครีมแบรนด์ไทยช่วยผิวสวย ราคาย่อมเยาเหมาะกับคนไทยโดยเฉพาะ


5 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ทาหน้าขาวใสโดยเฉพาะ

อายครีมตัวไหนดี

5 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ทาหน้าขาวใสโดยเฉพาะ นอกจากหาอายครีมตัวไหนดี บำรุงแต่รอยหมองคล้ำใต้ตาอย่างเดียวจนลืมบำรุงผิวหน้าด้วยนะ ที่สำคัญก่อนลงสกินแคร์ก็อย่าลืมทำตามขั้นตอนการทาสกินแคร์รูทีนที่ถูกต้องเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้ได้ผลดีที่สุดด้วย วันนี้จึงมี 5 มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ทาหน้าขาวใสโดยเฉพาะ มาฝากกัน มีอะไรบ้างไปดูเลย  

1. LA ROCHE-POSAY EFFACLAR DUO +

อายครีมตัวไหนดี

นี่เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่จะมาช่วยในการบำรุงผิวหน้าให้ดูสดใสขึ้น ช่วยลดสิวอุดตันได้ ลดรอยดำรอยแดง และช่วยไม่ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน โดยตัวนี้จะเหมาะมากๆ สำหรับคนที่มีผิวหน้าที่มัน ราคาอยู่ที่ 900 บาทเท่านั้น คุ้มสุดๆ

2. HADA LABO SUPER HYALURONIC ACID MOISTURIZING LOTION

อายครีมตัวไหนดี

มากับโลชั่นเนื้อบางเบา ที่เป็นคล้ายเจลใสๆ โดยโลชั่นตัวนี้จะให้ความชุ่มชื้น และช่วยเติมเต็มผิวหน้าให้ดูกระจ่างใสขึ้น และยังไม่ทำให้เกิดคราบ และอาการเหนียวเหนอะหนะอีกด้วย ซึ่ง Hada labo เองก็ได้ทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสกินแคร์อยู่เยอะเหมือนกัน ลองไปหาดูกันได้ส่วนราคาตัวนี้อยู่ที่ 495 บาท

3. NATURE REPUBLIC ALOE VERA 92 SOOTHING GEL

อายครีมตัวไหนดี

นี่เป็นเจลที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่น ซึ่งได้ทำมาจากว่างหางจระเข้ ที่สำหรับเมืองไทยมันคือสมุนไพรชนิดหนึ่งที่สามารถรักษาแล้วช่วยแก้ไขอาการได้เยอะมาก โดยคุณสมบัติของเจล ตัวนี้คือ ซึมเข้าสู่ผิวได้เร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ สามารถทาได้ทั้งผิวกายและใบหน้า จะนำมาทาหน้า หรือพอกหน้าก็ได้ เหมาะสำหรับคนที่ชอบลุยๆ ไปผ่านอะไรมาเยอะแล้วก็มาจบที่ตัวนี้ โดยราคาอยู่ที่ 290 บาท

4. NEUTROGENA HYDRO BOOST WATER GEL

อายครีมตัวไหนดี

มากับเจลที่ช่วยในการเพิ่มเติมความชุ่มชื้นให้ผิว และยังช่วยกักเก็บน้ำให้ผิวได้อีกด้วย ตัวนี้เป็นเจลที่หลายคนใช้แล้วชอบมากๆ ถึงกับบอกต่อกันเลยทีเดียว ซึ่งการทำงานของมันคือ จะไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ซึ่งถ้าผิวมีความชุ่มชื่นที่มากพอ ก็จะทำให้ความมันที่มีอยู่ลดน้อยลงได้ และคุณสมบัติที่น่าสนใจของตัวนี้คือ สามารถซึมซับเข้าสู่ผิวได้เร็ว รับรองว่าต้องชอบกันแน่นอน ราคาอยู่ที่ 499 บาท

5. GARNIER DARK SPOT CORRECTOR SERUM

อายครีมตัวไหนดี

ตัวนี้ก็เป็นเซรั่มที่สามารถแก้ปัญหาจุดด่างดำที่อยู่บนใบหน้า ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน ขาวกระจ่างใสได้ โดยตัวนี้สามารถทาได้ทั้งตอนเช้าและตอนเย็น คือไม่จำกัดเวลาทา แล้วความสะดวกเลย ซึ่งตัวนี้ก็สามารถไปวัดกับรุ่นพี่ตัวแรกอย่าง La Roche Posay Effaclar Duo+ ได้สบายๆ แต่ตัวนี้จะเป็นเวอร์ชั่นราคาประหยัด ยังไงก็ไปลองใช้กันดู ราคาอยู่ที่ 299 บาท


อ้างอิง

The 15 Very Best Eye Creams. https://nymag.com/strategist/article/best-eye-creams.html